ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (20)
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (20)
ผู้เขียน อ.อดุลย์ มานะจิตต์
ในวันเสาร์หรือซะบาโต พวกยิวกลุ่มหนึ่งก็คิดหาวิธีที่จะจับฝูงปลาที่มาปรากฏตัวในวันซะบาโตนี้ ด้วยกับการขุดร่องน้ำให้ปลาว่ายเข้าไปในแอ่งที่เป็นกับดักเพื่อจะจับมันในวันอาทิตย์ ซึ่งพวกเขาก็จับปลาด้วยวิธีนี้จริงๆแต่เพราะความละโมบทำให้พวกเขาต่างลืมคิดไปว่าพวกเขากำลังจับปลาของวันเสาร์ ซึ่งพวกเขาไม่มีสิทธิ์จับพวกมัน ถึงแม้จะมาจับมันในวันรุ่งขึ้นก็ตาม
บรรดารอบไบ ปุโรหิตหรือผู้รู้ในคัมภีร์ของชาวยิวที่ประจำอยู่ ณโบสถ์วิหารของพวกเขาก็ไม่กล่าวเตือนหรือห้ามปรามการกระทำอันฉ้อฉลด้วยวิธีการอันมีเล่ห์เหลี่ยมนี้แต่อย่างใด จึงเป็นเหตุให้ชาวยิวทั้งหมดทุกกลุ่มเหล่านี้กลายเป็นพวก ฟาซิกูน หรือพวกละเมิดไปด้วยกันทั้งหมดจึงเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงส่งฝนหินและแผ่นดินไหวลงมากระหนำพวกเขาจนล้มตายเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการเตือนพวกเขาให้ได้รำลึก
เหตุการณ์ในทำนองนี้ได้เกิดขึ้นกับผู้คนของศาสดาดาวูด ผู้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าองค์แรกแห่งมวลมนุษยชาติก็ว่าได้ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในบทที่สาม พวกยิวต่างพากันขอให้ศาสดาองค์หนึ่งของพวกเขาขอต่อพระเจ้าให้ทรงแต่งตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งให้กับพวกเขา เพื่อจะได้นำทัพออกทำศึกสงครามศาสนากับชาวปาเลสไตน์เผ่าของญาลูตหรือโกไลแอต ทั้งที่ศาสดาของพวกเขาก็รู้ดีว่าพวกยิวเหล่านี้จะต้องฝาสั่นคำสั่งของกษัตริย์ของพวกเขาเองเป็นแน่ และก็เป็นจริงเช่นนั้น!!
เมื่อพระเจ้าทรงแต่งตั้งกษัตริย์ฏอลูตหรือชาอูลมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิว และเมื่อกษัตริย์ฏออุตนำทัพออกรบและท้ะท้ามไห้ทุกคนในกองทัพของท่านดื่มน้ำจากแม่น้ำสายหนึ่งที่งที่กำลังจะเดินข้ามเกินกว่าการวักน้ำด้วยมือเพียงครั้งเดียว แต่ส่วนใหญ่ของพวกเขาต่างก็ฝ่าฝืนคำลังนี้ จึงเป็นเหตุให้พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้ออกรบ ตามที่ชามูเอลหรือซัมลูนศาสดาของพวกเขากล่าวเตือนไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาจึงไม่ได้ออกรบ เหตุผลก็คือพวกเขาล้วนเป็นผู้ฝ่าฝืน (ฟาซิกุน) โดยการหาเหตุผลส่วมาหักล้างคำสั่งของแม่ทัพที่อนุญาตให้ดื่มเพียงครั้งเดียว ด้วยข้ออ้างที่ว่า หากดื่มน้ำเพียงครั้งเตียวพวกเราจะไม่มีเรียวแรงไปรับกับกองทัพของโกโลแอตที่แข็งแรงกว่าได้ บรรดาทหารที่เชื่อฟังแม่ทัพของตนโดยดื่มเพียงครั้งเดียวหรือไม่ได้ดื่มเลย ซึ่งมีจำนวนเพียง 313 คน สามารถเอาชนะกองทัพอันเกรียงไกรของโกไลแอตได้
กลุ่มชนสุดท้ายที่เป็นผู้ต่อต้านและก่อกบฏต่อคำสั่งของพระเจ้า คือบรรดาผู้ที่อยู่ต่อหน้านั้นพวกเขาจะแสดงตนว่าเป็นผู้ที่มีที่มีความจริงใจ เคร่งครัด เอาจริงเอาจังกับเรื่องของสนา แต่เมื่อยู่ลับหลังกับพวกพ้องของพวกเขา ธาตุแท้ตั้งเติมของพวกเขาก็ปรากฏออกมาให้เห็น ว่าความเคร่งครัดในการแสดงออกต่อหน้านั้นเป็นเพียงความจอมปลอมทั้งสิ้น ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้พระเจ้าทรงรียกขานพวกเขาว่า มุนาฟีกูน หรือพวกที่กลับกลอกหน้าไหว้หลังหลอก และจะปรากฏตนอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ตรัทธาที่แท้จริง (มุอ์มิน)จนยากที่จะแยกออกจากกันได้ หากพระเจ้าไม่ทรงกระทำให้เห็นถึงพฤติกรรมอันกลับกลอกของพวกเขา
พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เห็นถึงความเป็นมุนาฬินของบุคคลกลุ่มนี้ไว้ในกลุ่มชนของศาสดามซา ศาสดาอีชา และศาสดามุฮัมมัด ไว้อย่างชัดเจน นั้นคือเมื่อศาสตามซา จากพวกเขาไปสงบวิเป็นเวลา 40 วัน พวกเขาต่างพากันหลอมรูปวัวทองคำขึ้นมาเคารพกราบไหว้ และซามีรีหัวหน้าของพวกเขายังกล่าวหลอกลวงประชาชนว่านี้คือพระเจ้าของมุชาอีกด้วย
ความเป็นมุนาฟิกของพวกเขายังคงสืบเนื่องต่อกันมาเป็นเวลานานนับหันๆ ปี จนถึงการมาของอีซาบุตรของมัรยัม ซึ่งสาวกคนหนึ่งของท่านเองที่ชื่อ ยูดา อิสคาริโอด ได้แสดงความจองหองต่อท่านออกมา ขณะที่ท่านกำลังนำกระบวยใส่น้ำมาล้างเท้าให้กับสาวกทั้ง 12 คนของท่าน ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายร่วมกับพระเยซู ซึ่งจริงๆแล้วเหล่าสาวกของพระเยซูต่างหากที่วอนขอต่อท่านให้มีอาหารส่งลงมาจากฟากฟ้า และพระเจ้าได้ทรงประทานลงมาให้จริง แต่มีข้อแม้ว่าสาวกคนที่เป็นผู้กลับกลอกนั้นจะต้องถูกทำให้ปรากฏ เมื่อยูดารู้ว่าตัวเองถูกเปิดเผยแล้วว่าเป็นมนาฬิก เขาจึงละจากโต๊ะอาหารรีบตรงไปหาพวกพ้องของที่เป็นขุนนางของเฮรอด แอนตี้ปาสต์ เพื่อนำทหารมาจับตัวพระเยซูเอาไปตรึงกางเขน แต่กรรมตามสนอง ตัวเขาเองกลับถูกจับไปตรึงกางเขนแทนพระเยซู เพราะพระเจ้าทรงทำให้ใบหน้าของเขาคล้ายกับพระเยซู ดังนั้นขณะที่ยูดาถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน เขาจึงกล่าวดนี้ออกมกคือ าอลี่ เอลี่ลามาราบัคธานี” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ เหตุไฉพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสียเล่า!” (มาระโก 15:34) รายละเรื่องนี้ในอัล กุรอานปรากฏอยู่ในบทที่ 5 อัล มาอิดะฮ์ (สำรับอาหาร)
กลุ่มชนของศาสดามุฮัมมัด ก็เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงประกาศไว้ชัดเจนในอัล กุรอานถึงพฤติกรรมอันตลบตะแลงของพวกเขาไว้ดังความว่า
และในหมู่ชาวอาหรับที่ห้อมล้อมเจ้า (มุฮัมมัค) นั้นมีพวกสัยปลับปลับ(มุนาฟิก) และในหมู่ชาวมะดีนะฮ์ก็เช่นกัน พวกเขาดื้อรั้นในการกลับกลอก เจ้า (มุฮัมมัด) ไม่รู้ดอก แต่เรารู้จักพวกเขา เราจะลงโทษพวกเขาสองครั้ง แล้วพวกเขาจะหันกลับสู่การลงโทษอันมหันต์(อัล กุรอาน 9:101)
ดังนั้นกลุ่มบุคคลต่างๆ ของบรรดาศาสดาที่ผ่านมาตามยุคสมัยต่างๆล้วนมีกลุ่มบุคคลประบาทที่เป็น กาฟิรูน มุชทูน ชอลีมูน ฟาชิกูน และมุนาฟิกูน เป็นต้น ผู้คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ต่อต้านหรือผู้ก่อการกบฏต่อคำบัญชาของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงตัดสินไว้แล้วว่า หากผู้ใดก็ตามที่เขาตัดสินอื่นไปจากคำสั่งของอัลลลอฮ์ พวกเขาล้วนเป็นกลุ่มบุคคลดังกล่าวถึงทั้งห้ากลุ่มข้างต้น ดังรายละเอียดปรากฏอยู่ในบทที่ 5 โองการที่ 44-47
เพื่อเป็นการกำหนด ให้เห็นถึงความแตกต่างกันได้อย่างชัดเจนระหว่างบุคคลทั้งห้ากลุ่มนี้กับบรรดาผู้ตรัทธาอย่างแท้จริงหรือมอ์มุนพระเจ้าจึงทรงอุทิศซูเราะฮ์รวมด้วยกันจำนวนสามบท เพื่อกำหนดลักษณะของบุคคลในกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้ใช้เป็นบรรทัตฐานวัดดูว่าโครเป็นใครจะได้เห็นกันจะจะ!! ดังนั้นบรรดาผู้ตรัทธาที่แท้จริงซึ่งล้วนเป็นชาวสวรรค์จึงจะถูกแยกออกจากบรรดาผู้ปฏิเสธที่เป็นผู้ต่อต้านและผู้ก่อกบฏต่อคำบัญชาของพระเจ้า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นชาวนรก
ซูเราะฮ์เหล่านี้คือ ซูเราะฮ์อัล มุอ์มินูน (บรรดาผู้ศรัทธา) บทที่ 23 ชูเราะฮ์มุนาฬิกูน (บรรดาผู้กลับกลอก) บทที่ 63 และซูเราะฮ์อัล กาฟิรุน(บรรดาผู้ปฏิเสธ) บทที่ 109 ของคัมภีร์อัล กุรอาน
ดังที่ได้กล่าวถึงเงื่อนไขที่พระเจ้า ได้ทรงตั้งไว้กับพญามารในวาระที่ มันขอให้มีอำนาจลวงล่อบุตรหลานขององอาดัมให้หลงทางพินาศสิ้น จึงพระเจ้าได้ธนุมัติตามคำขอ แต่มีข้อแม้หรือเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดก็คือมีบุคคลอยู่สามกลุ่มที่มันไม่มีอำนาจเหนือพวกเขา หมายถึงไม่มีอำนาจลวงล่อ ก็คือบรรดาผู้ที่ถูกทำให้สะอาดบริสุทธิ์แล้วเท่านั้น ‘มุเฏาะฮะรูน’และผู้มีความมุ่งมั่นหรือบริสุทธิ์ใจ ‘มคละซีน’บรรดาผู้ศรัทธา’มอ์นึน’และบรรดาผู้ไว้วางใจในพระเจ้า ‘ตะวักกะลูน’ และผู้ปลอดพ้นจากบาปหรือไม่กระทำบาป ‘มะซูมีน’
ฉะนั้นบุคคลสามกลุ่มนี้ก็คือ กลุ่มหนึ่งเป็นศาสดาและศาสนทูตของพระเจ้า กลุ่มที่สองคือบรรดาผู้สืบทอดฯ ของพวกท่าน และอีกลุ่มหนึ่งคือบรรดามธ์มินีนโดยทั่วไปที่มีคุณสมบัติ 7 ประการดังปรากฏอยู่ในซูเราะฮ์อัล มุอ์มินูน บทที่ 23 ดังกล่าว ซึ่งอิบลิสชัยตอนหรือพญามารไม่มีอำนาจที่จะลวงต่อพวกเขาได้นั้นเป็นสัญาที่มันจะล่วงละเมิดไม่ได้ เพราะมันได้กล่าวยืนยันไว้ด้วยตัวของมันเองแล้วต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า ก่อนที่มัน จะถูกอัปเปหิออกจากสวรรค์มาฬานักอยู่บนโลกนี้ร่วมกับมนุษย์ ที่มันถือเป็นศัตรูที่มันเกลียดชังมากที่สุด
ทั้งนี้หมายความว่า การที่มนุษย์ส่วนใหญ่จะไปเป็นพันธมิตรกับมันแต่มันเองก็ไม่เคยถือเอามนุษย์เป็นมิตรของมันเลย ดังจะเห็นได้จากความจริงที่ว่า เมื่อชาวนรกที่เป็นมนุษย์ซึ่งเคยเป็นมิตรสนิทของมันบนโลกนี้ถูกทรมานในไฟนรกอยู่ในชั้นต่างๆ รวม 7 ชั้น ซึ่งพวกมาฬิกูนจะอยู่ในชั้นที่ต่ำสุด พญามารมันจะมีความยินดีนดีปรีดาเป็นอย่างมากที่จะได้เห็นชาวนรกเหล่านั้นถูกทรมานให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
สมจริงแล้วที่พระเจ้าทรงประกาศให้มนุษย์ทราบแล้วว่า พญามารนั้นมันเป็นศัตรูที่แจ้งชัด และเป็นภัยที่รัายกาจที่สุดของมนุษย์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
เมื่อได้บรรลุจุดมุ่งหมายของบทที่สี่นี้แล้วว่า ใครคือหัวโจกตัวใหญ่ที่ชักใยวางแผนการร้ายอยู่เบื้องหลังความโกลาหลวุ่นวาย ความชั่วร้ายการกดขี่ อยุติธรรม การเป็นศัตรูคู่อามาตต่อกัน การทำลายล้างกันด้วยการก่อสงครามตามภูมิภาคต่างๆ และสงครามโลกครั้งใหญ่ที่ผ่านที่ผ่านหันมา ยังผลให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากมายมหาดเหลือคณานับ ทำให้ความมีศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม และอารยธรรมของมวลมนุษย์เกือบจะต้องสูญหายมลายสิ้น จึงจะขอก้าวไปพูดต่อถึงรายละเอียดของมัน
แผนการร้ายต่างๆ ของพญามารที่ชักใยไว้มากมายหลายเพื่อคอยดักจับเหยื่อของมัน หากว่ากันตามจำนวนกลุ่มที่ได้กล่าวถึงไว้ไว้ไนสามก็อาจนับจำนวนใยหรือ Web ใหญ่ๆ ที่มันสร้างขึ้นไว้เพื่อครอบคลุมโยงใขเชื่อมต่อกันไว้ทั่วโลกทั่วทั้งน่านฟ้าและแผ่นดิน ซึ่งมีจำนวนกลุ่มของผู้ที่ต้องตกป็นชาวนรกของพวกยิว พวกคริสต์และพวกมุสลิม รวม 70 71+ 72 = 213 กลุ่ม ที่เป็นกลุ่มชนของศาสนทูตผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่านดังกล่าวแล้ว
ดังนั้นกลุ่มชนทั้ง 213 กลุ่มนี้ จึงแตกออกมาจากการเป็นประชาติเดียวกันของบรรดาศาสดาต่างๆ ซึ่งพระเจ้าทรงแจ้งไว้ในดัมภีร์อัล กุรอานถึงสาเหตุที่พวกเขาต่างแตกแยกกันออกไป ดังปรากฏอยู่ในโองการที่ 213ซึ่งมีโองการเดียวเท่านั้นในอัล กุรอาน ดังความว่า
อันมนุษย์ย่อมเป็นประชาชาติเดียวกัน ครั้นต่อมาอัลลลอฮ์ได้ส่งบรรดาศาสดาให้มาทำหน้าที่ประกาศข่าวดีและตักเตือนเจ้าและพระองค์ทรงประทานคัมภีร์โดยสัจธรรมให้ลงมาพร้อมกับพวกเขาเพื่อพระองค์ทรงพิพากษาระหว่างมวลมนุษย์ ในกรณีที่พวกเราพิพาทกันและไม่พิพาทกันในสิ่งนั้น นอกจากบรรดาผู้ที่ถูกประทานสิ่งนั้นแก่พวกเขานั่นเอง ภายหลังจากบรรดา (หลักฐาน) ที่ชัดแล้งได้มาสู่พวกเขาแล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะความริษยาในระหว่างพวกเขาเอง และแล้วอัลลอฮ์จึงพรงชี้นำบรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลายในกรณีที่พวกเขาพิพาทกันนั้น จากสิ่งที่เป็นสัจธรรมโดยอนุมัติของพระองค์และอัลลอฮ์ทรงชี้นำแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่แนวทางอันเที่ยงตรง (อัล กุรอาน 2:213)
เมื่อกลุ่มชนทั้งหมด 213 กลุ่มนี้ซึ่งเป็นเครือข่ายของพญามาร ต้องมาอยู่ร่วมในโลกใบเดียวกันกับกลุ่มชนอีกสามกลุ่มที่เป็นเครือข่ายของบรรดาศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่าน โดยมีท่านศาสดามฮัมมัด มุสฏอฟาเป็นหัวหน้าแห่งมวลศาสดาของพระเจ้า การปะทะคะคาน การเป็นศัตรูต่อกัน และการทำศึกสงครามระหว่างกัน จึงเป็นเรื่องจริงของชีวิตมนุษย์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะเป็นพระบัญชาของพระเจ้าดังปรากฏอยู่ในอัลกุรอาน บทที่ 18 โองการที่ 50 และดังที่หน้าประวัติศาสตร์ของมนุษชาติได้บันทึกกันไว้แล้วและคงจะได้บันทึกกันต่อไป ฉะนั้นเมื่อนำกลุ่มชน 213กลุ่มของพญามาร มารวมกันกับกลุ่มชนของบรรดาศาสดารวม 3 ท่านผลลัพธ์คือ 213 + 3 = 216 กลุ่ม ซึ่งอัล กุรอานโองการที่ 216 ซึ่งมีเพียงโองการเดียวเท่นั้นของอัล กุรอาน ได้ยืนยันถึงความจริงแท้ข้อนี้ไว้แล้วดังมีความว่า
การรบได้ถูกบัญญัติแก่พวกเจ้าทั้งหลาย ทั้งๆที่สิ่งนั้นนั้นเป็นที่รังเกียจสำหรับพวกเจ้า แต่บางทีพวกเจ้ารังเกียจสิ่งหนึ่ง โดยที่สิ่งนั้นอาจเป็นความดีสำหรับพวกเจ้าได้ และบางทีพวกเจ้าพิศมัยในสิ่งหนึ่ง โดยสิ่งนั้นอาจเป็นความเลวร้ายสำหรับพวกเจ้าก็ได้ และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้โดยเจ้าไม่รู้ (อัล กุรอาน 2:216)
รายละเอียดของเรื่องนี้ เหมาะแล้วที่จะนำไปสาธยายต่อในบทต่อไป