jos55 instaslot88 Pusat Togel Online ถ้าญี่ปุ่นทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้? - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ถ้าญี่ปุ่นทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้?

บุคคลมักจะประหลาดใจว่าญี่ปุ่น   ได้กลายเป็นยักษ์ของอุตสาหกรรมที่ทรงพลัง และน่ายำเกรงมากที่สุดรายหนึ่งของโลก   ภายหลังสี่สิบปีจากการเป็นผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่สองได้อย่างไร  ผู้นำธุรกิจญี่ปุ่นที่หมดหวังได้มองไปที่ผู้ชนะว่าพวกเขากำลังทำอะไรที่ถูกต้องอยู่  ญี่ปุ่นสังเกตุว่าทำไมอาวุธสงครามของอเมริกาคุณภาพสูงมาก พวกเขาได้รับรู้ว่าชายคนหนึ่งชื่อ ดับบลิว เอ็ดเวิรดส์  เด็มมิ่ง    กำลังสอนวิศวกรและช่างเทคนิคอเมริกัน 35,000 คน อยู่ การใช้สถิติเพิ่มคุณภาพได้อย่างไร  ดังนั้นเอ็ดเวิรดส์ เด็มมิ่งได้ถูกเชิญไปพบผู้นำธุรกิจรายสำคัญของญี่ปุ่น  บริษัทญี่ปุ่นประทับใจแนวความคิดของเขามาก และญี่ปุ่นได้ยกย่องเขาด้วยการใช้ชื่อรางวัลคุุณภาพของประเทศว่า Deming Awards
 นานนับสามสิบปีที่ผลิตภัณฑ์ญี่ปุ่นได้ถูกนำเข้ามาภายในอเมริกา   ก่อนที่บริษัทอเมริกันจะรู้สึกเจ็บใจและมองเห็นความสำคัญของเอ็ดเวิรดส์ เด็มมิ่ง  บิดาของการปฏิรูปคุณภาพ

 เมื่อ ค.ศ 1980 สถานีโทรทัศน์ NBC ได้ออกอากาศรายการตอนหนึ่งของ NBC White Paper  เป็นสารคดีเรื่อง If Japan Can….. Why Can’t We ?   การเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงการปฏิรูปคุณภาพ และการแนะนำวิธีการของเอ็ดเวิรดส์ เด็มมิ่ง แก่ผู้บริหารอเมริกัน การชี้ให้เห็นว่าญี่ปุ่นยึดครองตลาดรถยนต์และอีเล็คโทรนิคของโลก    ด้วยการทำตามข้อแนะนำของเอ็ดเวิรดส์ เด็มมิ่ง อย่างไร 

  เอ็ดเวิรดส์ เด็มมิ่ง เมื่ออายุได้ 93 ปี   เขาได้ถ่ายทอดแนวความคิดแก่บริษัทอเมริกัน  ผู้ฟังประมาณ 20,000 คนต่อปี  แกนของวิธีการของเขาคือ การใช้สถิติวัดความผ้นแปรของระบบการผลิต และปรับปรุงระบบการผลิตจนความผันแปรต่ำสุดเท่าที่จะเป็นไปได้   เป้าหมายคือการปรับปรุงคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ เขายืนยันว่า 85 %  ของคุณภาพที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นจากระบบ

 การควบคุมคุณภาพแบบอเมริกันสมัยเดิมคือความล้มเหลว  เนื่องจากการมุ่งที่ผลิตภัณฑ์ไม่ใช่กระบวนการ ถ้าผลิตภัณฑ์บกพร่องมีจำนวนน้อย บริษัทอเมริกันมองว่าพวกเขาได้บรรลุคุณภาพที่สูงแล้ว  แม้ว่าบริษัทต้องมีต้นทุนที่สูงของผู้ตรวจสอบคุณภาพหลายร้อยคน  ผลิตภัณฑ์บกพร่อง  เวลาที่ใช้กับการตรวจสอบ และการทำงานเสียใหม่สูงถึง 40% ของต้นทุนรวมของผลิตภัณฑ์ ได้แสดงถึงเงินที่ต้องสูญเสียไป  เอ็ดเวิรดส์  เด็มมิ่งได้ยืนยันถึงการสร้างผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องเสียแต่แรก   เราไม่ต้องตรวจสอบเลย    จนบริษัทอเมริกันสามารถเพิ่มคุณภาพเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันได้ในที่สุด บุคลที่ถูกมองข้ามจากประเทศของเขาเองเกือบตลอดชีวิต

 เอ็ดเวิรดส์ เด็มมิ่ง ได้พัฒนาเครื่องมือการสอนอย่างหนึ่งขึ้นมาเรียกว่าการทดลองลูกปัดสีแดง (Red Bead Experiment) การทดลองลูกปัดสีแดงป็นการทดลองการปฏิบัติการที่คลาสสิคและมีชื่อเสียงมากของเอ็ดเวิรดส์ เด็มมิ่ง การทดลองลูกปัดสีแดงเป็นเกมอย่างหนึ่งที่ต้องการชี้ให้เห็นว่า ความผ้นแปรโดยธรรมชาติอยู่ที่ระบบหรือกระบวนการได้อย่างไร เราสามารถกำจัดได้โดยการมองที่ระบบไม่ใช่คนงาน   เอ็ดเวิรดส์ เด็มมิ่งได้กล่าวว่า    ระบบต้องเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารไม่ใช่คนงาน คนงานต้องทำงานอยู่ภายใต้ระบบ   การทดลองลูกปัดสีแดงได้ชี้ให้เห็นถึงหลักการ 14 ข้อของเอ็ดเวิรดส์ เอ็ดเวิรดส์ ที่ต้องเป็นข้อผูกพันของผู้บริหาร  เอ็ดเวิรดส์ เด็มมิ่งได้ใช้การทดลองลูกปัดสีแดงภายในการอบรมทั่วโลก การทดลองลูกปัดสีแดงได้ใช้ลูกปัดสองสี  ลูกปัดสีขาวจำนวน 80 %    และลูกปัดสีแดงจำนวน 20 % ผสมกันภายในกล่อง เกมการตักลูกปัดสีแดงคือการผลิต  ลูกปัดสีขาวหมายถึงผลผลิตที่มีคุณภาพ และลูกปัดสีแดงหมายถึงผลผลิตที่ไม่มีคุณภาพ    ผู้เล่นแต่ละคนแสดงบทบาทเป็นคนงาน ผู้ตรวจสอบ  ผู้จดบันทึก  หรือหัวหน้างาน  คนงานต้องใช้ที่ตักเจาะรูเท่ากัน 50 รู  ตักลูกปัดขึ้นมาจากกล่อง   ผู้เล่นทุกคนต้องทำตามระเบียบวิธีการปฏิบัติที่กำหนดไว้อย่างตายตัว การตักแต่ละครั้งได้ลูกปัด 50 ลูก บางลูกสีแดง และบางลูกสีขาว ผู้ตรวจสอบต้องนับจำนวนลูกปัดสีแดงที่ตักได้ของคนงานแต่ละคน   ผู้จดบันทึกต้องบันทึกจำนวนลูกปัดสีแดงที่ตักได้ภายในแผนภูมิควบคุม และหัวหน้าคนงานต้องจูงใจด้วยการให้รางวัลแก่คนงานที่ตักได้ลูกปัดสีแดงน้อย และการลงโทษแก่คนงานที่ตักได้ลูกปัดสีแดงมาก ผู้เล่นแต่ละคนตักได้ลูกปัดสีแดงแตกต่างกันแต่ละรอบ(หมายถึงวัน)ไม่แน่นอน   และคาดคะเนไม่ได้ 

 บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการทดลองลูกปัดสีแดงคือ  ผลผลิตที่บกพร่องเกิดจากระบบ ไม่ใช่คนงาน ถ้าเราต้องการปรับปรุงคุณภาพ เราต้องทำที่ระบบ  ลูกปัดสีแดงคือผลลัพธ์ของระบบที่ไมดี คนงานไม่ใช่ปัญหา  94% ของปัญหาเกิดจากระบบไม่ใช่คนงาน

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *