ความลับของเราคือหญ้า
ความลับของเราคือหญ้า
ยี่สิบห้าที่ผ่านมา การกบฏต่อการทำฟาร์มอุตสาหกรรมภายในทุกที่ตรงที่เกษตรเน้นหนักเคมีได้หยั่งรากครั้งแรก ตลาดของเกษตรกรได้เริ่มต้นเพิ่มขึ้นภายในอเมริกา ดินเเดนของซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารจากฟาร์มถึงโต๊ะ กลายเป็นธรรมดาภายในประเทศฟาสท์ฟูด บุคคลทุกคนที่ให้โลกแมคโดนัลด์ โพลีเฟซ ฟาร์ม เป็นฟาร์มทำงานที่ไม่ได้รับเงินผู้เสียภาษาผ่านทางเงินช่วยเหลือของรัฐบาล ภายในการกระหึ่มของการทำฟาร์มอย่างยั่งยืนโจเอล ซาราทิน ได้สร้างชื่อเพื่อตัวเขาเอง เกือบสองทศวรรษ เขาเป็นเกษตรกรมีชื่อเสียงมากที่สุดของการเคลื่อนไหว เขาได้ระเบิดไปสู่ฉากของประเทศ เมื่อไมเคิล พอลแลน ได้กล่าวสดุดีภายในกรูเมท์ แมกกาซีนต่อเทคนิคการเลี้ยงสัตว์บนพื้นฐานทุ่งหญ้าอย่างฉลาดของเขามันไม่ง่ายอยู่เสมอต่อการเป็นเกษตรกรมีชื่อเสียงที่สุดภายในอเมริกาตำแหน่งที่มอบให้แก่โจ ซาลาทิน โดยวอชิงตัน โพสท์ บางทีเขาถูกรู้จักกันดีที่สุดต่อหนังสือของเขา “Salad Bar Beef” และบทบาทของเขาภายในหนังสือของไมเคิล พอลแลน “Omnivore’s Dilemma” และภาพยนตร์สารคดี “Food Inc.” โจ ซาราทิน เป็นกูรูของหญ้า เขาเป็นบิดาสมัยใหม่ของการเคลื่อนไหวให้อาหารหญ้า หมุนเวียนวัว ลูกไก่ ไก่งวง กระต่ายและหมู บนฟาร์มของเขาโจ ซาลาทิน เป็นเกษตรกร ณ แนวหน้าของกลับคืนอาหารท้องที่และเนื้อสัตว์เลี้ยงหญ้า เขาถูกรู้จักกันดีที่สุดต่อเทคนิคที่สร้างสรรค์เพื่อการเลี้ยงและการขายเนื้อสัตว์เลี้ยงหญ้า หนังสือและบทความเกี่ยวกับการทำฟาร์มของเขา และการพูดตรงไปตรงมาต่อข้อบังคับของรัฐบาล การทำให้เกษตรกรรายเล็กต้องมีชีวิตที่ยุ่งยากสโลแกน “Beyond Organic” ของโพลีเฟซ ฟาร์ม หมายความว่าฟาร์มจะไม่จัดส่งผลิตภัณฑ์ของพวกเขาไกลกว่าขับรถยนต์สี่ชั่วโมง เนื้อสัตว์ระดับบนไปสู่ราคาระดับบน ไก่เนื้อขายตัวละ 20 เหรียญ เนื้อส่วนสันแหลมชิ้นเดียว 33.38 เหรียญ แต่ต่อแฟนของเขาเเล้ว รสชาติของมันคุ้มค่า การรู้ว่ามันไม่ได้มาจากการดำเนินงานให้อาหารสัตว์ขนาดใหญ่ที่จัดหาเนื้อส่วนใหญ่ที่พบได้ภายในซุปเปอร์มาร์เก็ต
โจ ซาราทิน ได้มรดกวิถีทางการทำฟาร์มของเขาจากพ่อของเขาแต่แน่นอนเขาได้นำมันไปสู่ข้างหน้า พ่อแม่ของโจ ซาราทิน ได้ซื้อ โพลีเฟซ ฟาร์ม เมื่อเขามีอายุเพียงแค่ 4 ปี โจ ซาราทิน กล่าวว่าตอนเป็นเด็ก เขาได้ขายไข่ของฟาร์มแก่ผู้อยู่อาศัยท้องที่ด้วยจักรยาน ภายหลังจากที่เขาจบมหาวิทยาลัย เขาทำงานสองปีครึ่งเป็นนักข่าว แต่ฟาร์มครอบครัวได้เรียกตัวเขากลับไปตลอดเวลาเมื่อเขารับการบริหารฟาร์ม เขาได้ขยายมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่พ่อของเขาต่อต้านการปฏิบัติโดยทั่วไป เขาได้ประยุกต์ใช้ต่อการบริหารที่ดิน มันมีทั้งการปลูกต้นไม้ การขุดบ่อน้ำ และการทำปุ๋ยหมักบนสถานที่นั้น รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายสับเปลี่ยนประจำวันของวัวและสัตว์ปีก เขาได้ใช้เครื่องกั้นไฟฟ้าเคลื่อนย้ายได้ และคิดค้นเทคนิคการบริหารของโพลีเฟซ และอุปทานที่สม่ำเสมอของคนงานเกษตร หมายถึงการลงทุนน้อยกับเครี่องจักรต้นทุนสูง เชื้อเพลิง และโครงสร้างพื้นฐานโจ ซาราทิน ได้เสนอการเรียนรู้บนสถานที่ตั้งไม่ได้รับรายได้ ดึงดูดบุคคลจากทั่วประเทศตอนฤดูร้อนเพื่อการฝึกหัดโจ ซาลาทิน เป็นเกษตรกร เลยพ้นออร์แกนิค รุ่นที่สาม ครอบครัวเป็นเจ้าของและดำเนินงานโพลีเฟซ ฟาร์ม ณ เชอนานโด แวลลี่ย์ เวอร์จีเนีย ฟาร์ม ขายเนื้อสัตว์ ไก่ หมู แกะ กระต่าย ไก่งวง และไข่แต่ถ้าคุณถามโจซาลาทิน เขาทำอะไรเพื่อการดำรงชีวิต เขาจะบอกคุณเขาเป็นเกษตรกรหญ้า นั่นเป็นเพราะว่าหญ้าที่สุขภาพดีเป็นหัวใจต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ณ โพลีเฟซ ฟาร์ม ปศุสัตว์และสัตว์ปีกทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ถูกย้ายบ่อยครั้งไปสู่ สลัด บาร์ที่สดใสของหญ้าใหม่ และห่างจากการทิ้งบางสิ่งบางอย่างลงของเมื่อวาน
สลัด บาร์ บีฟ แนะนำแนวคิดของการเลี้ยงหญ้าหมุนเวียนและเกษตรฟื้นฟูเป็นครั้งแรก รากฐานเพื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ณ โพลีเฟซ ฟาร์ม คือ สลัด บาร์ บีฟให้ภูมิทัศน์การรักษาและการบำรุงเลี้ยง โจเอล ซาราทิน ได้สร้างถ้อยคำ สลัด บาร์ บีฟ หลายทศวรรษแล้ว สร้างความแตกต่างเนื้อวัวของโพลีเฟซ ฟาร์ม จาก เนื้อวัวช่องป้อนอาหารเมล็ดพืชสมัยเดิม ถ้อยคำสลัด บาร์ แสดงความสด ความหลากหลาย สีสันและไม่มีขนมปัง – เมล็ดพืช สลัด บาร์ บีฟ อ้างถึงโมเดลที่ยั่งยืนเพื่อให้อาหารหญ้า เขาได้คิดค้นคำอธิบาย สลัก บาร์ บีฟ อธิบายเมนูของความหลากหลายที่กว้างขวางของหญ้าและพืชพบภายในทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์พื้นเมือง และวัวของเราผลิตเนื้อวัวให้อาหารหญ้าความยั่งยืนเป็นถ้อยคำที่คุุนมักจะได้ยินจากเกษตรกรวันนี้โจ ซาราทินรับเอาเป้าหมายของความยั่งยืนอย่างจริงจัง ที่จริงแล้วเขาไม่ยอมจัดส่งอาหารของเขา ลูกค้าต้องมาที่ฟาร์มและหอบหิ้วมัน ลูกค้าคนหนึ่งกล่าวว่า ผมอาจจะไม่เคยพบเส้นทางของผมไปโพลีเฟซ ฟาร์ม ถ้าโจ ซาราทินไม่ปฏิเสธที่จะเฟดเอ็กซ์ไก่ของเขาแก่ผม เมื่อผมโทรศัพท์ถามเขาที่จะส่งผมไก่เนื้อ เขากล่าวว่าเขาไม่สามารถส่งได้ ผมคิดว่าเขาไม่ได้ติดตั้งเพื่อการจัดส่งของเขา ดังนั้นผมได้เสนอเฟดเอ็กซ์แก่เขาไม่ใช่เลย คุณไม่เข้าใจ ผมไม่เชื่อว่ามันยั่งยืน – ออร์แกนิค ถ้าคุณจะ -เฟดเอ็กซ์ เนื้อไปทั่วประเทศ ถ้าคุณต้องการที่จะลองไก่ของเรา คุณต้องขับรถยนต์มาที่นี่เเละหยิบมันไป ชายคนนี้จริงจังมาก เขาได้อธิบายต่อไปว่าโพลีเฟซ ฟาร์ม ไม่จัดส่งทางไกล ไม่ได้ขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตและไม่ได้ขายส่งอาหารของพวกเขา เนื้อสัตว์และไก่ทั้งหมดที่โพลีเฟซผลิตถูกกินภายในไม่กี่ไมล์ หรืออย่างมากที่สุดขับรถยนต์จากฟาร์มครึ่งวัน เพื่อความโปร่งใสของเรา ใครก็ตามถูกต้อนรับที่จะมาเยี่ยมฟาร์มได้เวลาไหนก็ตาม ความลับทางการค้าไม่มี ไมมีการปิดประตู กล้องถ่ายรูปเข้าถึงได้ทุกมุมโจ ซาราทิน ได้อธิบายว่าหลักการอย่างหนึ่งของโพลีเฟซ ฟาร์มเมื่อเลี้ยงสัตว์คือ การเคารพความสำคัญของสัตว์ เราเคารพความเป็นหมูของหมู ความเป็นวัว ของวัว โพลีเฟซ ถาม หมูต้องการทำอะไร และมันให้อะไรที่หมูต้องการทุกครั้งที่ผมได้ยินบุคคลกล่าวว่าอาหารสะอาดราคาแพง ผมบอกพวกเขาที่จริงแล้วมันเป็นอาหารราคาถูกที่สุดที่คุณสามารถซื้อ ผมได้อธิบายว่า ด้วยอาหารของเรา ต้นทุนทุกอย่างได้ถูกคิดไปสู่ราคาสังคมไม่ได้แบกต้นทุนของของมลภาวะน้ำ การต่อต้านยาปฏิชีวนะโรคอาหารเป็นพิษ การให้เงินช่วยเหลือพืชผล มันเป็นต้นทุนซ่อนเร้นทุกอย่างต่อสิ่งแวดล้อม และผู้เสียภาษีที่ผลิตอาหารไม่สนใจต้นทุนเหล่านี้ ผมบอกพวกเขาทางเลือกจะง่าย คุณสามารถซื้ออาหารราคา ที่ซื่อสัตย์ หรือคุณสามารถซื้ออาหารราคาที่ไม่รับผิดชอบ โจ ซาราทิน ภูมิใจต่องานและผลิตภัณฑ์ของพวกเขา พวกเขาขายโดยตรงแก่ลูกค้าบนฟาร์ม เนื่องจากปริมาณที่น้อยของสัตว์ปีกและกระต่ายไม่ต้องขึ้นอยู่กับข้อกำหนดการตรวจสอบของรัฐบาลโจ ซาราทินและครอบครัวสามารถแล่เนื้อสัตว์ของพวกเขาที่บ้านเนื่องจากข้อกำหนดของการตรวจสอบ เนื้อวัวของโพลีเฟซถูกฆ่า ณ คนฆ่าเนื้อท้องที่ แต่กระนั้นโจ ซาราทินได้รักษาระดับที่สูงของการควบคุมกระบวนการนี้ของพวกเขาในขณะนี้โพลีเฟซ ฟาร์ม ดำเนินงานโดยรุ่นที่สึ่ของครอบครัวซาลาทินเเต่บุุคคลด้วยอิทธิพลมากที่สุดคือ โจ ซาราทิน เขาได้ถูกเรียกชื่อเป็นเกษตรกรที่สร้างสรรค์มากที่สุดของโลกโดยไทม์ แมกกาซีน โจ ซาราทิน และครอบครัวของเขาได้ปฏิรูปที่ดินเสื่อมโทรมและพังทลายมากที่สุดกลายเป็นฟาร์มที่สร้างสรรค์เเละผลผลิตสูงผ่านทางวิถีทางที่ผิดธรรมดาของพวกเขา วันนี้พวกเขาบริการ 5,000 ครอบครัว 25 ร้านอาหาร และ 10 ร้านค้าปลีกภายในรัศมีขับรถยนต์สี่ชั่วโมง เพื่อที่จะรักษามันเป็นท้องที่และอยู่ภายในฟูดเชดของพวกเขาตามกรณีศึกษาของฮาร์วาร์ด ” Polyface: The Farm of Many Faces”โดยเดชิน ลี และสเตฟานี แวน ซิค กรณีศึกษานี้ได้สำรวจวิธีการของการสร้างคุณค่าผ่านทางการใช้ประโยชน์การเสริมแรงที่มีอยู่ภายในสิ่งเเวดล้อม ตรงที่เรามีความหลากหลาย สภาพแวดล้อมกรณีศึกษาเป็นฟาร์มตรงที่ความหลากหลายทางชีวภาพได้ถูกใช้ประโยชน์ที่จะสร้างคุณค่า มันได้ถูกเปรียบเทียบกับการทำฟาร์มอุตสาหกรรม ดำเนินงานบนหลักการความประหยัดจากขนาดนักวิชาการกล่าวว่า ปัญหาที่โจ ซาลาทิน กำลังเผชิญอยู่คือ การตัดสินใจอนาคตของธุรกิจของเขา ด้วยการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ผลิตภัณฑ์ของโพลีเฟซ โจ ซาราทินต้องตัดสินใจเขาจะเจริญเติบโตธุรกิจของเขาด้วยการก้าวไปข้างหน้าอย่างไร หรือรักษาความผูกพันของเขาของ การยังคงอยู่อย่างขนาดเล็กและบริษัทตลาดท้องที่โดยพื้นฐานแล้วเขาได้ตระหนักถีงคำแนะนำของพ่อของเขาของการออกไปจากการวิ่งตามการเจริญเติบโตอย่างประมาท และความคิดรวดเร็วที่จะสร้างยอดขาย พ่อของเขามีวิสัยทัศน์ของการมองที่ความคิดและวิถีทาง ด้วยการใช้ทรัพยากรโดยธรรมชาติภายในที่ดินอย่างสม่เสมอ แต่กระนั้นด้วยอุปสงค์ของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โจ ซาราทิน ไม่สามารถดำเนินการด้วยทรัพยากรที่หามาได้อย่างเพียงพอ
โพลีเฟซ ฟาร์ม ได้ถูกนำแสดงด้วยหนังสือ”TheOmnivore’s Dilemma A Natural History of Food Meals” โดยไมเคิล พอลแลน เป็นตัวอย่างของเกษตรกรรมยั่งยืน การเปรียบเทียบโพลีเฟซ ฟาร์ม ต่อการทำฟาร์มโรงงาน หนังสือเล่มนี้ได้สำรวจการเลือกอาหารของเราและระบบอาหารที่ซับซ้อนผลิตอะไรที่เรากิน ไมเคิล พอลแลน ได้ไปเยี่ยมฟาร์มหลายแห่งและผู้ผลิตอาหาร เขาได้เข้าใจได้ดีขึ้นอาหารถูกผลิตอย่างไร และการเลือกอาหารแตกต่างกันกระทบต่อสิ่งเเวดล้อม สวัสดิการสัตว์ และสุขภาพมนุษย์อย่างไรออมนิวอร์คือ สิ่งมีชีวิตกินพืชและสัตว์ บุคคลกิินพืชและสัตว์ทุกคนเผชิญกับสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอะไรที่จะกิน ภายในหนังสือของเขา ไมเคิล พอลแลน สนใจสภาะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของบุคคลกินพีชและสัตว์ – ชาวอเมริกันสมัยใหม่ พวกเขาได้สูญเสียความรู้อาหารทาวัฒนธรรมสมัยเดิมที่จะนำทางการตัดสินใจการกินของพวกเขา และใจอ่อนต่อการล่อของการโฆษณา นวัตกรรมเทคโนโลยี และการลดน้ำหนักไมเคิล พอลเลน ได้เริ่มต้นด้วยการมองที่เกษตรอุตสาหกรรม แต่ต่อเมื่อเขาได้พบโจ ซาราทิน เท่านั้น เขาได้เผชิญบุคคลบางคนคิดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับอาหารและสัตว์คืออะไร และการทำฟาร์มตามนั้นไมเคิล พอลแลน กล่าวว่า ภายใน 10 ปี นับตั้งแต่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้หลายสิ่งเกี่ยวกับระบบอาหารอเมริกันได้เปลี่ยนแปลงดีขึ้น แต่บางทีการพัฒนาสำคัญที่สุด และน่าจะเป็นความท้าทายสำคัญที่สุดต่อความอยู่รอดระยะยาวของระบบนั้นคือ ข้อเท็จจริงที่คำถาม ณ หัวใจของหนังสือของผม ก้าวไปสู่หัวใจของวัฒนธรรมของเราในขณะเดียวกันการปฏิบัติของ “การฟอกฟาร์ม” เกษตรอุตสาหกรรมได้ถูกวางตลาดราวกับมันมาจากฟาร์มเล็ก กำลังกระโดดทันทีทั้งภายในซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านฟาสท์ฟูด บิก ฟูด กำลังใช้เป็นเกมที่ดี การสัญญาที่จะปรับปรุงสวัสดิการและอาหารของสัตว์ เลิกใช้ยาปฏิชีวนะ การทำให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเรียบง่ายลง และสนับสนุนเกษตรกรและคนเลี้ยงสัตว์ แต่คำสัญญานี้ยังคงถูกเก็บน่าสงสัยอยู่ แมคโดนัลด์ได้รับการตบมือต่อคำสัญญาที่จะหยุดการซื้อไก่เลี้ยงด้วยยาปฏิชีวนะ จนนักข่าวจำได้ว่ามันเป็นคำสัญญาอย่างเดียวกันที่บริษัททำ และล้มเหลวที่จะรักษามันไว้ โจ ซาตาทิน แสดงบทบาทที่สำคัญภายในหนังสือ เขาเป็นเกษตรกรที่ไมเคิลพอลแลน ไปเยี่ยมและเล่าประวัติ โพลีเฟซ ฟาร์มของโจ ซาราทินได้ถูกนำเสนอเป็นโมเดลเกษตรที่ยั่งยืนและฟื้นฟู และไมเคิล พอลแลนได้อธิบายรายละเอียดวิธีการที่โจ ซาราทินใช้เลี้ยงไก่ วัว และหมู บนทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ปรัชญาการทำฟาร์มองค์รวมและฟื้นฟูของโจ ซาลาทิน ตรงกันข้ามกับการปฏิบติของเกษตรอุตสาหกรรมที่ครอบงำระบบอาหารอเมริกันและหนังสือของเขาได้แสดงประโยชน์ของเกษตรฟื้นฟูต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์บทบาทของโจเ ซาราทินภายในหนังสือ “The Omnivore’s Dilemma” ของไมเคิล พอลเลน ได้ช่วยดึงความสนใจต่อผลงานของเขา และแสดงบทบาทที่สำคัญต่อการทำให้แนวคิดของเกษตรยั่งยืนและการผลิตอาหารที่ยั่งยืนนิยมแพร่หลายโจ ซาราทิน สนับสนุนการทำฟาร์มอย่างยั่งยืนและองค์รวม เขาได้ถูกยกย่องเป็นตัวอย่างแนวหน้าของเกษตรฟื้นฟูภายในโลก เขาเชื่อว่าเกษตรอุตสาหกรรมเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม สัตว์ และสุขภาพมนุษย์ การทำฟาร์มขนาดเล็กและฟื้นฟูเป็นข้อแก้ปัญหา โจ ซาราทิน บริหารวัวกินหญ้าของเขาด้วยการใช้วิธีการองค์รวม และการหมุนเวียน มันเกี่ยวพันกับการย้ายวัวไปสู่ทุ่งหญ้าสดใสทุก 12 ถึง 24 ชั่วโมง การเลียนแบบแบบแผนการกินหญ้าของฝูงสัตว์ป่า การหมุนเวียนวัวทำให้หญ้าฟื้นตัวและเจริญเติบโตใหม่ การส่งเสริมสุขภาพของดินและการเจริญเติบโตของพืช วัวได้แสดงบทบาทกระจายปุ๋ยคอกและให้ปุ๋ยแก่ทุ่งหญ้า การนำไปสู่ระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์มากขึ้น ด้วยการบริหารหญ้าและและวัวตามวิถีทางนี้ โจ ซาลาตินสามารถผลิตเนื่อสัตว์ที่มีสุขภาพ ในขณะที่ฟื้นฟูที่ดินด้วย นอกจากนี้เขาได้หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมน และเคมีอื่น แต่ใช้กระบวนการธรรมชาติที่จะรักษาสุขภาพของวัวของเขา โจ ซาราทิน เลี้ยงไก่บนทุ่งหญ้าด้วยการใช้ระบบเล้าเคลื่อนที่รู้จักกันเป็นแทรกเตอร์ไก่ มันเป็นเล้าน้ำหนักเบาเคลื่อนที่ได้ การให้ที่พักอาศัยและป้องกันไก่ ในขณะที่มันกินหญ้าบนทุ่งหญ้า โจ ซาลาทินย้ายแทรกเตอร์ไก่ประจำวันไปสู่ทุ่งหญ้าที่สดใส การให้ไก่ด้วยแหล่งอาหารที่เปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ และลดความเสี่ยงภัยของเชื้อโรค ไก่แสดงบทบาทต่อการถ่ายเทอากาศของดิน การให้ปุ๋ยแก่ที่ดินด้วยปุ๋ยคอกของมัน ด้วยการเลี้ยงไก่ตามวิถีทางนี้ โจ ซาลาทินสามารถผลิตไข่และเนื้อคุณภาพสูงสารอาหารหนาแน่น ในขณะที่ฟื้นฟูที่ดินด้วย วิธีการของการเลี้ยงไก่บน ทุ่งหญ้ามักจะถูกมองเป็นโมเดลของเกษตรที่ยั่งยืนและฟื้นฟู เกษตรกร ท้องที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับเกษตรฟื้นฟู พวกเขามีโอกาสเรียนรู้จาก โจ ซาลาทินได้เกษตรฟื้นฟู ทางเลือกต่อเกษตรอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ให้ลำดับความสำคัญต่อการรักษาและการฟื้นฟูที่ดิน การปรับการปฏิบัติเฉพาะต่อสิ่งแวดล้อมและภูมิอากาศ ทำนองเดียวกับเกษตรยั่งยืน เกษตรฟื้นฟูมุ่งที่การลดผลกระทบของการผลิตต่อที่ดิน แต่เกษตรฟื้นฟูไปไกลกว่่าด้วยการปรับปรุงสุขภาพของดิน ในขณะที่ถ้อยคำ เกษตรฟื้นฟู ได้ถูกสร้างโดยโรเดล อินสติติว เมื่อ ค.ศ 1980 หลักการและการปฏิบัติเบื้องหลังการเคลื่อนไหวนี้มีมาก่อนนานแล้วการเคลื่อนไหวหลายอย่างอยู่ภายใต้ธงของเกษตรฟื้นฟู ถ้อยคำได้ถูกสร้างโดย โรเบิรต โรเดล ผู้บุกเบิกคนหนึ่งของการทำฟาร์มออร์แกนิคภายในอเมริกา เขาได้สร้างโรเดล อินสติติว ทุ่มเทต่อการวิจัยและการส่งเสริมเกษตรฟื้นฟูเพอร์มาคัลเจอร์ – เกษตรยั่งยืน เป็นวิถีทางต่อ เกษตรที่เลียนแบบแบบแผนพบภายในธรรมชาติ และมันได้ถูกใช้มายาวนานโดยชนพื้นเมืองทั่วโลก เป็นการเคลือนไหวอย่างหนึ่งที่บางครั้งถูกมองเป็นรูปแบบของเกษตรฟื้นฟูอย่างหนึ่งเกษตรฟื้นฟูเป็นแนวคิดโบราณกำเนิดด้วยชนพื้นเมืองทั่วโลกนานกว่าพันปีมาแล้ว ภายในมุมมองโลกชนพื้นเมือง มนุษย์และธรรมชาติเป็นพลังที่ไม่แยกจากกัน แต่เป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมดต้องการกันและกันที่จะเจริญเติบโต เกษตรฟื้นฟูสนับสนุน สิ่งนี้โดยการส่งเสริมวิธีการทำฟาร์มยกระดับที่ดิน ดังนั้นที่ดินสามารถจัดหาได้อย่างต่อเนื่องต่อรุ่นปัจจุบันและอนาคต เกษตรยั่งยืนสามารถถูกเข้าใจเป็นการเจริญเติบโตของระบบนิเวศเกษตรภายในวิถีทางเลี้ยง ตัวเองและยั่งยืน รูปแบบของเกษตรนี้ดึงแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ พัฒนาระบบการทำฟาร์มที่เสริมแรง บนพื้นฐานความหลากหลายของ พืชผล ความยืดหยุน ผลิตภาพธรรมชาติ และความยั่งยืน เพอร์มาคัลเจอร์ได้ถูกคิดและพัฒนาเมื่อ ค.ศ 1970 โดยบิลล์ มอลลินสัน นักนิเวศวิทยาออสเตรเลีย และอาจารย์มหาวิทยาลัยทัสมาเนีย และเดวิด โฮล์มเกรน นักศึกษาของเขา ได้ถูกยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้สร้างแนวคิดนี้ การอธิบายระบบวิวัฒนาการผสมผสานของพืชที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือตลอดกาลและพันธุ์สัตว์เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ต้นกำเนิดของถ้อยคำเป็นการทำให้สั้นลงของ”เพอร์มาเน้นท์ อกริคัลเจอร์” เกษตรยั่งยืน ถ้อยคำเพอร์มาคัลเจอร์ได้ถูกสร้างโดยบิล มอลลืสัน และเดวิดโฮล์มเกรนเมื่อ ค.ศ 1978 นับแต่นั้นมาเพอร์มาคัลเจอร์ได้พัฒนาไปสู่การเคลื่อนไหวของโลก และปรัชญาชีวิตองค์รวมพวกเขาได้เริ่มต้นการพัฒนาความคิดเกี่ยวกับระบบเกษตรที่มั่นคงบนเกาะออสเตรเลียใต้ รัฐทัสมาเนีย มันเป็นผลลัพธ์จากอันตรายของการใช้วิธีการเกษตรอุตสาหกรรมที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ภายในมุมมองของพวกเขา วิธีการเหล่านี้ขึ้นอยู่กับทรัพยากรที่ไม่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ และเป็นพิษต่อที่ดินและน้ำและลดความหลากหลายทางชีวภาพ วิถีทางออกแบบที่เรียกว่า เพอร์มา คัลเจอร์ เป็นการตอบสนองของพวกเขา และถูกเเพร่หลายต่อสาธารณะครั้งแรกด้วยการพิมพ์หนังสือของพวกเขา “Permaculture One” เมื่อ ค.ศ 1978 ตามบทความของไมเคิล พอลแลน การจ่ายมากขึ้นต่ออาหารสด และขับรถยนต์ไปไกล ดีกว่าการจ่ายน้อยลง และประหยัดเวลาเงินกับแก้ส ภายในบทความ “No Bar Code” ไมเคิล พอลแลน ได้อธิบายประสบการณ์ของเขาของการไปเยี่ยมฟาร์มเอกชนท้องที่ เขาได้ยินเกี่ยวกับโพลี เฟซ และต้องการลองเนื้อบางอย่าง ดังนั้นพอลแลนได้โทรศัพท์โจ ซาราทิน เจ้าของฟาร์ม และขอให้เขาเฟดเอ็กซ์ไก่เนื้อ โจ ซาลาทินปฏิเสธและอธิบาย ว่าโพลีเฟซ ฟาร์มไม่ได้จัดส่งทางไกล และนั่นคือไมเคิล พอลแลนต้องการลองเนื้อของเขา เขาต้องขับรถยนต์มาที่ฟาร์ม ไมเคิล พอลแลน ได้เรียนรู้จากโจ ซาลาทินว่าบุคคลขับรถยนต์หลายชั่วโมงเพียงแค่ได้ไก่ตัวหนึ่งจากฟาร์มของเขา
Cr : รศ สมยศ นาวีการ