INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ความหมายทางวิชาการของความเป็นผู้นำ

ความหมายทางวิชาการของความเป็นผู้นำคือ การใช้อิทธิพลของผู้นำต่อบุคคล เพื่อที่จะให้บุคคลกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ผู้นำต้องการ  อิทธิพลของความเป็นผู้นำคืออำนาจ คำว่าความเป็นผู้นำมักจะทำให้เราต้องเพ้อฝันถึง วีรบุรุษ นักการเมือง และนายพลทหารที่ยิ่งใหญ่ของโลก เช่น มหาตมะ คานธี ผู้นำแห่งอินเดีย วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ หรือดักกลาสแมคอาร์เธอร์ นายพลห้าดาวแห่งอเมริกา
    รูปได้แสดงถึง การประชุมยัลตา คาบสมุทรไครเมีย ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อ ค.ศ 1945  ของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลกสามคนคือ แฟรงคลิน ดี. โรสเวลท์ ประธานาธิบดีอเมริกา  วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และโจเซฟ สตาลิน นายกรัฐมนตรีรัสเซีย ความมุ่งหมายของการประชุมครั้งนี้คือ การเรียกร้องร้องให้เยอรมันยอมแพ้สงครามโดยไม่มีเงื่อนไข และการจัดระเบียบยุโรปภายหลังสงคราม
   บุคคลบางคนเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำหรือไม่?  ถ้าเราดูผู้นำที่ยิ่งใหญ่ในอดีต เช่น อเล็กซานเดอร์มหาราช จูเลียต ซีซาร์ นโปเลียน โบนาปาร์ดต์ ควีนอลิเบธที่ 1  หรืออับราฮัม ลินคอล์น
  เราเคยได้ยินคำพูดว่า ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เป็นโดยกำเนิด ไม่ใช่สร้างขึ้นมา  คำพูดนี้คือรากฐานของทฤษฎีบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ทฤษฎีบุคคลที่ยิ่งใหญ่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเมื่อศตวรรษที่ 19 และกลายเป็นแนวทางการศึกษาความเป็นผู้นำเชิงคุณลักษณะเริ่มแรก ทฤษีบุคคลที่ยิ่งใหญ่ได้เสนอแนะว่า ความสามารถของความเป็นผู้นำเป็นโดยกำเนิด เราคือผู้นำโดยธรรมชาติ หรือเราไม่ใช่ผู้นำโดยธรรมชาติ คำว่า “Great Man” ได้ถูกใช้เพราะว่า เวลานั้นความผู้นำได้ถูกมองว่าเป็นคุณลักษณะของผู้ชาย โดยเฉพาะความเป็นผู้นำทางทหาร เรื่องราวเบื้องหลังของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลก  เราพบว่าพวกเขามีคุณลักษณะบางอย่างแตกต่างจากบุคคลธรรมดา พวกเขาได้ถูกอ้างว่าเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่โดยธรรมชาติ และเกิดมาด้วยคุณลักษณะส่วนบุคคลที่ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่  ปัจจุบันนี้เรายังคงเชื่อว่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่เป็นโดยกำเนิด
   เมื่อ ค.ศ 1910 โทมัส คาร์ไลย์  นักประวัติศาสตร์  ได้กล่าวว่า เขาเชื่อว่าความก้าวหน้าของโลกเกิดขึ้นจากความสำเร็จของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ประวัติศาสตร์ของโลกเป็นชีวประวัติของผู้นำที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ การสะท้อนความเชื่อของเขาว่า  วีรบุรุษได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยคุณลักษณะส่วนบุคคลและแรงบันดาลใจ พวกเขาได้กระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่แก่ชีวิตของเรา เช่น อับราฮาม ลินคอล์น ประธานาธิบดีอเมริกา ได้มีการยกเลิกทาส รากฐานทางทฤษฎีบุคคลที่ยิ่งใหญ่อยู่ที่การระบุคุณลักษณะทางร่างกาย สังคม และบุคลิกภาพส่วนบุคคลโดยธรรมชาติของผู้นำที่ยิ่ใหญ่
  ราล์ฟ สต็อกดิลล์   ผู้บุกเบิกคนหนึ่งของความเป็นผู้นำเชิงคุณลักษณะ ได้พิมพ์บทความเรื่อง Personal Factors Associated with Leadership ภายในวารสารจิตวิทยา เขาได้เริ่มด้วยการยอมรับการสำรวจคุณลักษณะของความเป็นผู้นำทางทหาร ภายใต้การวิจัยของราล์ฟ สต็อกดิลล์ ที่ไม่ใช่ผู้นำทางทหาร  เขาได้พบว่าคุณลักษณะเป็นปัจจัยเดียวเท่านั้นที่เชื่อมโยงกับความเป็นผู้นำ
  ราล์ฟ สต็อกดิลล์ ได้ทบทวนการวิจัยความเป็นผู้นำเชิงคุณลักษณะตั้งแต่ ค.ศ 1948 เขาได้ระบุคุณลักษณะของความเป็นผู้นำไว้ต่อไปนี้คือ   คุณลักษณะทางร่างกาย ภูมิหลังทางสังคม   สติปัญญา  บุคลิกภาพ  และคุณลักษณะทางสังคม

เมื่อ ค.ศ 1978 หนังสือชื่อ Leadership ของ เจมส์ แมคเกรเกอร์ เบิรน ได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างผู้นำเชิงการแลกเปลี่ยน และผู้นำเชิงปฏิรูป ผู้นำเชิงการแลกเปลี่ยน(Transactional Leaders)คือ ผู้นำเชิงที่มุ่งการบริหารองค์การให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ การแลกเปลี่ยนระหว่างงานและรางวัล การให้รางวัลแก่บุคคล เมื่อพวกเขาสามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดให้  ผู้นำเชิงการแลกเปลี่ยนจะบริหารองค์การตามวิถีทางในอดีต การเชื่อมโยงระหว่างอดีตและปัจจุบัน  ผู้นำเชิงปฏิรูป(Transformational Leaders) คือผู้นำที่มุ่งการเปลี่ยนแปลงองค์การ การสร้างวิสัยทัศน์ การถ่ายทอดวิสัยทัศน์  การใช้บารมีบันดาลใจบุคคลให้บรรลุวิสัยทัศน์  ผู้นำเชิงปฏิรูปจะบริหารองค์การตามวิถีทางในอนาคต การเชื่อมโยงระหว่างปัจจุบันและอนาคต 
  โรเบิรต แบสส์ นักวิชาการความเป็นผู้นำ ได้ขยายผลงานของเจมส์ แมคเกรเกอร์ เบิรน ออกไปอีก เขาไดย้ำถึงความสำคัญของบารมีต่อความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูป ผู้นำเชิงปฏิรูป ได้ใช้อำนาจบารมีสูงมาก ดังนั้นเรามักจะเรียกผู้นำเชิงปฏิรูปว่า ผู้นำเชิงวิสัยวิสัยทัศน์ หรือผู้นำเชิงบารมี
     เมื่อ ค.ศ 1985  เบอร์นารด แบสส์ นักจิตวิทยาอุตสาหกรรม ได้เขียนคุณลักษณะพื้นฐานของความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูปไว้สี่อย่าง(4I) คือ 1 การมีอิทธิพลด้วยอุดมการณ์ (Idealized Influence) ผู้นำเชิงปฏิรูปเป็นแบบจำลองบทบาทและแสดงบุคลิกภาพที่มีบารมีต่อบุคคล และกระทำตามที่สัญญาไว้ 2 การจูงใจด้วยแรงบันดาลใจ(Inspiration Motivation) ผู้นำเชิงปฏิรูปมีความสามารถบันดาลใจและจูงใจบุคคล เมื่อรวมเข้ากับการมีอิทธิพลด้วยอุดมการณ์แล้ว นี่คือแหล่งที่มาของบารมีของผู้นำเชิงปฏิรูป  3  การกระตุ้นสติป้ญญา(Intellectual Stimulation) ผู้นำเชิงปฏิรูปให้คุณค่าต่อความคิดสร้างสรรค์และความเป็นอิสระแก่บุคคล การสนับสนุนบุคคลให้มีส่วนร่วมภายในการตัดสินใจ 4 การมุ่งบุคคล(Individual Consideration) ผู้นำเชิงปฏิรูปมุ่งความต้องการและความรู้สึกของบุคคล  การให้ความสนใจส่วนตัวแก่บุคคลแต่ละคน
  การวิจัยความเป็นผู้นำเชิงบารมี(Charismatic Leadership) ได้มุ่งการมุ่งค้นหาคุณลักษณะที่ดึงดูดของผู้นำ คำว่า “Charisma” เป็นภาษากรีก หมายถึงพรสวรรค์จากพระเจ้า การวิจัยเริ่มแรกมองบารมีเป็นคุณลักษณะทางบุุคลิกภาพโดยกำเนิด ผู้นำเชิงบารมีสามารถบันดาลความภูมิใจ ความศรัทธา ความเคารพ และความจงรักภักดีแก่บุคคล ผู้นำเชิงบารมีได้สร้างความประทับใจต่อความสามารถและความสำเร็จ และได้สื่อสารความคาดหวังและความเชื่อมั่นที่สูงแก่บุคคล
  ผู้นำเชิงบารมีกำหนดเป้าหมายเชิงอุดมคติไว้อย่างชัดเจน บางครั้งผู้นำเชิงบารมีได้ถูกเรียกว่าผู้นำเชิงปฏิรูป  เนื่องจากคุณลักษณะหลายอย่างคล้ายคลึงกัน ความแตกต่างที่สำคัญคือ ผู้นำเชิงบารมีพยายามปรับปรุงฐานะเดิมให้ดีขึ้น แต่ผู้นำเชิงปฏิรูปพยายามปฏิรูปองค์การให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของเขา 
   แต่กระนั้นบารมีอาจจะถูกเข้าใจผิด อาเธอร์ ชเลสซิงเจอร์ นักประวัติศาสตร์ ได้สร้างความแพร่หลายแก่คำว่าบารมีเมื่อ ค.ศ 1960   เขาไม่พอใจว่าบารมีได้ถูกลดลงเหลือเพียงความหมายที่เก๋อย่างเดียวกับความกล้าหาญ หรือแม้แต่ความชื่นชอบ บารมีได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง  เมื่อบารมีได้ถูกใช้พรรณาแฟรงคลิน ดี. โรสเวลท์ และวินสตัน เชอร์ชิล แต่บารมีได้ถูกใช้บ่อยครั้งกับอดอฟ  ฮิตเลอร์ และเบนนิโต มุสโสลินี ด้วย
   การวิจัยต้นกำเนิดของความเป็นผู้นำเชิงบารมีคือ ทฤษฎีบุคคลที่ยิ่งใหญ่   การวิจัยได้ค้นหาคุณลักษณะที่ดึงดูดของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บุคคลที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้เป็นผู้นำเชิงบารมี ลี ไอเอคอคคา แห่งไครสเลอร์ โทมัส วัทสัน แห่งไอบีเอ็ม หรืออัลเฟรด สโลน แห่งเจ็นเนอรัล มอเตอร์ คือผู้นำที่มีบารมีของอุตสาหกรรม 
  ความเป็นผู้นำเชิงวิสัยทัศน์(Visionary Leadership) มุ่งที่การสร้างวิสัยทัศน์ที่องค์การต้องการจะกลายเป็นในอนาคต การถ่ายทอดวิสัยทัศน์และการบันดาลใจ และการให้อำนาจแก่บุคคลที่จะกระทำ เพื่อการบรรลุวิสัยทัศน์ แซม วอลตัน ผู้ก่อตั้งร้านค้าปลีกวอลมาร์ท ได้สร้างวิสัยทัศน์ของการทำให้วอลมาร์ทกลายเป็นร้านค้าปลีกใหญ่ที่สุดและดีที่สุดของประทศ เขาได้ถ่ายทอดวิสัยทัศณ์อย่างไม่รู้จักเหนื่อยแก่พนักงานทุกคนด้วยคำพูดและการกระทำ
  ผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ต้องสร้างวิสัยทัศน์ที่ดึงดูด เป็นจริงได้   และน่าเชื่อถือของการเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงฐานะเดิมขององค์การ จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ประธานาธิบดีอเมริกา แฟรงคลิน ดี. โรสเวลท์ ประธานาธิบดีอเมริกา ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง นักต่อสู้สิทธิมนุษยชน หรือมหาตมะ คานธี ผู้นำอินเดีย ต่างเป็นตัวอย่างที่ดีมากของความเป็นผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ ความเป็นผู้นำเชิงบารมี และความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูป พวกเขามีวิสัยทัศน์ของการกลายเป็นสังคมที่เป็นธรรม  และได้ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ด้วยคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจแก่บุคคลอย่างมาก
    เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ 1963  การเดินขบวนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งภายในประวัติศาสตร์ของอเมริกาคือ การเดินขบวนของชาวอเมริกันทั้งผิวขาวและผิวดำไปยังกรุงวอชิงตัน เพื่อที่จะเรียกร้องเรื่องงานและเสรีภาพ ผู้นำขบวนคือ  มาร์ติน ลูเธอร์ ที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเหยียดสีผิวของอเมริกา  เขาได้ยืนปราศัยอยู่ที่ขั้นบันไดของอนุสาวรีย์อับราฮัม ลินคอล์น วอชิงตัน ท่ามกลางชาวอเมริกันประมาณ 250,000 คน และการถ่ายทอดโทรทัศน์ไปทั่วโลก   การปราศัยครั้งนี้มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้แสดงวิสัยทัศน์ด้วยการใช้ถ้อยคำที่สร้างแรงบันดาลใจและกระทบต่อความรู้สึกของชาวอเมริกันมากที่สุด  “I Have a Dream” “ข้าพเจ้ามีความฝัน”  ได้กลายเป็นถ้อยคำที่เป็นอมตะตราบเท่าทุกวันนี้ จนกระทั่ง จอห์น เคนเนดี้ ประธานาธิบดี ได้เชิญเข้าพบ  มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้ถูกลอบยิงเสียชิวิตไปในที่สุด
  จอห์น เอฟ เคนเนดี้  ผู้นำที่มีบารมีมากที่สุดคนหนึ่งของอเมริกา   ได้กล่าวคำปราศัยแสดงวิสัยทัศน์ตอนทำพิธีสาบานตนรับเป็นประธานาธิบดีด้วยคำพูดที่บันดาลใจชาวอเมริกันยุคนั้นมาก : ไม่ถามว่าประเทศสามารถทำอะไรให้แก่เราได้บ้าง  ถามว่าเราสามารถทำอะไรให้แก่ประเทศได้บ้าง  แต่น่าเสียดายประธานาธิบดีที่ชาวอเมริกันรักมากที่สุดคนหนึ่งได้ถูกลอบยิงเสียชีวิตที่เมืองดัลลัส เท็กซัส
  เราต้องยอมรับว่าอเมริกาส่งมนุษย์ลงบนดวงจันทร์นำหน้ารัสเซียได้สำเร็จ  เนื่องจากการสร้างบันดาลใจจากวิสัยทัศน์ของ จอห์น เอฟ เคนเนดี้  เขาได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อชาวอเมริกันด้วยคำพูดที่จับใจมาก จนกลายเป็นแรงบันดาลใจแก่ชาวอเมริกันทั่วทั้งประเทศที่ต้องการให้ความฝ้นของเขากลายเป็นความจริง  ดังที่มาร์ค ซักเกอร์เบิรก ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเฟสบุ๊คได้กล่าวถึงตอนที่เขาได้มีโอกาสไปกล่าวคำปราศัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่า  ผมมีเรื่องราวที่ชอบมากเรื่องหนึ่งที่จะเล่าว่า เมื่อจอห์น เคนเนดี้ ได้ไปเยี่ยมองค์การนาซ่า และได้เห็นภารโรงคนหนึ่งถือไม้กวาดอยู่ จอห์น เคนเนดี้ได้ถามว่า “คุณกำลังทำอะไรอยู่” ภารโรงตอบว่า “ท่านประธานาธิบดีครับ ผมกำลังช่วยส่งมนุษย์ลงบนดวงจันทร์อยู่ครับ
  ภายในวันที่มืดสนิทของการตกต่ำทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ อเมริกาดูเหมือนว่าทรงตัวอยู่บนขอบของความวุ่นวายทางสังคม ภายใต้ประชาชนจำนวนล้านที่ว่างงาน และเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำอย่างไม่รู้จบ และความสิ้นหวังที่ปรากฏอยู่โดยทั่วไป   ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรสเวลท์ ได้กล่าวคำปราศัยที่สร้างแรงบันดาลใจชาวอเมริกันอย่างมาก : “สิ่งหนึ่งเท่านั้นที่เราต้องหวาดกลัวคือ ความกลัวนั่นเอง” และการกระทำที่มีพลังอย่างเต็มเปี่ยมของเขา ได้ผลักดันประเทศให้หลุดพ้นจากความวุ่นวายได้

ความเป็นผู้นำและการบริหารไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ผู้บริหารต้องทำหน้าที่การบริหารสี่อย่างคือ การวางแผน การจัดองค์การ การนำ และการควบคุม แม้ว่าการนำเป็นหน้าที่หนึ่งของการบริหาร แต่การนำได้กลายเป็นจุดอ่อนของผู้บริหารอยู่บ่อยครั้ง
    วอร์เร็น เบนนิส นักวิชาการความเป็นผู้นำ มหาวิทยาลัยเซ้าธ์เทิรน แคลิฟอร์เนีย เป็นบุคคลแรกที่ได้บุกเบิกการแยกความแตกต่างระหว่างความเป็นผู้นำและการบริหาร เขาชอบคำพูดว่า “ผู้นำทำอะไรที่ถูกต้อง ผู้บริหารทำอะไรอย่างถูกต้อง” : Leaders do the right things.  Managers do things right.  ภายในหนังสือคลาสสิคเล่มหนึ่งของเขา On Becoming Leaders ค.ศ 1989 วอร์เร็น เบนเนส ได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างผู้บริหารและผู้นำไว้ว่า
    ผู้บริหารบริหาร          ผู้นำเปลี่ยนแปลง
    ผู้บริหารลอกแบบ      ผู้นำริเริ่ม
    ผู้บริหารรักษา            ผู้นำพัฒนา
    ผู้บริหารมุ่งระบบ และโครงสร้าง  ผู้นำมุ่งคน
    ผู้บริหาร มุ่งการควบคุม    ผู้นำมุ่งความไว้วางใจ
    ผู้บริหารมมองระยะสั้น  ผู้นำมองระยะยาว
    ผู้บริหารยอมรับฐานะเดิม ผู้นำท้าทายฐานะเดิม
    ผู้บริหารถามว่าอย่างไรและเมื่อไร ผู้นำถามว่าอะไร    
    และทำไม
     ผู้บริหารมองที่กำไรเสมอ  ผู้นำมองที่ขอบฟ้า
     ผู้บริหารเป็นทหารคลาสสิคที่ดี ผู้นำเป็นบุคคลที่
ี่     เป็นตัวเอง
     ผู้บริหารทำอะไรอย่างถูกต้อง ผู้นำทำอะไรที่ถูก
     ต้อง
      เราต่างยอมรับว่าปีเตอร์ ดรัคเกอร์คือ บิดาของการบริหาร  วอร์เร็น เบนนิสคือ บิดาของความเป็นผู้นำ เขาได้กล่าวไว้ครั้งแรกว่า ความเป็นผู้นำไม่ใช่กลุ่มของคุณสมบัติทางพันธุกรรม แต่เป็นผลจากกระบวนการตลอดชีวิตของการค้นพบตัวเอง กระบวนการนี้สามารถทำให้บุคคลกลายเป็นมนุษย์
ที่รู้จักตัวเอง   และดึงสิ่งที่ดีที่สุดจากบุคคลอื่นได้
้  ครั้งหนึ่งวอร์เร็น เบนนิส ได้กล่าวว่า ความเชื่อปรัมปราต่อความเป็นผู้นำที่อันตรายที่สุดคือผู้นำ
เป็นโดยกำเนิด นั่นคือเรามีปัจจัยทางพันธุกรรมของความเป็นผู้นำ ความเชื่อปรัมปรานี้ยืนยันว่าบุคคลเพียงแต่มีคุณสมบัติเชิงบารมีบางอย่างหรือ นั่นคือเหลวไหล ที่จริงแล้วตรงกันข้ามกับความจริง ผู้นำได้ถูกสร้างขึ้นมา ไม่ใช่เป็นโดยกำเนิด
    จอห์น คอตเตอร์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้กล่าวว่า ผมไม่สามารถบอกได้ว่ากี่ครั้งที่ผมได้ยินบุคคลใช้คำว่า ผู้บริหาร และ ผู้นำ แทนกัน   ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างอย่างรวดเร็ว การทำสิ่งที่เคยทำในอดีต หรือการทำให้ดีขึ้น  15%   ไม่ป็นสูตรของความสำเร็จได้ต่อไปอีกแล้ว จอห์น คอตเตอร์ ยืนยันว่า การบริหารมุ่งที่การจัดการความซับซ้อน การทำให้องค์การมีความเป็นระเบียบแบบแผนและความสม่ำเสมอ  ด้วยการวางแผน การจัดองค์การ และการควบคุมการดำเนินงาน ความเป็นผู้นำมุ่งที่การจัดการการเปลี่ยนแปลง การสร้างวิสัยทัศน์ การถ่ายทอดวิสัยทัศน์ และการบันดาลใจบุคคลภายในองค์การให้บรรลุวิสัยทัศน์  การบริหารและความเป็นผู้นำไม่สามารถทดแทนกันได้  บริษัทต้องการทั้งการบริหารที่เข้มแข็งและความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง
  จอห์น คอตเตอร์ เชื่อว่าความเป็นผู้นำที่ดีสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในองค์การได้ เราเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงไครสเล่อร์โดยลี ไอเอคอคคา ซีอีโอที่ได้ชุบชีวิตบริษัทให้อยู่รอดได้จนทุกวันนี้ และการบริหารที่ดีควบคุมความซับซ้อน   และสร้างเสถียรภาพและประสิทธิภาพภายในองค์การได้ เราเห็นได้จากการบริหารเจ็นเนอรัล อีเล็คทริคที่ดีโดย จอห์น เวลซ์ ซีอีโอที่ยิ่งใหญ่ บริษัทที่เข้มแข็งต้องการทั้งความเป็นผู้นำที่ดีและการบริหารที่ดี
  บริษัทที่เริ่มต้นหลายบริษัทมีความเป็นผู้นำที่ดี แต่ได้ล้มเหลวในที่สุด เนื่องจากบริษัทมีการบริหารไม่ดี สตีฟ จ้อป ซีอีโอของแอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ มีความเป็นผู้นำที่ดีด้วยการสร้างวิสัยทัศน์ที่สามารถครอบงำจิตใจ  และจินตนาการของบุคคลและลูกค้าของแอปเปิ้ล แต่เมื่อ
แอปเปิ้ลได้เจริญเติบโตและใหญ่ขึ้น บริษัทต้องการการบริหารที่ดี เพื่อการวางแผนและการควบคุมบริษัทมากขึ้น สตีฟ จ้อป ไม่ได้มีการบริหารที่ดีดังกล่าวนี้ เขาได้มุ่งเแต่นวัตกรรมและทคโนโลยีที่พอใจเท่านั้น และไม่เต็มใจมอบหมายความรับผิดชอบแก่ผู้บริหารที่มีทักษะของการบริหารที่ดี เพื่อที่จะกระทำสิ่งเหล่านี้ได้ สตีฟ จ้อป ยังหนุ่มเกินไปและขาดประสบการณ์ที่จะเป็นซีอีโอ แต่คณะกรรมการบริษัทของแอปเปิ้ลต้องการว่าจ้างผู้บริหารที่มีประสบการณ์เข้ามาบริหารงานประจำวันของบริษัท ในที่สุดสตีฟ จ้อป ต้องลาออกไปจากบริษัทที่เขาได้ก่อตั้งขึ้นมา
  ภายในการการสำรวจผู้บริหารอเมริกันที่บรรลุความสำเร็จ ผู้บริหารเกือบสองในสามได้ตอบว่าบริษัทของพวกเขามีผู้บริหารหลายคนเข้มแข็งกับการบริหาร แต่่อ่อนแอกับความเป็นผู้นำ บริษัทหลายบริษัท ” บริหารมากเกินไปแต่นำน้อยเกินไป” จอห์น คอตเตอร์ ได้กล่าวว่าบริษัทในขณะนี้มีความเป็นผู้นำไม่เพียงพอ และขาดผู้บริหารที่มีทั้งการบริหารที่ดีและความเป็นผู้นำที่ดี บริษัทต้องการทั้งทักษะด้านแข็งของการบริหาร   และทักษะด้านอ่อนของความเป็นผู้นำ

ความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูปจะเป็นรากฐานการปฏิรูปเจ็นเนอรัล อีเล็คทริคทุกอย่างของของ แจ็ค เวลซ์ อดีตซีอีโอที่ยิ่งใหญ่ เมื่อ ค.ศ 1981
  ก่อนที่แจ็ค เวลซ์ ได้กลายเป็นซีอีโอของจีอี
บริษัททำกำไรต่ำและเจริญเติบโตช้า อัตราการเจริญเติบโตประมาณใกล้เคียงก้บผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้น จนจีอีได้ถูกเรียกกันว่าเป็นบริษัท GNP เขาได้ใช้เวลาสิบสองปี ปฏิรูปจีอีจนกลายบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดของอเมริกา
  ณ เวลานั้น เจ็นเนอรัล อีเล็คทริค เป็นสัตว์ใหญ่มหึมาที่เซื่องซึมที่มีธุรกิจมากกว่าร้อยอย่าง และกลายเป็นระบบราชการที่ล่าช้า  ขัดขวางความคิดสร้างสรรค์ของบุคคล แจ็ค เวลซ์ ได้ปฏิรูปจีอี ด้วยการทำลายระบบราชการ การลดขนาดขององค์การลงด้วยการลดระดับการบริหาร การขายธุรกิจไปหลายอย่าง และการเลิกจ้างบุคคลจำนวนมาก เพื่อที่จะสร้าง
ความคล่องตัวแก่องค์การ
  แจ็ค เวลซ์ ต้องการปฏิรูปจีอีให้กลายเป็นบริษัทที่ “ไร้พรมแดน” (Boundaryless Company)  บริษัทที่ไร้พรมแดนเป็นถ้อยคำที่สร้างขึ้นมาโดยแจ็ค เวลซ์  เมื่อเขาได้เขียนภายในรายงานประจำปี 1990 ของ
จีอีว่า ” ความฝันของเราสำหรับปี 1990 คือ บริษัทที่ไร้พรมแดน เราได้ทำลายพรมแดนที่แยกพวกเราออกจากกันภายใน  และแยกพวกเราออกจากลูกค้าภายนอก บริษัทที่ไร้พรมแดนหมายความว่าบุคคลภายในแผนกงาน/หน่วยธุรกิจหนึ่งพูดคุยกับบุคคลภายในแผนกงาน/หน่วยธุรกิจอื่นได้ เพื่อที่จะร่วมความคิด ทรัพยากร และความเข้าใจ เขาต้องการยกเลิกพรมแดนตามแนวนอนระหว่างแผนกงานและหน่วยธุรกิจ และพรมแดนตามแนวดิ่งระหว่างสายการบังคับบัญชา แม้แต่พรมแดนระหว่างบริษัทและลูกค้าด้วย
   การใช้โครงสร้างแบบแนวนอน/ทีม สามารถกำจัดพรมแดนเหล่านี้ได้  แจ็ค เวลซ์ ยืนยันว่าเราไม่ต้องการระบบราชการที่อ้วนใหญ่ เราต้องการการไร้พรมแดน พรมแดนของบริษัททุกอย่าง
 เป็นประตูที่ต้องเสียค่าผ่านทาง สิ่งที่ขัดขวางความรวดเร็ว ความรวดเร็วเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จภายในทษวรรษนี้ การระเบิดพรมแดนจะนำไปสู่การทำกำไร ส่วนแบ่งตลาด และการตอบสนองลูกค้ามากขึ้น 
  แจ็ค เวลซ์ ได้ปรากฏตัวเป็นประจำ ณ ศูนย์การประชุมผู้บริหารของจีอี การพูดคุยกับผู้บริหารจีอีหลายคนพร้อมกัน เขาได้ถอดเสื้อแจ็คเก็ตออก และม้วนแขนเสื้อของเขาขึ้นมา การส่งสัญลักษณ์ว่า เราทุกคนอยู่ด้วยกัน และต้องลงมือทำแล้ว
  แจ็ค เวลซ์จะพูดและฟัง เขากระตุ้นให้ผู้บริหารพูดอย่างเสรี การร่วมความกลัว ความห่วงใย และความรู้ ผู้บริหารมองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง และเต็มใจร่วมการเดินทางเพื่อการค้นพบของเขา ภายใต้การรับฟังผู้บริหาร แจ็ค เวลซ์ ได้มองเห็นจุดอ่อนและโอกาสของจีอี และสามารถเจรจาต่อรอง เพื่อที่จะลดการต่อต้านการปฏิรูปจีอีของเขาลงได้
  แจ็ค เวลซ์ ได้ใช้ความเป็นผู้นำแบบ 4 E’s ภายในการปฏิรูปจีอี คือ
   พลัง(Energy) บุคคลที่มีพลังชอบที่จะ “ไป ไป ไป”ก้าวไปข้างหน้าให้รวดเร็วกว่าบุคคลอื่น บุคคลเหล่านี้มีพลังที่ไร้ขอบเขต ตื่นขึ้นมาทุกวันพร้อมที่จะไปทำงาน  พวกเขาวิ่ง 95 ไมล์ต่อชั่วโมงภายในโลกที่หมุน 55 ไมล์ต่อชั่วโมง
ผู้สร้างพลัง(Energizer) ผู้สร้างพลังคือบุคคลที่รู้ว่าจะกระตุ้นบุคคลอื่นให้ทำงานอย่างไร พวกเขาสร้างวิสัยทัศน์ และบันดาลใจบุคคลให้ดำเนินตามวิสัยทัศน์
การแข่งขัน(Edge) บุคคลมีวิญญานที่มุ่งการแข่งขัน พวกเขารู้ว่าจะตัดสินใจที่ยุ่งยากอย่างแท้จริงได้อย่างไร ปีเตอร์ ดรัคเกอร์เรียกว่า การตัดสินใจเป็นหรือตาย และไม่ยอมให้ความยุ่งยากขัดขวางพวกเขาเลย
 การกระทำ(Execute) การลงมือทำเพื่อที่จะสร้างผลลัพธ์ การทำงานให้บรรลุความสำเร็จ E สามตัวแรกจะสำคัญ แต่ถ้าปราศจากผลลัพธ์ที่วัดได้ E ตัวอื่นจะใช้ได้น้อย ผู้นำที่ดีรู้ว่าจะเปลี่ยนพลังและการแข่งขันให้เป็นการกระทำและผลลัพธ์ได้อย่าง
  แจ็ค เวลซ์ ได้ปรากฏตัวเป็นประจำ ณ ศูนย์การประชุมผู้บริหารของจีอี การพูดคุยกับผู้บริหารจีอีหลายคนพร้อมกัน เขาได้ถอดเสื้อแจ็คเก็ตออก และม้วนแขนเสื้อของเขาขึ้นมา การส่งสัญลักษณ์ว่า เราทุกคนอยู่ด้วยกัน และต้องลงมือทำแล้ว

เราสามารถมองเห็นบารมีภายในโลกธุรกิจหรือไม่  จงพิจารณาลี ไอเอคอคคา วารสารไทม์ได้เรียกเขาว่า วีรษุรุษชาวบ้านคนใหม่โด่งดังที่สุดของอเมริกา เมื่อ ค.ศ 1970 ไครสเล่อร์ คอรปอเรชั่น ได้ถูกลบทิ้งจากนักวิเคราะห์หลายคนภายในอุตสาหกรรมรถยนต์  ด้วยคำพูดเพียงคำเดียวว่า จบแล้ว แต่บุคคลหนึ่งที่ไม่ยอมรับคำตัดสินนี้คือ ลี ไอเอคอคคา เขาได้ลาออกจากฟอร์ด มอเตอร์ เพี่อที่จะเข้ามาชุบชีวิตไครสเลอร์  เขาได้พยายามรณรงค์การค้ำประกันเงินกู้จากรัฐาลแก่ไครสเลอร์ และเขาได้สร้างตัวอย่างการเสียสละส่วนบุคคลด้วยการรับเงินเดือน 1 เหรียญต่อปีจากบริษัทที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก ลี ไอเอคอคคา ได้รวมพลังบุคคลทุกคน ณ ไครสเล่อร์ทุ่มเทความพยายามและการเสียสละ ที่ไม่เคยได้ยินมากอน จนไครสเล่อร์ อยู่รอด เจริญรุ่งเรือง และชำระเงินกู้คืน
   ความเป็นผู้นำเชิงบารมี ได้ช่วยให้ลี ไอเอคอคคา ฟื้นฟูไครสเล่อร์ ได้สำเร็จ เขาได้แสดงความเชื่อมันต่อตัวเองและบุคคลของไครสเล่อร์ ความเชื่อมั่นนี้ได้ถูกเผยแพร่ต่อประชาชนผ่านทางโทรทัศน์ ด้วยคำพูดว่า ถ้าคุณสามารถพบรถยนต์ที่ดีกว่า จงซื้อมัน
  ภายในช่วงเวลานี้ ลี ไอเอคอคคา ได้กลายเป็นวีรบุรุษ ไปแล้ว เขาได้เคยถูกชักชวนให้เป็นผู้สมัครประธานาธิบดีของอเมริกา เขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้แทนจำหน่ายรถยนต์และบุคคลทั่วทั้งไครสเลอร์ ได้แสดงถึงบารมีของเขา
  ลี ไอเอคอคคา น่าจะเป็นผู้นำธุรกิจที่ถูกชื่นชอบมากที่สุดของ ค.ศ 1980  เขาได้กลายเป็นตำนานทางธุรกิจไปเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ลี ไอเอคอคคา เคยเป็น
ซีอีโอ ของฟอร์ด มอเตอร์ มาก่อน  เขาได้ริเริ่มสร้างและขายรถมัสแตงมากกว่า 400,000 คันภายในปีแรก เขามีชื่อเสียงจากการเป็นนักธุรกิจที่พูดตรงไปตรงมา เขามีวิสัยทัศน์และบันดาลความเชื่อมั่นได้

การสำรวจประธานาธิบดีอเมริกาของนักประว้ติศาสตร์บ่อยครั้งมากที่สุดที่ประธานาธิบดียิ่งใหญ่ที่สุดสามคนติดลำดับสูงสุดคือ จอร์จ วอชิงตัน อับราฮัม ลินคอล์น และแฟรงคลิน ดี. โรสเวลท์       
    ประธานาธิบดีที่เกือบจะยิ่งใหญ่ได้แก่ โทมัส เจฟเฟอร์สัน แฮรี่ย์ ทรูแมน ดไวต์ ไอเซ็นฮาวร์  และโรนัลด์ เรแกน แอนดรูว์ เอดิสัน เจมส์ พอนด์ เป็นต้น
  ประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ต้องเป็นผู้นำเชิงปฏิรูปที่มีอารมณ์เข้มแข็ง นั่นคือเราอาจจะรักพวกเขา หรือเราอาจจะเกลียดพวกเขา
  ประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ต้องกล้าหาญและเสี่ยงภัย และบรรลุความสำเร็จจากวิกฤต การยืนหยัดอยู่เมื่อวิกฤตได้เกิดขึ้น และใช้การกระทำที่กล้าหาญนำประเทศรอดพ้นวิกฤต  เช่น อับราฮ้ม ลินคอล์น ภายในสงครามกลางเมือง และแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ ภายในสงครามโลกครั้งที่สอง
   ประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ต้องมีวิสัยทัศน์ ประชาชนสามารถร่วมวิสัยทัศน์จากการถ่ายทอดของประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ แฟรงคลิน ดี รูสเวลท์  ได้แถลงต่อรัฐสภา  ภายหลังจากญี่ปุ่นได้โจมตีเพิรล ฮาร์เบอร์
    ประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ต้องมีบารมี พวกเขาต้องดึงดูดความสนใจ   และได้รับความชื่นชมจากประชาชน ประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ต้องสร้างบุคลิกภาพที่มีสีสันด้วยการใช้คำพูดที่สร้าง
อารมณ์
   เมื่อ ค.ศ 1920 กัสซัม บอร์กลัม ปฏิมากรชาวเดนมาร์ค ได้แกะสลักใบหน้าของประธานาธิบดียิ่งใหญ่สี่คนของอเมริกาไว้บนภูเขารัชมอร์ คือ จอร์จ วอชิงตัน โทมัส เจฟเฟอร์สัน ธีโอดอร์ รูสเวลท์ และอับราฮัม ลินคอล์น เขาได้เลือกประธานาธิบดีสี่คนนี้ เพราะว่าพวกเขาเป็นสัญลักษณ์เหตุการณ์สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์อเมริกา ณ อุทยานแห่งชาติเขารัชมอร์นี้ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ทางไอคอนของความยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดีอเมริกา

Cr:  รศ  สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *