คนป่วยแห่งอาเซียน
คอลัมน์ สยามรัฐผลัดใบ
ศ.พล.ท.ดร.สมชาย วิรุฬหผล
สถาบันเทคโนโลยีแห่งอโยธยา
คนป่วยแห่งอาเซียน
A SICK MAN OF ASEAN
ประเทศกลุ่มอาเซียน (ASEAN) ประกอบด้วยประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 10 ประเทศด้วยกัน โดยมีประเทศผู้ก่อตั้ง 5 ประเทศ คือ ประเทศไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ สิงคโปร์ ต่อมาก็มีสมาชิกเพิ่มขึ้นโดยบรูไนดารุสลามเข้ามาเป็นประเทศแรกหลังจากนั้นกลุ่มประเทศสังคมนิยมคือ กัมพูชา (ขแมร์) สาธารณรัฐประชาชนประชาธิปไตยลาว เวียดนาม และเมียนมาร์(พม่า) ในอนาคตประเทศติมอร์ซี เลสเต ก็คงจะเข้าร่วมเป็น 11 ประเทศ ในจำนวนสมาชิกปัจจุบัน ประเทศเมียนมาร์เคยเป็นประเทศที่มีปัญหายุ่งยากมากที่สุด จากปัญหาความขัดแย้งภายในตั้งแต่สงครามชนเผ่าต่างๆ ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย โดยการปกครองของคณะทหารที่สืบทอดยาวนาน ปัญหาการถูกปิดล้อมทางการค้าจากประเทศตะวันตกและญี่ปุ่น รวมทั้งการจำกัดการลงทุนในประเทศเมียนมาร์ ทำให้เมียนมาร์กลายเป็นคนป่วยแห่งอาเซียนและไม่เป็นที่ยอมรับในเวทีนานาชาติ เช่น เกิดปัญหาในการประชุมร่วมกลุ่ม APEC หรือ ASEM กับ กลุ่ม ASEAN เศรษฐกิจย่ำแย่จนผู้คนต้องหลั่งไหลเข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก จนถึงปัจจุบันนับล้านคน แต่รัฐบาลทหารก็ได้พยายามแก้ปัญหานี้ และมีการผ่อนปรนให้พรรคฝ่ายค้านที่นำโดยนางอองซาน ซูจี ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติโดยเฉพาะชาติตะวันตก ซึ่งต่างก็แสดงออกชัดเจนในหลายๆบริบท ทำให้นางอองซาน ซูจี มีบทบาทมากขึ้นในสภา และสามารถเดินทางไปต่างประเทศได้อย่างเสรี ต่างชาติก็เริ่มขานรับต่อท่าทีของรัฐบาลทหาร และมีการเปิดกว้างทางการค้าและการลงทุน ต่างจากเดิมที่เมียนมาร์ต้องพึ่งพาแต่จีน จากการลงทุน การช่วยเหลือทั้งทางเศรษฐกิจและการทหาร ล่าสุดเมียนมาร์ได้มีการจัดสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ทวาย ทำให้เมียนมาร์ได้รับความสนใจในการลงทุนเพิ่มขึ้น เพราะเส้นทางการเดินเรือระหว่างมหาสมทุรอินเดียกับแปซิฟิค ที่เชื่อมต่อกับทะเลจีนตอนใต้นั้นมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วยปริมาณการค้าระหว่างยุโรปกับเอเชียที่เพิ่มขึ้น ที่สำคัญเป็นเส้นทางการขนส่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจากอ่าวเปอร์เซีย และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ทำให้ช่องแคบมะละกาที่เป็นจุดเชื่อมต่อคับคั่งและติดขัดอย่างมาก จนต้องกำหนดขนาดของเรือและกำหนดวันคู่กับวันคี่ให้เรือเดินทางเข้าออกแบบวันเวย์ ด้วยปัญหาดังกล่าว และจากการที่ประเทศไทยไม่สามารถดำเนินการขุดคอคอดกระหรือทำแลนบริดจ์เพื่อเพิ่มจุดเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทร แผนเลยเปลี่ยนไปด้วยการใช้ท่าเรือน้ำลึกทวายแล้วใช้ทางรถไฟเชื่อมมายังท่าเรือน้ำลึกไทย เช่น ที่มาบตาพุดและแหลมฉบับ อย่างไรก็ตามในสภาพปัจจุบันประเทศไทยคงจะริเริ่มโครงการใหญ่ๆอะไรลำบาก เริ่มตั้งแต่การขาดผู้นำหรือรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์และเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จึงขาดการวางแผนงานระยะยาว และแผนการเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการเหล่านั้น ซึ่งแน่นอนต้องเหมาะสมและเป็นที่พึงพอใจทั้งผู้ให้และผู้รับ ประเทศไทยในปัจจุบันยังมีปัญหาซ้ำเติมให้หนักหนายิ่งขึ้นไปอีก นั่นคือความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง และความแตกแยกที่ร้าวลึก ตั้งแต่บนสุดจนถึงล่างสุด มีการบ่มเพาะความเกลียดชังในหมู่ประชาชนจำนวนมาก จนขาดเหตุผลและพร้อมจะเข่นฆ่ากันเอง กฎหมายไม่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป เพราะมันมีนัยทางการเมืองแฝงเร้นอยู่ เหตุการณ์อย่างนี้ยืดเยื้อยาวนานมานับเป็นปี โดยอาจจะย้อนกลับไป จุดเริ่มเหตุการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรงตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา ต่อมาคือเหตุการณ์ปี 2552-2553 ที่มีการปราบปรามผู้ประท้วงเสื้อแดงจนมีผู้เสียชีวิตร่วม 100 คน ก็เป็นปัญหาที่ซ้ำซ้อน มาถึงการประท้วงใหญ่ของมวลมหาประชาชนภายใต้การนำของกำนันสุเทพที่ยืดเยื้อมากว่า 6 เดือน และมีผู้สูญเสียชีวิตกว่า 40 คนแล้ว แต่ความขัดแย้งหรืออาการของโรคนั้นสะสมมานานแล้วโดยที่ได้ปรากฏอาการมาเป็นระยะๆตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 ตามด้วย 6 ตุลาคม 2519 มาถึง พฤษภาทมิฬ 2535 ซึ่งถ้าจะย้อนรอยประวัติศาสตร์กลับไปถึงปีพ.ศ.2475 ก็จะพบว่ามันมีการสะสมของปัญหาหรือสาเหตุของการก่อให้เกิดโรคมายาวนานแล้ว ตั้งแต่การไม่เป็นประชาธิปไตย การสร้างความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่มีมาแต่เดิม ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากกลุ่มผลประโยชน์ที่เปลี่ยนไปจากนายทุนขุนนาง มาสู่นายทุนขุนศึก นายทุนผูกขาด จนถึงนายทุนสามานย์ และจะเวียนวนเปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ไม่รู้จบ ตราบเท่าที่ยังไม่มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพทั้งความรู้และคุณธรรม ตราบเท่าที่ยังเน้นแต่วัตถุเน้น Hardware หรือหันมาสนใจที่ระบบคือกฎฆมายเราก็ไม่อาจพ้นจากวังวนอันเป็นตัวสะสมโรคทำให้อาการกำเริบรุนแรงยิ่งขึ้น ทุกวันนี้เราจึงมาถึงทางตันไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร อาการป่วยก็กำเริบขึ้นทุกทีแต่การรักษายังไม่อาจทำได้ ตราบใดที่ยังไม่สามารถวิเคราะห์หาสาเหตุแห่งการเกิดโรคที่ยอมรับได้ทุกฝ่าย และต้องยอมเสียสละเพื่อลงทุนในการแก้ปัญหาด้วยการบำบัดอย่างครบวงจร ตั้งแต่พฤติกรรมของคนไข้ อาหารการกินที่ถูกสุขลักษณะ การพัฒนาจิตใจ การออกกำลังกาย และการใช้ยารักษาโรคที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกคือแพทย์ที่เป็นตัวสำคัญ เพราะหมอเองก็ต้องมีคุณธรรม มีคุณภาพไม่ใช่หวังจะเอาประโยชน์จากคนไข้โดยไม่ได้ทุ่มเทที่จะรักษาให้หายขาด สภาพแวดล้อมก็ต้องเอื้ออำนวยนั่นคือบรรยากาศต้องคลี่คลายไม่ใช่สภาพการคุกรุ่นด้วยความเกลียด ความโกรธ อย่างเดี๋ยวนี้ เพราะสภาพจิตต้องดีด้วย ต้องมีสมาธิและปัญญา จึงจะแก้ปัญหาได้ ครับได้มีความพยายามที่จะรักษาโรคร้ายนี้ด้วยการนำเสนอต่างๆ แต่สรุปแล้วกุญแจหลักคือ ต้องปฏิรูป และเป็นประชาธิปไตย แต่ผู้ที่นำเสนอทางแก้เหล่านี้เคยถามคนไข้ไหมว่าเขาต้องการอะไรบ้างไหม หมอโดยทั่วไปมักสรุปว่าตนเองรู้ดีว่าคนไข้จึงวินิจฉัยและรักษาตามที่ตนเองคิด แต่อาการป่วยนี้มันมีองค์ประกอบหลายอย่าง หมอจึงวินิจฉัยและรักษาตามอาการเพราะไม่เข้าใจสมุหฐานที่แท้จริง หรือแกล้งไม่เข้าใจเพราะกลัวว่าตนเองจะเสียประโยชน์ก็ไม่ทราบ ผมไม่คิดว่าการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระจะช่วยแก้ปัญหาได้ถึงรากเหง้าของโรคภัย มันเป็นเพียงการรักษาตามอาการ แต่ก็อาจเกิดอาการข้างเคียงจนลุกลามใหญ่โตต่อคนไข้ได้ การปฏิรูปที่พูดกันก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และหลายๆเรื่องต้องใช้เวลานานมาก คนกลางที่เสนอกันมาบางคนก็ไม่มีบารมีพอ บางท่านก็ไม่ประสงค์จะเปลืองตัวมันก็เลยไม่มีการขยับอะไร ก็ในเมื่อหมอยังทะเลาะกันหาข้อยุติในการรักษาคนไข้ไม่ได้ หมอใหญ่ก็ไม่ยอมตัดสิน คนไข้ก็มีแต่อาการทรุดไปเรื่อยๆ ยิ่งเวลาล่วงเลยไปปัญหายิ่งหนักหน่วงจนยากจะเยียวยา ไหนจะปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม และปัญหาการเมืองที่เป็นอาการนำหน้า งบประมาณปีใหม่จะทำอย่างไร ยิ่งใกล้เดือนตุลาคมเข้าไปทุกที การแต่งตั้งโยกย้าย การโปรดเกล้าแต่งตั้งจะทำอย่างไร ตำแหน่งรักษาการหรือปฏิบัติหน้าที่แทนไม่มีอำนาจในการบังคับบัญชาหรือบริหารได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะตำแหน่ง ผบ.ทบ. ผบ.ตร. และ ผบ.สูงสุด ที่จะเกษียณเดือนตุลาคมนี้ มวลชนที่เผชิญหน้ากัน นอกจากไม่ช่วยในการแก้ปัญหาแล้วยังจะทำให้ปัญหาซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนเหตุการณ์ที่คนไข้กำลังอาการทรุดหนัก แต่ลูกหลายมายืนทะเลาะกันข้างเตียงเรื่องค่ารักษา และเรื่องการแบ่งสมบัติ อย่างนี้คนไข้ที่นอนฟังอยู่จะรู้สึกอย่างไร แน่นอนประเทศไม่มีวันตาย มีแต่เจริยรุ่งเรืองหรือเสื่อมโทรม แต่ประเทศที่มีอาการป่วยอย่างนี้ ยากจะเจริญรุ่งเรือง กลับมีแต่จะทรุดโทรมความเดือดร้อนมันจะแพร่กระจายไปสู่คนทุกกลุ่ม คนที่เคยได้ประโยชน์มากก็อาจได้ประโยชน์น้อยลง คนที่ไม่ค่อยจะมีอะไรก็จะเดือดร้อนขึ้น กฎหมายไม่มีการยอมรับหากมันไม่ใช่ข้างตัวเอง บ้านเมืองก็จะกลายเป็นกลียุค เป็นอนาธิปไตย เป็นรัฐล้มเหลว (Failed State) ซึ่งก็เปรียบได้กับคนไข้ที่ป่วยเรื้อรังและอาการหนัก ครับประเทศไทยกลายเป็นคนป่วยแห่งอาเซียนไปแล้ว และก็ยังไม่รู้ว่าจะฟื้นเมื่อไร หากหมอไม่มาร่วมกันปรึกษาหารือหาทางเยียวยา หมอใหญ่ไม่ลุกขึ้นมาวินิจฉัยชี้ขาดด้วยความเป็นธรรม คนไข้ตายแน่ เพราะมันจะเกิดการลุกฮือเข่นฆ่ากันตายเป็นเบือ หรือจะรอให้ถึงวันนั้นวันอภิมหาวิปโยคที่ยิ่งกว่า 14 ตุลาคม 2516 จะเอาให้เท่ากับมหาปฏิวัติในฝรั่งเศสเมื่อหลายร้อยปีก่อนหรือครับ ธนาคารเลือดเราก็ไม่ค่อยจะมีสต๊อกเท่าไร ยังเอาไปละเลงทิ้งกันหรือ ลืมไปแล้วหรือว่าเราก็เป็นคนไทยด้วยกัน แม้จะต่างเชื้อชาติบ้าง ต่างวัฒนธรรมบ้าง ต่างความคิดบ้าง พูดคุยกันไม่ได้เชียวหรือ หมอใหญ่ช่วยด้วยครับ








