อาณาจักรของโซนี่ ขาขึ้น และขาลง

ความเป็นมาของบริษัทโซนี่ คอรปอเรชั่น เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง  มาซารุ อิบูกะ
ได้เปิดร้านซ่อมวิทยุ ณ ร้านสรรพสินค้าที่เสียหายจากการทิ้งระเบิด โตเกียว ต่อมาเมื่อ ค.ศ 1946 เขาได้ร่วมกับเพื่อนคนหนึ่งชื่อ อกิโกะ
โมริตะ  ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาชื่อโตกียว ชูชิน
โคเกียว (โตเกียว เทเลคอมมูนิเคชั่น เอ็นจิเนียริ่ง คอรปอเรชั่น)
  มาซารุ อิบูกะ  เป็นพลังทางวิศวกรรมและการออกแบบผลิตภัณฑ์ของโซนี่ เขาได้อยู่เบื้องหลังการคิดค้นของโซนี่มาตลอด ความสำเร็จทางเทคโนโลยีของโซนี่ภายในการออกแบบผลิตภัณฑ์  การผลิต  และการตลาด  ได้ทำให้ภาพพจน์ของ “Made in Japan” จากผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบราคาถูก กลายเป็นภาพพจน์ของคุณภาพที่เหนือกว่า ด้วยคำพูดของโมริตะเอง “มันทำให้โซนี่เป็นคาดิลแลคของอีเล็คโทรนิคไปเลย”
  บริษัทเริ่มต้นด้วยการผลิตหม้อหุงข้าว แต่ล้มเหลวขายได้ไม่ถึง 100 ใบ   ต่อมาบรรลุความสำเร็จด้วยการผลิตเครื่องเล่นเทปแม่เหล็กรายแรกของญี่ปุ่น 
ิิ เมื่อ ค.ศ 1985 โซนี่ ได้ผลิตวิทยุทรานซิสเตอร์เป็นเครื่องแรกของญี่ปุน และได้นำออกสู่ตลาดเรียกว่าวิทยุทรานซิสเตอร์ขนาดพกพาได้   แต่เนื่องจากวิทยุทรานซิสเตอร์ใหญ่เกินไปเล็กน้อย สำหรับกระเป๋าส่วนใหญ่  โมริตะได้สั่งให้พนักงานโซนี่ใส่เสื้อเชิรตที่มีกระเป๋ากว้างขึ้น ที่จริงแล้วผู้พัฒนาทรานซิสเตอร์คือเบลล์ แลปส์ และผู้ผลิต
ทรานซิสเตอร์คือ เวสเทิรน อีเล็คทริค
อกิโอะ โมริตะ ได้ทำให้โซนี่ เป็นหนึ่งตราสินค้าที่รู้จักและยอมรับนับถือมากที่สุดภายในโลก การซาวเสียงของแฮร์รีส แสดงให้เห็นว่าโซนี่ เป็นชื่อตราสินค้าหมายเลขหนึ่งของลูกค้าอเมริกัน นำหน้าบริษัทเจ็นเนอรัล อีเล็คทริค และโคคา-โคล่า
 ในไม่ช้าอกิโอะ โมริตะ รับรู้ว่าบริษัทต้องการชื่อที่ชาวต่างประเทศออกเสียงได้และจำได้ ดังนั้นเมื่อ ค.ศ 1958 ชื่อของบริษัทได้ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นโซนี่ ได้มาจากภาษาลาติน “sonus” แปลว่าเสียง และจากภาษาอเมริกันพื้นเมือง  “sonny boy” แปลว่า เด็กน้อย
  อกิโอะ โมริตะ ภูมิใจตัวเองกับโซนี่วอล์คแมน เครื่องเล่นเทปที่มีหูฟังพกพาได้ ที่จริงแล้วตามประวัติของบริษัท วอล์คแมนเป็นความคิดของ
มาซารุ อิบูกะ แต่โมริตะได้กดดันโครงการอย่างหนัก  การเอาชนะการต่อต้านเครื่องเล่นเทปที่บันทึกเสียงไม่ได้ภายในโซนี่ แม้ว่าเริ่มแรกโมริตะได้สงวนชื่อของผลิตภัณฑ์ไว้  ในที่สุดเขาได้สั่งให้บริษัทเรียกชื่อว่าวอล์คแมน
  การกลายเป็นระดับโลกของโซนี่ ได้เริ่มต้นขึ้นมาเมื่ออกิโอะ โมริตะ ได้ย้ายครอบครัวของเขาไปอยู่อเมริกา เพื่อที่จะเรียนรู้และเข้าใจชาวอเมริกา ตลาด และข้อบังคับของอเมริกา เขาได้สังเกตุเห็นว่าเด็กและเพื่อนของเขา  เล่นดนตรีตั้งแต่เช้าจนค่ำ บุคคลฟังเพลงจากวิทยุรถยนต์ และนำวิทยุขนาดใหญ่   ไปชายหาดและสวนสาธารณะ  ต้นกำเนิดความคิดของวอล์คแมน
  เมื่อ ค.ศ 1987 โซนี่ ได้ซื้อชีบีเอส เรคคอร์ด มูลค่า 2 พันล้านเหรียญ และเมื่อ ค.ศ 1989 ได้ซื้อโคลัมเบียร์ พิคเจอร์  มูลค่า 3.4 พันล้านเหรียญ โคลัมเบียร์ พิคเจอร์ สร้างภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์  และเป็นเจ้า
ของโรงภาพยนตร์ การซื้อโคลัมเบียร์ พิคเจอร์ ได้ทำเครื่องหมายทางออกแก่บริษัทอเมริกันที่รู้จักกันมากที่สุด โคคา-โคล่า คอมพานี เป็นเจ้าของโคลัมเบียร์ พิคเจอร์อยู่ 49% โซนี่ได้แสวงหาจุดยืนภายในธุรกิจซอฟท์แวร์ความบันเทิงอยู่
  การซื้อโคลัมเบียร์พิคเจอร์ได้สร้างสิ่งที่อุตสาหกรรมเรียกว่า “การรวมธุรกิจตามแนวดิ่ง”
โคลัมเบียร์ พิคเจอร์ เป็นเจ้าของหอภาพยนตร์มากกว่า 3,000 เรื่อง  และรายการทางทีวีประมาณ 2, 600 รายการ การสร้างการเสริมแรงระหว่าง ฮาร์ดแวร์อีเล็คโทรนิค และซอฟท์แวร์ความบันเทิง ในฐานะที่โซนี่เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์อีเล็คโทรนิคแนวหน้าของโลก เครื่องเสียง เครื่องเล่นวีดีโอ หรือโทรทัศน์  โซนี่ได้มองเห็นประโยชน์จากการเป็นเจ้าของเนื้อหาที่ลูกค้าต้องการเล่นบนอุปกรณ์อีเล็คโทรนิคของพวกเขา

การสร้างนวัตกรรมและการผลิตอีเล็คโทรนิคย่อส่วนเป็นคุณลักษณะสองอย่างของโซนี่ที่หาใครเทียบไม่ได้เลย   ภายใต้ความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ของอกิโอะ โมริตะ เขาได้แสดงบทบาท
ของการวางตำแหน่งโซนี่  เป็นผู้นำผลิตภัณฑ์
อีเล็คโทรนิคภายในโลก  เขาได้ปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและอเมริกาให้ดีขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
 อกิโอะ โมริตะ เป็นผู้นำที่มีบารมีด้วยพรสวรรค์ของความปราดเปรื่อง  บุคคลที่ได้มองเห็นเขากระทำจะรู้สึกประทับใจ  นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท เขาเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และเชื่อว่า
ความสำเร็จของบริษัทญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับการแข่งขันภายในตลาดต่างประเทศ  ไม่ใช่ตลาดภายในประเทศ
   การนำโซนี่ไปสู่ตะวันตกเป็นความท้าทายอย่างมากต่ออกิโอะ โมริตะ ความท้าทายของการรวมมุมมองโลกสองมุมที่ไม่สอดคล้องกันเข้าด้วยกัน : ญี่ปุ่นและอเมริกา เพื่อที่จะสร้าตราสินค้าของโซนี้ภายในอเมริกา ด้วยคำพูดของเอ็นซาบุโระ โอเอะ นักเขียนรางวัลโนเบิล ชาวญี่ปุ่น ” อกิโอะ โมริตะ เป็นบุคคระหว่างขั้วที่ตรงกันข้ามของความคลุมเครือ ขั้วหนึ่งคือวัฒนธรรมญี่ปุ่น(ตะวันออก) และอีกขั้วหนึ่งคือวัฒนธรรมอเมริกัน(ตะวันตก)
  อกิโอะ โมริตะ ได้กล่าวถึงการบริหารแบบอเมริกันปฏิบัติต่อคนงานเป็นแต่เพียงเครื่องมือ
ทำเงิน เมื่อเศรษฐกิจดี พวกเขาจ้างคนงานเพิ่ม เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี พวกเขาเลิกจ้างคนงาน แต่เรารู้หรือไม่เศรษฐกิจตกต่ำไม่ใช่สาเหตุจากคนงาน
บริษัทอเมริกันควรจะลดความสำคัญของการบริหารแบบราชการลง  และทดแทนด้วยความรู้สึกของความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์  และแรงบันดาลใจ เขามองเห็นว่าอเมริกามีช่องว่างของความไม่ไว้วางใจระหว่างผู้บริหารและคนงาน
  อกิโอะ โมริตะ คือบุคคลตัวอย่างของนวัตกรรม
หลายโอกาสที่พิสูจน์ได้ว่า เขามีพรสวรรค์ทางนวัตกรรมต่อโซนี้  เมื่ออกิโอะ โมริตะกลายเป็นซีอีโอของโซนี่ เขาเชื่อมั่นต่อปรัชญาของการนำประชาชนด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่………… เขาไม่ได้ใ้ช้การวิจัยตลาดเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จนตราบเท่าทุกวันนี้ โซนี่ทำการวิจัยตลาดน้อย บริษัทอเมริกันกังวลมากเกินไปกับการวิจัยตลาด “การวิจัยตลาดอยู่ภายในหัวของผมแล้ว” อกิโอะโมริตะ พูด
   อกิโอะ โมริตะ มีสไตล์การบริหารของเขาเอง  เราไม่มีทฤษฎีหรือแผนสร้างความสำเร็จทางธุรกิจได้ ความสำเร็จทางธุรกิจเกิดขึ้นจากบุคคลเท่านั้น ภารกิจสำคัญที่สุดของผู้บริหารญี่ปุ่นคือ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพนักงาน การสร้างความรู้สึกคล้ายครอบครัวภายในบริษัท ความรู้สึกที่ผู้บริหารและพนักงานร่วมโชคชะตาเดียวกัน ณ โซนี่ ประตูของการเปลี่ยนแปลง
และการปรับปรุงเปิดอยู่เสมอ การส่งเสริมการจ้างงานตลอดชีพ  การสร้างความเสมอภาค และความแตกต่างระหว่างผู้บริหารและพนักงานน้อยที่สุด

มาซารุ อิบูกะ อยู่ ณ หัวใจปรัญชาของโซนี เขาได้หว่านเมล็ดพันธ์ของความเชื่อมั่นไว้อย่างลึกซึ้งว่า ผลิตภัณฑ์ของเราต้องนำความสนุกสนาน และความสุขแก่ผู้ใช้ เขามักจะถามตัวเองเสมอ
ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถยกระดับชีวิตและวัฒนธรรมอย่างไร มาซารุ อิบูกะ เป็นซีอีโอของโซนี่จาก ค.ศ 1950-1971 เขาได้นำโซนี่ด้วยการผลิตภัณฑ์ที่แหกไปจากประเพณีของบริษัทญี่ปุ่นที่เพียงแต่ลอกเลียนแบบเทคโนโลยีและความคิดทางตะวันตกเท่านั้น
  เมื่อ ค.ศ 1950 มาซารุ อิบูกะ ได้เดินทางไปอเมริกา และได้รู้เกี่ยวกับทรานซิสเตอร์ของเบลล์ แลปส์  ดังนั้นเขาได้ติดต่อและขอใบอนุญาติจาก  เบลล์ แลปส์ นำเทคโนโลยีทรานซิสเตอร์มาสู่ญี่ปุน โซนี่ได้ผลิตวิทยุทรานซิสเตอร์เป็นรายแรกของญี่ปุ่น และผลิตโทรทัศน์ทรานซิสเตอร์เป็นรายแรกของโลกด้วย นอกจากนี้เขาไ้ด้นำทีมโครงการวิจัยโทรทัศน์สีไตรนิตรอน จนบรรลุความสำเร็จ
 
  Made in Japan :  Akio Morita and Sony เป็นหนังสืออัตชีวประวัติของอกิโอะ โมริตะ หนังสือเล่มนี้ไมเพียงแต่เล่าเรื่องราวของโมริตะ แต่ได้เล่าเรื่องราวการก่อตั้งบริษัทโซนี่ภายหลังการพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สองของญี่ปุ่นด้วย หนังสือได้สร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อวัฒนธรรมญี่ปุ่น และวิถีทางการคิดของชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะสไตล์และปรัชญาการบริหารธุรกิจของพวกเขาด้วย
  บุคคลบางคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากได้เรียนรู้จากชีประวัติของสตีฟ จ็อป ว่าทั้งอกิโกะ โมริตะ และโซนี่ เป็นแรงบันดาลใจแก่สตีป จ้อปและบุคคล ณ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
  แนวคิดการบริหารที่น่าสนใจของอกิโอะ โมริตะจากหนังสือเล่มนี้ที่ได้ถูกกล่าวถึงคือ บุคคลไม่ได้ทำงานเพียงเพื่อเงิน และถ้าเราได้พยายามจูงใจบุคคล   เงินไม่ได้เป็นเครื่องมือการจูงใจที่มีประสิทธิภาพที่สุด เพื่อที่จะจูงใจบุคคล เราต้องนำพสกเขาเข้ามาภายในครอบครัว และปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพ
  แม้ว่าผู้เรียนจบ MBA จากคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยอื่น ได้เพิ่มมากขึ้น   การบริหารเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก  ไม่อาจจะพิจารณาได้จากบรรทัดสุดท้าย: กำไร อยู่เสมอ  การบริหารไม่ได้อยู่บนบรรทัดสุดท้าย แต่ ณ เวลาเดียวกันบรรทัดสุดท้ายอาจจะทำลายบริษัทจากการไม่ลงทุนในระยะยาวได้ ผู้บริหารอเมริกันสามารถมองเห็นข้างหน้า 10 นาทีเท่านั้น ไม่สนใจต่อการมองเห็นระยะยาว บริษัทอเมริกันกำลังสูญเสียความสนใจต่อการผลิต อเมริกาได้ละทิ้งพลังทางอุตสาหกรรม ปัจจัยเหล่านี้ไม่ใช่อุปสรรคทางการค้าเป็นเหตุผลที่อเมริกาขาดดุลการค้ากับญี่ป่น
 อกิโอะ โมริตะ เสียชีวิตไปหกสิบกว่าปีแล้ว แต่เขายังคงเป็นผู้นำธุรกิจยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก และเป็นบุคคลเดียวเท่านั้นที่ชาวอเมริกันจำนวนมากบอกชื่อหรือรู้จักภาพถ่าย วารสารไทม์ ได้เลือกเขาเป็นหนึ่งในยี่สิบมีความฉลาดทางธุรกิจมากที่สุดของศตวรรษที่ 20 ที่ไม่เป็นชาวอเมริกันคนเดียวเท่านั้นที่ได้ถูกเลือก
   อกิโอะ โมริตะ ได้วิจารณ์ว่า บริษัทญี่ปุ่นใชัการว่าจ้างและการเลื่อนตำแหน่ง บนพื้นฐานของการเข้ามหาวิทยาลัยอะไร  โซนี่ได้เลิกถามชื่อมหาวิทยาลัยของผู้สมัครงาน และเป็นบริษัทญี่ปุ่นรายแรกที่กำหนดเงินเดือนส่วนหนึ่งบนพื้นฐานของคุณค่า ไม่ใช่อาวุโสอย่างเดียวเท่านั้น

โซนี่ได้มุ่งที่นวัตกรรมและคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ สูง    ผลิตภัณฑ์ของโซนี่ต้องเป็นนวัตกรรมอยู่เสมอ เนื่องจากบริษัทเชื่อว่า นวัตกรรมมีอุปสงค์มากมาย และไม่ต้องโยงกับการวิจัยตลาดมาก ดังที่ อกิโอะ โมริตะ ได้กล่าวว่า “แผนของเราคือนำประชาชนด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ใช่ไปถามพวกเขาว่าต้องการผลิตภัณฑ์อะไร ประชาชนไม่รู้ว่าอะไรเป็นไปได้ แต่เรารู้” สตีฟ จ็อป ผู้ก่อตั้งแอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์  ได้อ้างอิงคำพูดนี้อยู่เสมอ
  อกิโอะ โมริตะ เป็นบุคคลที่ทำให้ญี่ปุ่นผงาดขึ้นมาจากเศษหินและอิฐภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นความร่ำรวยทางธุรกิจ และเขาได้กลายเป็นฑูตอย่างไม่เป็นทางการของชุมชนทางธุรกิจของญี่ปุ่นต่อชาวโลก เขาเป็นนักเดินทางที่ไม่รู้จักเหนื่อย และย้ายครอบครัวไปอยู่นิวยอร์คเป็นปี เพื่อที่จะเรียนรู้วิถีทางของชาวอเมริกัน เขาได้เป็นหัวหอกของธุรกิจญี่ปุ่นให้กลายเป็นระหว่างประเทศ  โซนี่เป็นบริษัทญี่ปุ่นรายแรกที่ได้ขายหุ้นภายในตลาดหุ้นนิวยอร์ค  และเป็นบริษัทแรกที่สร้างโรงงานภายในอเมริกา เขาได้สร้างความสัมพันธ์ที่ราบรื่นระหว่างอเมริกาและญี่ปุ่น

รูปได้แสดงให้เห็นถึงการใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายของโซนี่  ธุรกิจแกนของโซนี่คือคอนซูม
เมอร์อีเล็คโทรนิค   เพื่อการป้องกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ของบริษัท โซนี่ได้ใช้กลยุทธ์การ
รวมธุรกิจตามแนวดิ่งไปทางหลัง การผลิตส่วนประกอบอีเล็คโทรนิคของโทรทัศน์ เครื่องเล่นดีวีดี  และผลิตภันฑ์อื่นของบริษัทเอง   ไม่สั่งซื้อจากซัพพลายเออร์ภายนอก โซนี่ได้ใช้กลยุทธ์ของการรวมธุรกิจตามแนวดิ่งไปทางหน้า ภายหลังจากที่บริษัทได้ซื้อโคลัมเบียร์ พิคเจอร์ ธุรกิจภาพยนตร์  ซีบีเอส เรคคอร์ด ธุรกิจดนตรี  และ บริษัทได้เปิดร้านค้าโซนี่ขึันมาหลายแห่งภายในศูนย์การค้า  โซนี่ได้ใช้กลยุทธ์การกระจายธุรกิจที่เกี่ยวพันกัน  การเข้าไปสู่อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน  และกลยุทธ์การ
กระจายธุรกิจแบบไม่เกี่ยวพันกันเข้าไปสู่อุตสาหกรรมเกม เพลย์สเตชั่น ด้วย   ปัจจุบันนี้ธุรกิจเหล่านี้ได้สร้างกำไรแก๋โซนี่  สูงกว่าธุรกิจแกนของบริษัท
  แม้ว่าโซนี่ได้บรรลุความสำเร็จจากการใช้กลยุทธ์เหล่านี้ เมื่อกาลเวลาผ่านไป การทำกำไรของบริษัทได้ลดลง นักวิเคราะห์มองว่าโมเดลของธุรกิจหลายอย่าง ได้นำโซนี่ไปสู่การกระจายธุรกิจอย่างกว้างขวาง และการมุ่งผลิตภัณฑ์ใหม่และคุณค่าสูง   ทำให้โซนี่ละเลยโครงสร้างต้นทุนของบริษัท ต้นทุนการบริหารที่เพิ่มสูงขึ้นของโซนี่  ได้ลดการทำกำไรลง  และการสร้างนวัตกรรมที่ช้าลงของบริษัท การทำให้คู่แข่งขัน เหมือนเช่นซัมซุงตามทัน และแม้แต่สามารถยึดครองธุรกิจสมาร์ทโฟนไปได้

บริษัทต้องเตือนใจอยู่เสมอว่ากลยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ภายในบริบทเท่านั้น พระอาทิตย์ขึ้น แล้วต้องตก ดังนั้นบริษัทต้องมีขึ้นและลง โซนี่เริ่มต้นยิ่งใหญ่มาตั้งเริ่มต้นก่อตั้งบริษัท   เจ้าแห่งอีเล็ค
โทรนิคเพื่อผู้บริโภคที่หาคู่แข่งขันไม่ได้ของโลก
เมื่อกาลเวลาผ่านไป กลยุทธ์ที่เคยรับใช้โซนี่ได้ดี แต่ในขณะนี้กำลังล้มเหลว โซนี่เริ่มต้นขาดทุนมาตั้งแต่ ค.ศ 2008 ติดต่อเรื่อยมาหลายปี
  ถ้าเราต้องชี้วันตกต่ำภายในความเป็นมาโซนี่  วันที่ 23 ตุลาคม 2001 เป็นวันที่สตีฟ จ็อป ขึ้น
เวทีใส่เสื้อยืดรัดคอ ประกาศการปฏิวัติดนตรี
ครั้งต่อไปด้วยไอพอด   ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่สำคัญที่สุด จนกลายเป็นจุดจบของวอล์คแมนที่พ่ายแพ้ไอพอดของแอปเปิ้ล และได้กลายเป็นตัวอย่างคลาสสิคของการปรับตัวไม่ทันตามยุคดิจิตอล
   เมื่อ ค.ศ 2012  คาซูโอะ ฮิรานิ ขึ้นมาเป็นซีอีโอของโซนี  เพื่อการฟื้นฟูอาณาจักรโซนี่ที่ตกต่ำลง เขาได้กล่าวว่า โซนี่จะไม่มุ่งการเจริญเติบโตของยอดขายของธุรกิจ เช่น สมาร์ทโฟน โทรทัศน์ หรือเครื่องฟังเพลง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งขันต้นทุนต่ำของเอเซีย  เช่น จีน และเกาหลี และผู้นำอุตสาหกรรม เช่น ซัมซุง  อีเล็คโทรนิค และแอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ เขารู้ว่าโซนี่
ได้สูญเสียข้อได้เปรียบทางการแข่งขันตั้งแต่ ค.ศ 2000  จากการปรากฏขึ้นของคู่แข่งขัน
เช่น ซัมซุง และแอลจี ได้ตัดราคาของโทรทัศน์ลงมากขึ้น เมื่อตราสินค้าโซนี่กำลังสูญเสียความรุ่งโรจน์   บริษัทได้พบว่าเป็นเวลาที่ยากลำบาก
ต่อการกำหนดราคาที่สูงได้
  โซนี่จะมุ่งการเจริญเติบโตของยอดขายของธุรกิจที่มีกำไรมากขึ้น เช่น  ความบันเทิง เครื่องเล่นเกม เครื่องเล่นวีดีโอ หรือแม้แต่การประกันชีวิต คาซูโอะ ฮิรานิ ได้กล่าวว่า เขาไม่ขัดขวางกลยุทธ์การออกไปจากธุรกิจสมาร์ทโฟนหรือโทรทัศน์ของโซนี่ ความเป็นไปได้ของการขายหรือหาหุ้นส่วนของธุรกิจที่กำลังต่อสู้เหล่านี้ เท่าที่ผ่านมาโซนี่  ได้ขายธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลออกไป
  คาซูโอะ ฮิรานิ ได้ปรับปรุงโครงสร้างของโซนี่อย่างทะเยอทะยานนานกว่าสามปี เขาได้ประกาศโครงสร้าง ” One Sony” อย่างรวดเร็ว การมุ่งเน้นการสื่อสาร  และการตัดสินใจร่วมกันท่ามกลางหน่วยธุรกิจที่เป็นไซโลของโซนีการเลิกจ้างบุคคลมากกว่า 1,000 คน เนื่องจากโครงสร้างที่ป่องและเป็นไซโลของโซนี่

Cr : รศ สมยศ นาวีการ