jos55 instaslot88 Pusat Togel Online โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เมื่อผมยังเด็กๆ - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เมื่อผมยังเด็กๆ

        โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เมื่อผมยังเด็กๆ

ผมมาอยู่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ ๓ เมื่อประมาณ ปี พศ. ๒๔๙๖ เลขประจำตัว ๘๔๓๒ และได้เรียนจนถึงชั้น มัธยมปีที่ ๖ หรือปัจจุบัน เทียบได้กับชั้น ม ๔  ซึ่งสมัยนั้น ม. ๖ยังเป็นปีสุดท้ายของมัธยมต้น  และได้ไปต่อมัธยมปลายที่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนคริทร์วิโรฆ ประสานมิตร สรุปแล้ว อยู่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนมา ๘ ปี หรือ ถ้าปัจจุบัน อายุ ๗๐ ปี ก็เท่ากับใช้เวลาที่โรงเรียนนี้ เกือบ ๑ ใน ๗ ของชีวิต ผมขออเรียกชื่อโรงเรียนสั้นๆว่า บีซีซี. ( Bangkok Christian College)
ถนนประมวญ เป็นถนนที่ตัดระหว่าง ถนนสีลม และถนนสาธร ติดๆกับแยกสุรศักดิ์ หรือปัจจุบันคือแยกลงทางด่วนนั่นเอง  บีซีซี อยู่ตรงที่ถนนประมวญ นี้  สำหรับโครงสร้างภายในโรงเรียน ถ้าหันหน้าเข้าหาโรงเรียน จะเริ่มจาก ประตูทางเข้า ที่มี ๒ ประตูห่างกันพอประมาณ มีถนนทอดยาวเป็นรูปครึ่งวงกลม ตรงกลางด้านหน้าถนนเป็นสนามเล็กๆและเสาธง ที่เราร้องเพลงเคารพธงชาติทุกเช้า และด้านหลังส่วนโค้งของถนนเป็นสำนักงานของโรงเรียน และห้องพยาบาล โดยที่เยื้องมาทางซ้าย จะเป็นที่พัก ของ อาจารย์ อารีย์ เสมประสาท หรือที่เรียกว่าป๋ามาตั้งแต่รุ่นพี่ดึกดำบรรพ์ จนถึงรุ่นน้องลงไปอีกหลายๆรุ่น  ป๋าทีรักเคารพของพวกเรามากๆเป็นสัญญลักษณ์ ของพวกเราทั้งหมดทุกรุ่น สำหรับทางขวาของสำนักงานโรงเรียน จะเป็นห้องประชุมใหญ่ ที่ป๋าใช้เป็นสถานที่อบรมสั่งสอนนักเรียน ด้านหลังของสำนักงาน เป็นโรงอาหาร ที่เราเรียกว่าโรงช้าง ซึ่งตอนนี้ ผมก็ลืมๆไปแล้วว่าทำไมถึงเรียกว่าโรงช้าง หลังโรงอาหาร เป็นโรงครัว และสถานที่ของนักเรียนประจำ 
ชั้นประถม จะอยู่ที่ตึก ๒ ชั้น แถวยาว ริมรั้ว ด้านซ้ายของโรงเรียน ขณะที่ นักเรียนที่โตๆ ชั้นมัธยมจะอยู่ทางด้านขวาของโรงเรียนทีมีสนามฟุตบอล  รายล้อมด้วย เรือนไม้ ด่อด้วย ตึกเรียน ๒ ชั้น และ ๔ ชั้นอยู่ริมขวามือ ตึก ๒ ตึกขั้น ด้วยห้องน้ำ ที่นักเรียนบางคนไปชุมนุมกันแอบสูบบุหรี่ และสังสรรค์กันในห้องน้ำเวลาพัก ข้างหลังตึกเรียน แต่เป็นด้านขวาสุดของโรงเรียน ที่เป็นบริเวณติดกับถนนสาธรเหนือจะเป็นที่ทำการของสภาคริสต์จักรและโรงเรียนสอนภาษาไทย สำหรับโบสถ์ อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนประมวญ ตรงหน้าโรงเรียน   ซึ่งเป็นแนวเดียวกันกับโรงเรียนผดุงดรุณี ที่เป็นโรงเรียนหญิง ที่ปักอักษรย่อที่หน้าอก ว่า ผด. ก็อยู่ตรงข้าม กับโรงเรียน บีซีซี เหมือนกัน
ที่สนามฟุตบอลนั่นเอง ที่เราเด็กๆ นั่งดูพี่ๆเขาเตะฟุตบอลกันตอนเย็นๆ เพราะต้องรอพ่อแม่มารับ จำได้ว่ามี พี่ๆที่เล่นฟุตบอลเก่งๆชื่อ โชคชัย และวันชัย สุวารี และเฉลิม โยนส์ พอเราโตขึ้น ย้ายมาอยู่ฝั่งมัธยมนั้น สนามฟุตบอลเป็นสนามที่นักเรียน แบ่งข้างกันเล่นบอล ตอนพักกลางวัน  จะมีบอลพลาสติกอยู่ลูกเดียว ที่นักเรียนเฮโลวิ่งไล่กันทั้งสนาม ใครแย่งบอลได้ก็เตะขึ้นฟ้า แล้ว ก็แย่งกัน แล้วก็เตะขึ้นฟ้า ทำแบบนี้ จนหมดเวลากลับเข้าห้องเรียน เหงื่อโชคกันทุกคน เมื่อถึงตอนเย็น ก็เป็นสนามสำหรับนักฟุตบอล
เมื่อผมเข้ามาใหม่ๆ ผู้ปกครองให้ผูกข้าวกลางวันที่โรงเรียน และให้เงินติดกระเป๋ามาวันละ ๑ บาท ซึ่งก็จะซื้อของกินหมดทุกวัน วันไหน ไม่อยากกินอาหารโรงเรียน ก็จะมาซื้อ หมี่ขาวราดซีอิ๊ว ๑ สลึง จากคุณป้าแก่ๆคนหนึ่ง แล้วซื้อน้ำเฉาก๊วย อีก ๑ สลึง เมื่ออยู่ชั้นสูงๆขึ้น ก็ได้เงินเพิ่มเติมไปโรงเรียนเป็นลำดับ เช่น เพิ่มเป็น ๒ บาท หรือ ๓ บาท จำได้ว่า พออยู่มัธยม ๖ ซึ่งเป็นปีสุดท้าย ได้เงินวันละ ๗ บาท และเมื่อย้ายโรงเรียน ไปเรียนที่สาธิตประสานมิตรนั้น ได้เงินติดกระเป๋าวันละ ๕ บาท เพราะ ที่โรงเรียนสาธิตฯ ต้องกินข้าวโรงเรียนทุกคน
กินข้าวโรงเรียนได้ไม่นานนัก ก้เริ่มเอาข้าวใส่กล่องสังกะสีจากบ้านมากินที่โรงเรียน เอากล่องข้าวใส่ไว้ในโต๊ะเรียน ที่เปิดฝาโต๊ะขึ้นด้านบน ขณะที่เรียนๆไป ไม่รู้จะทำอะไร ก็เปิดฝาโต๊ะ ตักข้าวเข้าปาก ข้าวที่เอาไป บ่อยครั้งที่หมดตั้งแต่เช้า เพราะตักกินไปเรื่อยๆ ฟังครูสอน ปากก็เคี้ยวข้าวตุ้ยๆ
ที่ โรงอาหาร บีซีซี จะมีร้านก้วยเตี๋ยวเนื้อวัว โดยคนขายจะหยิบเส้นหมี่วางใส่ชามเรียงเตรียม ไว้ พอนักเรียนมาเข้าแถว ก็หยิบชามก้วยเตี๋ยวส่งให้คนขายตักน้ำและเนื้อใส่ ที่จำได้จนถึงเดี๋ยวนี้ เพราะ นักเรียน ที่เข้าแถว จะเอาบะหมี่ ๒ ชาม หรือ ๓-๔ ชามที่วางเรียงไว้ โปะลงไปในชามเดียว แล้วให้คนขายตักน้ำใส่ ชามละ ๑ บาท อิ่มครับ คนขายก็รู้ดี เพราะทำมาแล้วหลายๆรุ่น หลายๆปี
สิ่งที่ประทับใจอีกเรื่องหนึ่งคือ ตอนอยู่ชั้นประถม ในระยะพักสิบนาที เช้า จะมี กะหรี่ปั๊บ ใส้ กะหรี่ไก่ หรือเนื้อมาวางขาย นอกนั้น ก็คือ กล้วยหอม เนยแข็ง ซึ่งขณะนี้ ถ้าเห็นกะหรี่ปั๊บ และ เนยแข็ง กับกล้วยหอม จะคิดถึงความหลังตอนเด็กๆที่จำมาจนถึงทุกวันนี้
ขณะที่เรียนอยู่นั้น เพื่อนสนิท คนหนึ่งบ้านอยู่ที่ซอย เซ็นต์หลุยส์ ถนน สาธรเหนือ ซึ่งขณะนั้น ยังเป็นสวนบริเวณกว้าง ทอดยาวไปจนถึงซอยสวนพลู  บ้านเพื่อนอยู่กลางสวน ผมได้ไปบ้านเพื่อน เดินเล่นในสวนบ่อย โดยเป็นถนนคนเดิน เทคอนกรีตทอดยาวและมีแยกไปตามที่ต่างๆ เพื่อนพาไปหาง่ามกิ่งไม้เพื่อเอามาทำง่ามหนังสติ๊ก ซึ่งก็ได้ทำ มีอยู่หลายอัน แต่ยิงนกไม่ถูกสักตัว เพราะไม่แม่นยำ
เมื่อโตขึ้น ขณะที่เรียนอยู่มัธยม ๓ หรือเทียบกับ ม.๑ ปัจจุบัน ได้คุยกับเพื่อนที่เป็นนักเรียนประจำเรื่องบุหรี่ คุยแล้ว เพื่อนเอาเงิน ๑ บาท ให้ผมซื้อบุหรี่ กรุงทอง ๔ มวน ไปให้ตอนเช้าๆ เพื่อสูบในส้วมทุกวัน  เมื่อเอาบุหรี่ให้เพื่อน เขาก็แบ่งให้ผม ๑ มวน ไปแอบสูบด้วยกัน ครั้งแรกที่สูบจะมึนๆหัวมาก ต่อมาก็เคยชิน พอตกเย็นกลับบ้าน ก็ได้ซื้อเองอีก๑ บาท เข้าไปแอบสูบที่บ้าน จนเรียกว่า ติดบุหรี่ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา และมาเลิกบุหรี่ได้ เมื่ออายุประมาณ ๓๕ ปี หรือสูบบุหรี่มาเป็นเวลาประมาณ ๒๓ ปี
ในช่วงที่เป็นวัยรุ่นนั้น เป็นระยะเวลาที่ประเทศไทยรับเอาอารยธรรมตะวันตก โดยเฉพาะเรื่องเพลงเข้ามา มีวิทยุและนักจัดรายการเพลง ทีมีการขอเพลงให้กันและกัน นักร้องที่ยิ่งใหญ่ในตอนนั้นมีมากหลายคน  แต่ในปัจจุบันนี้ พวกเรายังประทับใจ เอลวิส เพรสลี่ ผู้ยิ่งใหญ่ และไม่เคยตายไปจากหัวใจของเรา ตอนนั้น เราไว้ผมทรงมดแดงชะเง้อ หรือทรงตั้งๆ ใช้น้ำมันตันโจติ๊กที่เหนียวๆทำให้ผมตั้ง ใส่เสื้อแขนสั้นพับแขน และถือกระเป๋าใส่หนังสือเรียน เป็นกระเป๋าที่บริษัทการบินแจก แต่ความจริง เราไปขอซื้อที่บริษัทการบิน เรียกว่ากระเป๋าเครื่องบิน
มีเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันรวมกันเป็นกลุ่ม ๔-๕ คน ในนั้น มีน้องของเล็ก วงศ์สว่าง ด้วยคนหนึ่ง ผมได้เข้าไปร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆ โดยมาเรียนแต่เช้า แต่ไม่ได้เข้าโรงเรียน ไปนั่งร้านก้วยเตี๋ยว กินอาหารเช้านั่งคุยกันก่อนจนถึงใกล้เวลาเรียน จึงได้ไปเข้าโรงเรียน  การนั่งร้านกาแฟเช้าๆก่อนเข้าเรียนนั้น ถือเป็นธรรมเนียมนิยมกันหลายรุ่น มีทั้งรุ่นพี่ ที่นั่งกันแถวหัวถนนประมวญ และกลุ่มอื่นๆ แยกย้ายกัน พอตกเย็นเลิกเรียน ก็ไปนั่งคุยกันก่อนก่อนกลับบ้าน ยกเว้นบางคนเป็นนักฟุตบอล ก็ใช้เวลาหลังเลิกเรียน ซ้อมฟุตบอล
การหนีเรียน ถือเป็นเรื่องธรรมดาของนักเรียน ขนาดเมื่อผมมาเรียนมัธยมปลายที่ สาธิตประสานมิตร เพื่อนๆ หรือรุ่นพี่ รุ่นน้องที่เป็นนักเรียนหญิง ก็ยังหนีเรียนอยู่เหมือนกัน วิธีการหนีเรียน ที่บีซีซี ทำได้หลายรูปแบบ วิธีที่ ๑ ง่ายมาก คือทำทีว่าป่วย ขอลากลับบ้าน เดินหิ้วกระเป๋า ออกหน้าประตูโรงเรียนไปดื้อๆ ถ้าไม่มีครูสงสัย ก็สบายไป วิธีที่ ๒ คือกระโดดหน้าต่างวิ่งออกไปทางประตูของ สภาคริสต์จักรแบบติสต์ฝั่งถนนสาธรเหนือ และวิธีที่ ๓ คือปีนรั้วโรงเรียนด้านหลัง ไปออกถนนวัดแขก อย่างไรก็ตาม วิธีที่ง่ายที่สุดคือไม่เข้าโรงเรียน ตั้งแต่ตอนเช้าเลย แล้ววันรุ่งขึ้น ก็ปลอม จดหมายผู้ปกครองลาป่วยมาส่งครู
สถานที่ที่เราไปมีหลายแห่ง แต่ หลังวังบูรพา เป็นย่านชุมนุม ของนักเรียน เซียนๆทั้งหลาย บางครั้ง พี่น้องอยู่โรงเรียนเดียวกัน ออกจากบ้านไปเหมือนกัน ต่างก็หนีเรียน ไปเจอกันโดยไม่ได้นัดหมาย อีกแห่งที่นักเรียนไปกัน คือโรงหนังชั้นสอง ที่ฉายหนังจบแล้ว วน ตั้งต้นใหม่ จะเข้าไปดู หรือจะกลับตอนไหนก็ได้ สามารถกบดานอยู่ในโรงหนังได้นาน บางครั้ง มีเงินในกระเป๋าน้อย ไปไหนไม่ได้ ก็ไปนั่งร้านเครื่องดื่ม อาหมวยสวยๆ นั่งแช่คุยกัน หลายๆชั่วโมง ไม่เบื่อ
เล่าเรื่องรอบๆตัวแล้ว ขอวกเข้าเรื่องเรียนหนังสือบ้าง ปกติ ผมเป็นคนที่สติปัญญาไม่ดีนัก เวลาสอบแข่งขันมักจะได้คะแนนเป็นที่ท้ายๆ แต่ก็เป็นคนโชคดีที่ตอนเรียนสมัยเด็กๆ ไม่เคยสอบตกเลย เมื่ออยู่ประมาณ ชั้น ม๓ (หรือ ม๑ ปัจจุบัน) ผู้ปกครองได้ส่งผมไปเรียนพิเศษ ภาษาอังกฤษ กับครอบครัวคุณอา ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งครอบครัวคุณอานี้ ช่วยเปลี่ยนชีวิตผม จากคนขี้เกียจเรื่อยๆ กลายเป็นคนขยัน เพราะคุณอาบังคับให้ทำการบ้าน และท่องศัพท์ ประจำทุกวัน และเป็นคนขยันตั้งแต่นั้น แม้ชีวิตจะร่วมสนุกกับกิจกรรมนอกลู่นอกรอยไปบ้าง แต่ ก็มีความขยัน แม้จะขยันอย่างไร ก็สู้เพื่อนๆไม่ได้เพราะความจำไม่ดี เมื่อจบมัธยมต้น ผมได้คะแนน ไม่ถึงที่จะเรียนต่อที่ บีซีซี ได้ ผมจึงไปสมัครเรียนที่สาธิต ประสานมิตร ซึ่งสอบในเวลาเดียวกับเตรียมอุดม รู้ตัวดีว่า ถ้าจะสอบเข้าเตรียม คงจะไม่ได้แน่นอน และแล้ว ผมก็ได้เข้าไปใช้ชีวิตช่วงหนึ่งที่ประทับใจกับ อาจารย์ รุ่นพี่ รุ่นน้อง และเพื่อนๆ ที่สาธิตประสานมิตรนั่นเอง
เหตุการณ์ที่ประทับใจในรอบปีที่ บีซีซีนี้ มีอยู่ ๒ เหตุการณ์ อันแรกคือการแข่งขันฟุตบอล ที่โรงเรียนนี้ มีบอลประเพณี ครั้งแรก ก็เพียงคู่เดียว คือ บีซีซ๊-เอซี หรือ คริสเตียน กับอัสสัมชัญ ต่อมาได้ทราบว่า เป็นจตุรมิตร คือเข้าร่วมกับ เทพศิรินทร์ และสวนกุหลาบ เป็น ๔ โรงเรียน ในแต่ละปีที่มีการแข่งขันฟุตบอล ที่สนามกีฬาแห่งชาติ จะมีการซ้อมร้องเพลงของโรงเรียน ซึ่งนักเรียนจำได้ขึ้นใจ โดยเฉพาะเพลงประจำโรงเรียน ซึ่งทุกครั้งที่ไปงานชุมนุมศิษย์เก่า ก็มีการร้องเพลงนี้  ความไฝ่ฝันของผม ที่ไม่เคยบรรลุความฝันเลย คือเป็นตัวแทนโรงเรียนไปเล่นฟุตบอลที่สนามกีฬาแห่งชาติ หรือสนามศุภชลาสัย เพราะถึงแม้จะเล่นบอลมาก แต่ก็ไม่เคยเก่งสักที และเมื่อโตขึ้น ก็ไม่เคยเป็นนักฟุตบอลตัวแทนสถาบันสักครั้งหนึ่ง
เหตุการณ์ที่ ๒ คือวันคริสต์มาส ในเดือนธันวาคม ก่อนจะมีวันคริสต์มาส นักเรียนจะได้เข้าโบสถ์ ไปฟังเทศนา และร้องเพลงตามกรรมวิธีของคริสเตียน พวกเราดีใจมาก เพราะไม่ต้องเรียนหนังสือที่น่าเบื่อจำเจระยะหนึ่ง ทำให้หลักศาสนาคริสต์ ซึมซับเข้าสู่ตัวพวกเราทุกๆคน แต่ที่เรายังไม่เชื่อมั่นในศาสนาใดตอนนั้น เพราะเรายังเด็กและไม่คิดเรื่องชีวิต อนาคต แต่ก็พอสรุปความว่า หลักการของศาสนาต่างๆนั้น คล้ายคลึงกัน แม้จะมีหลักปฏิบัติที่แตกต่าง สรุปคือ ศาสนา ทำให้เราเป็นคนที่คิดมุ่งมั่นในสิ่งที่ดี และทำดี รวมทั้งการ ช่วยเหลือมวลมนุษย์ชาติ เมื่อถึงวันคริสต์มาสของโรงเรียน คือวันที่ ๒๔ ธันวาคม หรือร่นเข้ามาถ้าตรงกับวันหยุด เราได้ออกไปข้างนอกซื้อของ โดยไม่ต้องหนีโรงเรียน เพราะเราจะจัดงานที่ห้องเรียนทุกห้องจะ ประดับไปด้วยกระดาษย่นสีๆ เป็นริ้ว สวยงาม มีต้นคริสต์มาสตั้งตระหง่านทุกต้น วันคริสต์มาสนี้ เราจะไปโรงเรียนด้วยความเต็มใจ ไม่ต้องเอากระเป๋าหนังสือไป เพราะไม่มีเรียน เราจะมีการละเล่น และจับฉลาก พร้อมทั้งรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน ต่อจากนั้น ก็เป็นวันหยุด ซึ่งเทศกาลจะต่อเนื่องไปจนถึงวันปีใหม่
มีความประทับใจส่วนตัวอีกเรื่องหนึ่งคือ ในช่วงก่อนวันที่ ๒๓ ตุลาคม ซึ่งเป็นวันปียมหาราช ขณะที่นั่งเรียนในช่วงบ่ายๆบางวันจะได้ยินเสียงกลองตึงๆๆๆ มาทางถนนสาธรเหนือ ปรากฎว่าเป็นการซ้อมเดินพาเหรดของโรงเรียนศึกษาวิทยา ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน นักเรียนทุกคนไม่เป็นอันเรียน วิ่งไปดู ขบวนที่ซ้อมผ่านไปนั้น เพราะดรัมเมเยอร์สวยมากๆ เป็นที่รู้จักของ นักเรียน บีซีซี ทุกคน คือ อาภัสรา หงสกุล อดีตนางงามจักรวาลที่เราภูมิใจกัน พอถึงวันปียมหาราช พวกเราก็พากันที่ บริเวณ พระบรมรูปทรงม้า เพื่อไปดูขบวนพาเหรดชุดนี้ นั่นเอง
ขณะที่เราขึ้นชั้นมัธยมนั้น เรามีกิจกรรมลูกเสือ ตั้งแต่เป็นลูกเสือสำรอง ลูกเสือตรี ลูกเสือโท และลูกเสือเอก และบางคนได้เป็นสารวัตรลูกเสือติดแขนแดง กิจกรรมลูกเสือนี้ ในรอบปี เราจะไปเข้าค่ายที่ บ้านกล้วย ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานีดาราศาสตร์ และสถานีขนส่งเอกมัย ในการเข้าค่ายนี้ ครู จะแบ่งพวกเราออกเป็นกลุ่มๆ แล้วให้สร้างค่ายลูกเสือจากกิ่งไม้ที่ตัดหาเอาแถวนั้น นอกจากนั้น ก็มีการอยู่ค่าย ทำอาหารกินกัน มีการสอบ การจุดไฟ ที่ก่อจากฟืน และก้อนหินแถวนั้น สอบการทำอาหาร ซึ่งทำให้หม้อ ภาชนะที่เอาไปจากบ้าน ไหม้ดำ ทุกๆปี เป็นที่ระอาของผู้ปกครอง สำหรับการสอบว่ายน้ำนั้น สอบที่คลองสาธร หน้าโรงเรียน ที่ทุกคนต้องว่ายข้ามคลองสาธร จึงจะสอบผ่าน พอถึงวันที่ ๒๕ พศจิกายน ทุกโรงเรียน รวมทั้ง บีซีซ๊ จะไปจัดขบวนวางพวงมาลาสักการะกันที่อนุสาวรีย์ พระมหาธีรราชเจ้า ร. ๖ ที่สวนลุมพินี และในพิธี จะมีการร้องเพลง ลูกเสือสดุดีพระองค์ท่าน
มีหลายคนคงจำกันได้ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จนิวัตรพระนคร หลังจากทรงเสด็จประพาสยุโรป หลายประเทศ พวกเราเหล่าลูกเสือ ได้ไปเข้าแถวรอรับเสด็จที่เส้นทางเสด็จผ่าน พวกเราได้เข้าเฝ้า ตัวจริงของทั้งสองพระองค์เป็นครั้งแรกด้วยความประทับใจ 
วิชาพลศึกษาเป็นอีกวิชาหนึ่งที่เราจะต้องสอบ โดยเฉพาะการโหนบาร์คู่ ท่าโหนที่ต้องหกหัว หรือกลับหัวนี้ จะยากและท้าทายมาก ตอนแรกผมจะกลัวๆ และทำครั้งแรกไม่ได้ แต่ต่อมา ก็ตั้งมั่นว่าต้องทำ แล้วก็ทำได้ ครูพละ ของเราเรียกว่าครูเด๋อ สอนมาหลายๆปี คงตลอดชีวิตของท่าน ที่บันทึกถึงท่านไว้ตรงนี้ เพราะ ท่านจะแต่งตัวด้วยเสื้อแขนยาวสีขาว และกางเกงขายาวสีขาวทุกๆวัน และทราบว่าบ้านท่านอยู่ไกล แถวดอนเมือง แต่ท่านขี่จักรยานส่งของคันใหญ่ๆ สมัยเก่า มาโรงเรียน และกลับ ทุกๆวัน หลายๆปี
ตอนที่เรียนชั้นมัธยมนั้น ไม่ได้คิดถึงอนาคต แบบเด็กๆที่ไม่ได้สนใจว่า ในเวลาข้างหน้าจะไปที่ไหนอย่างไร จนถึงปีสุดท้ายของมัธยมต้น ก่อนจะสอบ และจากร่ำลากันนั้น ได้เขียนลงในสมุด มิตรภาพ หรือ เฟรนชิพ ให้กันและกัน คนละเล่ม และมีการทำหนังสืออนุสรณ์ มีรูปและเรื่องราวของพวกเรา คนละเล็กน้อย ซึ่งสิ่งที่ทำไว้นั้น ยังเก็บไว้อยู่ทั้งหมด ผมเขียนตรงอนาคตของผมในหนังสืออนุสรณ์ ว่า อยากเป็นรั้วของชาติ เพราะเพื่อนที่นั่งข้างๆแนะนำให้เขียน โดยตอนนั้น ไม่ได้คิดว่า จะได้มาเป็นผักสวนครัวรั้วกินได้ หรือ”เกษตร” นั่นเอง
สมัยนั้น ไม่ได้คิดว่า ในอีก ๕๐ กว่าปีข้างหน้า คือขณะที่เขียนอยู่ นี้ จะมีการเขียนรำลึกถึงความหลัง จำได้มากกว่านี้ จำครูทุกคนได้ จำเพื่อนๆทุกคน ได้ หลายๆคนมีความหลัง และบุญคุณ และหลายๆคนได้จากไป ไม่สามารถย้อนความหลังกลับไปได้ และไม่อยากให้รุ่นหลังเอาอย่างในสิ่งที่ไม่ดี แค่บันทึกไว้ให้เห็นชีวิตจริงของลุงแก่ๆคนหนึ่ง ว่าก่อนนั้น นำชีวิตมาแบบนี้ นี่เอง 

                                                  ชวาลวุฑฒ ไชยนุวัติ (บู๊ คนเคยหนุ่ม)

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *