ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (15)
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (15)
ผู้เขียน อ.อดุลย์ มานะจิตต์
ความสะอาดบริสุทธิ์และการพลีอุทิศของเธอไปถึงขั้นหนึ่งที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่ศาสดาซะกะรียาเข้าไปในห้องพักของมัรยัม ท่านพบสำรับอาหารวางอยู่ ซึ่งเป็นอาหารจากสวรรค์ใกล้ๆตัวเธอ ท่านมักถามด้วยความประหลาดใจว่า ‘อาหารเหล่านี้มาจากไหน’
มัรยัมจึงตอบว่า
จากอัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงประหานให้กับทุกคนผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยไม่มีการคำนวณนับ (อัล กุรอาน 3:37)
ซะกะรียาและยะฮ์ยา
ภรรยาของซะกะรียาเป็นหมันเช่นเดียวกันกับมารดาของมัรยัมและด้วยเหตุนี้ระกะรียาจึงไม่มีบุตรจนถึงวาระแก่ชรา ในขณะที่ซะกะรียากำลังดูแลความเจริญก้าวหน้าในทางจิตวิญญาณของมัรยัม ณ ห้องพักของพักของเธออยู่นั้น และได้เห็นความเมตตาของอัลลธ์อันไม่จำกัดที่มีต่อเธอ ท่านจึงบังเกิดความปรารถนาที่จะมีทารกอันบริสุทธิ์สะอาดเช่นมัรยัม ดังนั้นท่านจึงยกมือวิงวอนต่อพระเจ้า โดยกล่าวว่า
โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์! ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะให้พระองค์ประหานบุตรที่สะอาดบริสุทธิ์ให้กับข้าพระองค์สักคนหนึ่ง บุตรจะเป็นแหล่งแห่งความพึงพอใจของข้าพระองค์ เป็นผู้สืบตระกูลของข้าพระองค์และครอบครัวของยะอ์กูบ(อัล กุรอาน 3:39 และ 19:1-6)
ขณะที่ซะกะรียากำลังสาละวนอยู่กับการสวดภาวนาในห้องพักของท่าน ทูตสวรรค์ได้มาหาและกล่าวกับท่านว่า “พระเจ้าทรงประทานข่าวดีว่าท่านจะมีบุตรคนหนึ่งมีชื่อว่า ยะศ์ยา ผู้ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณธรรมและเป็นศาสดา- ที่อุทิศตน’
ศาสดาซะกะรียาขณะนั้นชราภาพและอีกทั้งความเป็นหมันของภรรยาของท่าน (และการจะตั้งครรภ์ในสภาพเช่นนั้นจึงจึงถึนป็นรางวัดหนึ่งซึ่งไม่อาจคาดคิดถึงได้) จึงกล่าวขึ้นด้วยความยินดีว่า
‘พระเจ้าของข้าพระองค์ ในสภาพที่ข้าพระองค์และกรรยาของข้าพระองค์เป็นอยู่นี้ พระองค์จะทรงประทานความโปรดปรานด้วยบุตรคนหนึ่งให้กับข้าพระองค์ได้อย่างไรเล่า!’
ด้วยกับการตอบคำถามนี้ จึงมีพระบัญชามาว่า
‘งานนี้เป็นงานที่ง่ายสำหรับพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมทิทธานุภาพ ไม่ได้นำเจ้าออกมาจากสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่มาก่อนมาสู่การคงอยู่ดอกหรือ?”ในรื่องนี้คัมภีร์ใบเบิลฉบับลูกา บ20 ได้กล่าวไว้ว่า ญิบรออีลได้กล่าว
กับซะกะรียกว่า ท่านจะต้องกลายเป็นคนใบ้และจะไม่สามารถพูดได้ จนกระทั่งเรื่องเหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งนี้พราะเหตุว่าท่านไม่ชื่อในสิ่งที่ช้าได้แจ้งให้ท่านทราบ’
ซึ่งเป็นการชี้แนะให้เห็นว่าซะกะรียวผู้เป็นให้ถูกลงโพราะไม่เชื่อทูตสวรรค์กาเบรียล ประการที่สองระยะเวลาเป็นไปถูกกำหนดไว้จนถึงการถือกำเนิดของทารกส่วนคัมภีร์อัล กุรอานได้กล่าวไว้อีกอย่างหนึ่งคือ ซะกะรียาได้สอบถามถึงสัญญาณของการมีข่าวดี และพระองค์ผู้ทรงมหิทธานุภาพ ทรงบอกกับท่านว่าท่านจะพูดไม่ได้เป็นเวลาสามวัน
ผู้มีวิจารณญาณย่อมเห็นได้เองแล้วว่า อัล กุรอานไม่ใช่เฉพาะจะไม่ได้ลอกเสียนแบบเรื่องราวต่างๆ มาจากคัมภีร์เล่มเก่าๆ แล้ว แต่ยังขจัดจดอ่อนหนึ่งๆ และรักษาศาสดาชะกะรียาจากจุดอ่อนหนึ่งของการเป็นอัมพาตด้วย
ดังนั้นซะกะรียาจึงเป็นศาสนทูตผู้สูงส่งท่านหนึ่ง และตลอดชีวิตของท่านท่านเรียกร้องผู้คนสู่การศรัทธาและความจรรโลงใจ ในวาระสุดท้ายท่านถูกฆ่าสังหาร จึงพลีอุทิศชีวิตไปในทางของพระเจ้า เมื่อกษัตริย์ของอิสรออ็ลคนหนึ่งต้องการแต่งงานกับกับุตรสาวของน้องชายของตนเอง ซึ่งเป็นการขัดต่อกฎหมายของพระเจ้า และเรื่องนี้ศาสดาซะกะรียาได้ห้ามปรามไม่ให้กษัตริย์ประพฤติปฏิบัติเช่นนั้น ด้วยความมัวเมาในตัณหาราคะพวกเขาจึงตามไปสังหารท่านด้วยการเลื่อยท่านออกเป็นสองท่อน พร้อมกับโพรงต้นไม้ที่ท่านใช้หลบภัยอยู่ภายใน
ศาสดายะฮ์ยาหรือจอห์น เดอะแบบทิสท์ ก็เช่นกัน ท่านเป็นผู้ทรงคุณธรรม สะอาดบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ มีความรักในพระเจ้าเป็นอย่างสูงจึงเทศนาให้ราวยิวผู้เป็นกลุ่มชนของท่านและของบิดาของท่านเช่นกัน ให้ทันห่างออกจากความชั่วร้ายต่างๆ ที่ผู้คนของท่านปฏิบัติกันอยู่ แต่พวกเขาตอบแทนท่านด้วยกับการวางแผนชั่ว โดยยุยงให้เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เฮรอด ชื่อซาโลเม มาสู่ขอศาสดายะฮ์ยาให้แต่งงานด้วย แต่ท่านปฏิเสธเพราะนางเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา นางจึงมีความโกรธเคืองในตัวของยะฮ์ยาเป็นอย่างมาก เพื่อบรรเทาความโกรธเคืองนี้กษัตริย์จึงถามพระนางว่า เมื่อผิดหวังในตัวของยะฮ์ยาแล้วนางต้องการสิ่งใดก็จะจัดหามาให้ เจ้าหญิงสบโอกาสแก้แค้นจึงทูลต่อกษัติรย์ว่า นางต้องการศีรษะของยะฮ์ยา กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ จึงสังตัดเศียรของศาสดายะฮ์ยามาถวายให้กับเจ้าหญิงนี้คือสภาพของสังคมที่แท้จริงของพวกผิวที่ฉ้อฉล ชักใยอยู่เบื้องหลังกษัตริย์แห่งราชวงศ์เฮรอด ผู้เป็นรัชทายาทของจักรพรรดิปอมแปแห่งกรุงโรม ซึ่งศาสดาอีซาหรือพระเยซูคริสต์ถูกส่งลงมาเป็นศาสนทูต เพื่อเชิญชวนพวกยิวไปสู่ความดีและห้ามปรามความชั่วร้าย ณ แผ่นดินปาเลสไตน์ ซึ่งมีนครเยรูซาเล็มบ้านของพระเจ้าตั้งอยู่ ซึ่งจะได้กล่าวถึงในรายละเอียอไป
อีซา อัลมะซีฮะ
วันหนึ่งมัรยัมผู้เป็นเด็กหญิงได้เจริญวัยขึ้นจากหารกน้อยในบ้านของพระเจ้า โดยมึนปีในระดับของท่านซะกะรียวเป็นผู้อบรมเลี้ยงดู กำลังอยู่ในการเคารพสักการะพระเจ้า มีเทวทูตองค์หนึ่งมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอในรูปของชายคนหนึ่ง
มัรยัมคิดไปว่าเขาเป็นผู้ชายธรรมดาดนหนึ่ง จึงแสวงหาความคุ้มครองช่วยเหลือจากพระเจ้า แต่เทวทูตได้แจ้งข่าวดีให้กับนางได้ทรงทราบว่า พระเจ้าของเธอส่งฉันมาเพื่อมามอบุตรชายผู้บริสุทธิ์และสมบูรณ์ท่านหนึ่งให้กับเธอ’
มัรยิ้มจึงกล่าวว่า ‘อย่างไรกัน! เนื่องแต่ไม่เคยมีชายใดมาสัมผัสฉันและฉันก็มิใช่ผู้ละเมิดประเวณี’
เทวทูตจึงกล่าวว่า พระเจ้าของเธอกล่าวว่า งานนี้เป็นเรื่องง่สำหรับพระองค์ และเขาอาจถูกกำหนดให้ป็นสัญสัญลักษณ์หนึ่งและเป็นครื่องหมายบ่งชี้ประการหนึ่งถึงความปรานีของพระองค์’
มัรยัมจึงตั้งครรภ์ และเนื่องแต่นางไม่มีสามีพวกชอบนินทาจึงเริ่มวิจารณ์ในทางต่ำช้าเกี่ยวกับตัวเธอและเธอจึงรู้สึกเศร้าสลด เพื่อให้ปลอดพ้นจากการถูกรังควานเหล่านี้ เธอจึงละออกไปอยู่ในที่ไกลจากผู้คน และไปหาที่อยู่ ณ สถานที่ที่โดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง ณ ที่นี้เธอเริ่มนับวันจงจงวังวันคลอดบุตรชายของเธอ
ในที่สุดเมื่อเวลาของการคลอดบุตรมาถึง เธอจึงหลบไปอยู่ใต้ต้นอินทผลัมแห้งต้นหนึ่งในทะเลทราย เพื่อให้ความเจ็บปวดทูลาลง และ ณสถานที่ดังกล่าวนี้เธอจึงคลอดบุตรน้อยของเธอออกมาสู่โลกโดยไม่มีหมอตำแยหรือพยาบาลทำคลอด
ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ความหวั่นกลัวที่จะต้องถูกทำให้อับอายและความคิดที่ว่า จะทำอย่างไรเพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของเธอกับผู้คน รุมเร้ามัรยัมจนทำให้เกิดความว้ววุ่นใจ เธอจึงกล่าวกับตนเองว่าหากฉันจะตายไปเสียก่อนนี้ก็จะดีและถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของผู้คน!’
จากนั้นเธอจึงได้ยินเสียงหนึ่งซึ่งกล่าวปลอบประโลมเธอว่า
‘จงอย่าได้เศร้าระทมไปเลย พระเจ้าของเธอทรงจัดเตรียมสายน้ำสายหนึ่งไว้ใต้ฝ่าเท้าของเธอ เพื่อเป็นที่ชุ่มฉ่ำกับจิตวิญญาณ และจงเขย่าต้นอินทผลัมที่อยู่ข้างตัวเธอเถิด เพื่อว่าลูกอินทผลัมสดๆ จะได้ร่วงหล่นมายังตัวเธอ จงกินและจงดื่มและทำให้จิตใจของเธอสงบ และถ้าหากเธอเห็นผู้ใดก็จงชี้และกล่าวว่า ฉันได้สาบานที่จะไม่พูดกับผู้ใด และในวันนี้ฉันจะไม่พูดกับบุคคลใด’
สิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ และการช่วยเหลือที่มองไม่เห็นจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง ทำให้มัรยัมมีความกล้าหาญ ฉะนั้นด้วยเพราะความสงบร่มเย็นนี้เธอจึงพาบุตรชายของเธอกลับไปยังสถานที่ๆ เธอเคยอาศัยอยู่เดิม เมื่อผู้คนเห็นมัรยัมกับลูกน้อยของเธอที่กอดอยู่แนบอกของเธอ พวกเขาจึงเริ่มดุด่าว่ากล่าวเธอด้วยคำพูดที่ว่า บิดาของเธอมิได้เป็นคนแลวอะไร หรือแม่ของเธอก็มิได้เป็นคนส่ำส่อน’
มัรยัมไม่พูดอะไรนอกจากชี้ไปที่ลูกน้อยของเธอ ซึ่งหมายความว่า’จงถามเขาเถิดว่าเกิดอะไรขึ้นและพวกท่านจะได้รับคำตอบ”
‘เราจะไปพูดกับหารกที่มีอายุเพียงแค่นี้ได้อย่างไร’ ซึ่งพวกต่าต่างพากันกล่าวออกมาอย่างตลกขบขัน
แต่ลูกน้อยของมัรยัมพูดออกมาโดยผ่านทางอำนาจของพระเจ้าและด้วยคำพูดที่ชัดเจนแจ่มชัดดังว่า
ฉันเป็นข้าทาสของพระเจ้า พระองค์ทรงประทานคัมภีร์ให้กับฉันและได้ทรงแต่งตั้งฉันให้เป็นศาสนทูตองค์หนึ่ง และไม่ว่าฉันจะอยู่ณ หนใด พระองค์ทรงกำหนดให้ฉันเป็นผู้ประกาศข่าวดี และด้วยกับมหาจำเริญของพระองค์และพระองค์ทรงมีบัญชามามายังฉันว่าตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ฉันต้องนมัสการและจ่ายซะกาต (เช่นเงินทองและอาหารให้กับผู้ยากไร้) และทรงทำให้ฉันมีความรักในมารดาของฉัน (อัล กุรอาน 19:16-32)
จิตใจอันใสสะอาดของเด็กน้อยผู้นี้ทำให้พวกเขานิ่งงันกันกันไป และสัญญาณอันยิ่งใหญ่นี้ได้ขจัดการใส่ร้ายและความระแวงสงสัยของพวกเขาที่มีต่อมัรยัมออกไป และพวกเขาต่างตระหนักแล้วว่าพารกน้อยผู้นี้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยกับพระประสงค์ของพระเจ้าโดยปราศจากบิดา และที่ว่าในอนาคตเขาจะมีตำแหน่งและความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่
การบรรยายถึงสภาพการณ์ของผู้คนก่อนการประกาศสาส์นของศาสดาอีซา
ก่อนการถือกำเนิดของอัล มะชีฮะ ปาเลสไตน์ตกอยู่ในอำนาจของพวกโรมัน ถึงแม้ประชาชนชาวปาเลสไตน์จะไม่มีใครให้การช่วยเหลือสนับสนุนพวกเรา เพื่อให้ประสบกับความสำเร็จในการปลดปล่อย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ยังดิ้นรนต่อสู้กับพันธมิตรของพวกโรมัน การต่อสู้อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ทำให้สถานการณ์ต่างๆ ของปาเลสไตน์และประชาชนของตนต้องเสื่อมทรามลง
เศรษฐกิจต้องประสบกับความวุ่นวาย และมีการเก็บภาษีที่รูดรีดอย่างหนักทำให้ยิ่งเลาร้ายลงไปอีก ผู้คนที่มีอิสระหากไม่อยากรู้สึกกลัดกลุ้มและอยู่แบบงอมืองอเท้า ก็จะต้องเข้าร่วมในการดิ้นรนต่อสู้ไปตลออดชีวิตและทุกสิ่งต้องประสบกับความหายนะและมีแต่ความอ่อนแอ ถึงแม้กับการศรัทธาของพวกยิวเองก็ตาม ตกต่ำลงถึงขนาดที่พวกเขาไม่ยอมปฏิบัติตามข้อบังคับในทางศาสนาของพวกเขาเองอีกต่อไป บางที่ความอ่อนแอในทางศาสนาอาจถือเป็นของขวัญชิ้นหนึ่งที่ประชาชนมอบให้กับนักล่าอาณานิคมไรมันก็เป็นได้ ลัทธิอาณานิคมต้องการใช้ของขวัญนี้อยู่เสมอมา และจะใช้