INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

นิทานในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีน: ยุทธศาสตร์และนโยบายปกครองรัฐฉีของก่วนจ้ง(管仲治齐策略)

นิทานในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีน: ยุทธศาสตร์และนโยบายปกครองรัฐฉีของก่วนจ้ง(管仲治齐策略)

โดย รศ.ดร.สมศักดิ์ แต้มบุญเลิศชัย

ก่วนจ้ง(管仲)เป็นรัฐบุรุษสำคัญคนหนึ่งในสมัยชุนชิว(春秋时期)เขามีความคิดหลายอย่างที่แตกต่างกับจากคนในสมัยนั้น การก้าวขึ้นมาเป็นอัครมหาเสนาบดีรัฐฉีของเขา ทำให้รัฐฉีมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก จนกลายเป็นมหาอำนาจอยู่เป็นเวลานาน ความรู้ความสามารถในการปกครองของก่วนจ้งครอบคลุมหลายด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง การทหาร และการฑูต ความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของก่วนจ้ง ล้ำหน้ามาก แม้จะล่วงเลยมากว่า 2500 ปีแล้ว แต่ยุทธศาสตร์และนโยบายทางเศรษฐกิจที่เขาใช้ในการบริหารรัฐฉี ส่วนใหญ่ยังสามารถนำมาใช้ได้จนทุกวันนี้ แม้ก่อนหน้านี้จะเคยเขียนเรื่องความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของก่วนจ้งมาก่อน ( บทความ”ความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของก่วนจ้ง” ในบล็อกนี้) แต่พบว่ายังมีบางประเด็นที่ไม่ได้เขียน หรือยังเขียนได้ไม่ชัดเจน จึงเขียนเพิ่มเติมในบทความนี้ เนื่องจากยุทธศาสตร์และนโยบายทางเศรษฐกิจของก่วนจ้ง มีส่วนสำคัญในการสร้างความเจริญก้าวหน้าของรัฐฉี และนโยบายบางอย่างของเขา ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารเศรษฐกิจของประเทศในเวลานี้ด้วย
ฉีหวนกง(齐桓公)รู้สึกประทับใจมาก เมื่อได้พูดคุยกับก่วนจ้งในเรื่องต่างๆเกี่ยวกับการปกครอง เขาถามก่วนจ้งว่า รัฐฉีมีสังคมแตกแยก ประชาชนไม่มีความศรัทธาต่อการปกครองของรัฐบาล ควรทำอย่างไร ก่วนจ้งตอบว่า วิธีทำให้ประชาชนชื่นชอบคือ รัฐต้องทำในสิ่งที่ประชาชนมีความต้องการ ประชาชนไม่อยากยากจน กลัวความอดอยาก รัฐก็ต้องทำให้ประชาชนมีกินมีใช้ ไม่อดอยาก ประชาชนอยากให้ชีวิตทรัพย์สินมีความปลอดภัย ไม่ตกอยู่ในสภาพอันตราย รัฐก็ต้องทำให้คนในสังคมสามัคคีปรองดองกัน ไม่มีความแตกแยก สังคมมีระเบียบ ชีวิตมีความปลอดภัย ไม่มีอาชญากรรม และไม่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง ประชาชนอยากมีลูกหลานสืบทอดสกุล รัฐก็ต้องเอื้ออำนวยความสะดวกต่อการสร้างครอบครัว ทำให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี การมีประชาชนมาก ยังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วย
นโยบายของก่วนจ้งที่กล่าวว่ารัฐควรทำในสิ่งที่ประชาชนต้องการนี้ ฟังดูคล้ายกับนโยบายประชานิยม แต่การทำตามความต้องการของประชาชนของเขา มีความแตกต่างกับนโยบายประชานิยมในสมัยนี้ ที่เอาใจประชาชนด้วยวิธีการ ลด แลก แจก แถม โฆษณาชวนเชื่อ และซื้อเสียงล่วงหน้า ด้วยการใช้นโยบายอุดหนุนช่วยเหลือประชาชนด้วยการใช้งบประมาณของรัฐ เพื่อให้ได้ความนิยมจากประชาชน และสามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้ เมื่อขึ้นเป็นรัฐบาลแล้ว ก็ดำเนินนโยบายการใช้จ่ายล้างผลาญงบประมาณตามที่ได้หาเสียงไว้ ทำให้เศรษฐกิจเกิดความเสียหายมาก
ก่วนจ้งไม่เห็นด้วยกับวิธีการปกครองประชาชนที่เข้มงวด มีกฎหมายและกฎระเบียบที่มีรายละเอียดมาก และมีบทลงโทษที่รุนแรง เขากล่าวว่า ในการทำให้สังคมมีความปรองดอง คุณภาพและคุณธรรมของคนมีความสำคัญ รัฐต้องอบรมสั่งสอนให้ประชาชนมีคุณธรรมสี่อย่าง คือ มีมารยาท เคารพซึ่งกันและกัน(礼) มีสัจจธรรม รักความเป็นธรรม(义)มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่โลภ ไม่โกง(廉)และ มีความละอายต่อการทำความผิดและความชั่ว(耻)นี่คือคุณธรรมสี่ประการที่ปกปักษ์รักษาความสงบสุขของสังคม(四维 ) ถ้าประชาชนไม่มีคุณธรรมเหล่านี้ รัฐก็จะไม่มีความสงบ ตกอยู่ในภาวะอันตราย (礼义廉耻,国之四维。四维不张,国乃灭亡)

ก่วนจ้งเน้นถึงความสำคัญของการใช้คนที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยปกครองประเทศ เขาแนะนำให้ฉีหวนกงแต่งตั้งขุนนางที่มีความรู้และความถนัดในแต่ละด้านมารับตำแหน่งการงานในรัฐบาล เขายังมองเห็นความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพคน กล่าวว่า “การปลูกข้าวเป็นแผนหนึ่งปี การปลูกต้นไม้กว่าจะเห็นผล อาจต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี แต่การสร้างคน เป็นแผนงานระยะยาว ต้องใช้เวลาร้อยปี จึงเห็นผลได้ชัดเจน(一年之计 莫如树谷 十年之计 莫如树木 终生之计 莫如树人)จะเห็นได้ว่า ก่วนจ้งให้ความสำคัญมากต่อการใช้คน และต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
สำหรับการทำมาหาเลี้ยงชีพของประชาชน ก่วนจ้งเห็นว่า ผู้ที่มีอาชีพอย่างเดียวกัน ควรอยู่ใกล้เคียงกัน ในสมัยโบราณ ประเทศจีนมีการแบ่งอาชีพประชาชนออกเป็นสี่อย่าง:นักวิชาการและข้าราชการ(士)ผู้ประกอบอาชีพในภาคการเกษตร เช่น ชาวไร่ชาวนา การเลี้ยงสัตว์และการประมง(农)ช่างฝีมือหรือผู้ทำงานหัตถกรรม(工) และผู้ที่ทำการค้า(商)ก่วนจ้งเห็นว่า การจัดให้ประชาชนอาชีพเดียวกันอาศัยอยู่ในท้องที่เดียวกัน มีประโยชน์หลายอย่าง คือ สะดวกต่อการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ และถ่ายทอดฝีมือความชำนาญ ลูกหลานของผู้ที่มีอาชีพเดียวกัน จะได้มีโอกาสเห็นการทำงานของผู้ใหญ่ และเรียนรู้การงานในอาชีพนั้นๆ คนที่มีอาชีพเดียวกัน เมื่ออยู่ใกล้กัน ย่อมสามารถรับรู้ข่าวสารข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำมาหาเลี้ยงชีพได้สะดวกกว่า ในสมัยโบราณ ประเทศยังไม่มีโรงเรียนอาชีวะที่สอนวิชาความรู้ความชำนาญเฉพาะสาขา การจัดให้ผู้ที่อาชีพเดียวกันอยู่ในท้องที่เดียวกัน จึงเป็นวิธีการในการถ่ายทอดวิชาความรู้ความชำนาญโดยเฉพาะความรู้ทางการเกษตรและทางด้านหัตถกรรม
การแบ่งอาชีพออกเป็นสี่ประเภท ตามลำดับข้าราชการนักวิชาการ เกษตรกร ช่างฝีมือ และพ่อค้า ไม่ได้หมายความว่า อาชีพพ่อค้ามีความต่ำต้อยกว่าอาชีพอื่น ก่วนจ้งเคยทำการค้ามาก่อน และมองเห็นความสำคัญของการค้าต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ นโยบายเศรษฐกิจอย่างหนึ่งของเขาคือ การส่งเสริมการค้าเสรี ชักชวนคนต่างรัฐมาทำการค้าขายในรัฐฉี โดยไม่ต้องเสียภาษีในระดับสูง มีที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เดินทางมาจากรัฐอื่น ในขณะเดียวกัน ก็ส่งเสริมให้พ่อค้าประชาชนในรัฐฉีนำสินค้าออกไปขายในรัฐอื่นโดยไม่เสียภาษี ด้วยนโยบายการค้าเสรี เมืองหลินจือ(临淄) เมืองหลวงของรัฐฉีจึงกลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากในสมัยนั้น

ฉีหวนกงคิดว่า ควรมีการเก็บภาษีอาคารสิ่งปลูกสร้าง การทำไร่ทำนา การเลี้ยงสัตว์ และการปลูกไม้ยืนต้น เพื่อให้รัฐบาลมีเงินสำหรับใช้จ่ายที่เพียงพอ แต่ก่วนจ้งไม่เห็นด้วย เขาเห็นว่า การเก็บภาษีโดยเฉพาะการเก็บภาษีในอัตราสูง จะมีผลทำให้ผู้ถูกเก็บภาษีไม่พอใจ ฉีหวนกงแย้งว่า ถ้าไม่มีการเก็บภาษีจากทำการค้า และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆแล้ว รัฐบาลจะมีเงินใช้จ่ายได้อย่างไร ก่วนจ้งตอบว่า เพียงแต่เอาทรัพยากรบนภูเขาและในทะเลมาเป็นของรัฐก็พอแล้ว(唯官山海为可耳)วิธีการคือ ทรัพยากรบนภูเขา (แร่ธาติ โดยเฉพาะแร่เหล็กใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้) และทรัพยากรที่ได้จากทะเล (โดยเฉพาะเกลือทะเลที่เป็นเครื่องปรุงอาหารที่สำคัญ) มาเป็นของรัฐ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว
ที่ก่วนจ้งกล่าวว่า เอาทรัพยากรบนเขาและในทะเลมาเป็นของรัฐนั้น แตกต่างจากการมีรัฐวิสาหกิจในปัจจุบัน อาชีพการค้าขายเกลือและการทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยเหล็ก ยังคงเปิดเสรีให้ประชาชนทำ แต่ห้ามไม่ให้ประชาชนขุดแร่และทำเกลือทะเลโดยไม่ได้รับอนุญาต แร่เหล็กที่ขุดได้รวมทั้งเกลือทะเลที่ได้มา ถือเป็นทรัพย์สินของรัฐ ที่นำมาจำหน่ายให้ประชาชนไปทำการแปรรูปหรือไปค้าขายได้ ในการผลิตและการค้าขายนี้ หากมีผลกำไร รัฐก็สามารถเก็บภาษีได้ ความคิดในเรื่องทรัพยากรเป็นสมบัติของรัฐ แต่ประชาชนสามารถนำทรัพยากรนี้ไปทำมาหากินได้ จึงมีลักษณะคล้ายการให้สัมปทานของรัฐในปัจจุบัน
โดยทั่วไป รายได้ของรัฐส่วนใหญ่มาจากการเก็บภาษี แต่ก่วนจ้งไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีในอัตราสูง เขายังมีวิธีหารายได้เข้ารัฐที่ได้ผลด้วยการรับซื้อและขายสินค้า โดยเฉพาะการรับซื้อข้าว ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความสำคัญในการบริโภคของประชาชน ก่วนจ้งเห็นว่า รัฐมีหน้าที่ในการรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้า โดยอาศัยกลไกตลาดเพื่อบรรเทาความแตกต่างของราคาข้าวในฤดูกาลต่างๆ ในฤดูเก็บเกี่ยว ข้าวออกสู่ตลาดมาก ราคาข้าวจะตกตำ่ แต่ในฤดูการเพาะปลูก ข้าวจะมีราคาสูง ในปีที่ดินฟ้าอากาศดี ปลูกข้าวได้มาก ราคาข้าวก็ยิ่งจะตกมาก แต่ในปีที่มีภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ฝนแล้ง เก็บเกี่ยวข้าวได้น้อย ราคาข้าวก็จะสูงขึ้นมาก วิธีรักษาเสถียรภาพของราคาคือ รัฐรับซื้อข้าวเก็บเข้ายุ้งฉางของรัฐ เมื่อข้าวออกสู่ตลาดมาก และมีราคาต่ำ เมื่อถึงปลายฤดู ราคาตลาดของข้าวแพงขึ้น รัฐจะนำข้าวที่เก็บไว้ในยุ้งฉางออกสู่ตลาด การซื้อขายของรัฐ จะมีผลต่อราคาตลาด เพราะเป็นการซื้อในปริมาณมากในช่วงมีข้าวในตลาดมาก และมีราคาต่ำ การรับซื้อของรัฐ จะมีผลเท่ากับการพยุงราคา ทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น เป็นประโยชน์ต่อชาวนาผู้ปลูกข้าว และต่อผู้บริโภคที่ไม่ต้องซื้อข้าวในราคาแพง แต่ในช่วงข้าวขาดแคลน มีราคาแพง รัฐจะขายข้าวในยุ้งฉางออกสู่ตลาด ทำให้ราคาข้าวในตลาดไม่สูงขึ้นมาก การดำเนินการของรัฐในลักษณะนี้ นอกจากมีผลในการรักษาเสถียรภาพของราคาข้าวแล้ว ยังสร้างรายได้ให้กับรัฐจากการซื้อขายข้าวแล้วได้กำไรจากส่วนต่างของราคาด้วย
นอกจากข้าวแล้ว การรับซื้อและการเทขายของรัฐ ยังทำกับสินค้าอื่นได้ด้วย ในท้องที่ที่สินค้าชนิดหนึ่งมีอยู่มาก ราคาของสินค้าชนิดนั้นจะถูก แต่ในท้องที่ที่ขาดแคลน ราคาของสินค้านั้นมักจะแพง ในท้องที่ห่างไกลต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้ามาก สินค้าจึงมีราคาแพง วิธีรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าต่างท้องที่คือ รัฐจะรับซื้อสินค้าในท้องที่ที่มีราคาต่ำแล้วนำไปขายในท้องที่ที่สินค้านั้นมีราคาสูง โดยไม่ต้องกำหนดราคาขั้นสูงขั้นตำ่ การรับซื้อของรัฐ จะทำให้สินค้าที่ราคาต่ำมีราคาตลาดที่สูงขึ้น และการเทขายของรัฐ ทำให้สินค้าราคาแพง มีราคาลดลง วิธีนี้ มีผลลดความแตกต่างในราคาสินค้าระหว่างท้องถิ่น ทั้งยังทำให้ประชาชนที่อยู่ในท้องที่ห่างไกลที่ต้องซื้อสินค้าในราคาแพง สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง ประชาชนจึงรู้สึกว่า ตนได้รับความช่วยเหลือจากรัฐด้วย
ความคิดของก่วนจ้งทางด้านเศรษฐกิจ ที่แตกต่างจากคนจีนในสมัยโบราณอย่างหนึ่งคือ ความคิดเรื่องการส่งเสริมการบริโภค โดยทั่วไป คนจีนมักสอนให้ประหยัด ไม่มีพฤติกรรมการบริโภคที่ฟุ่มเฟือยแต่ก่วนจ้งกลับเห็นว่า การส่งเสริมการบริโภค สามารถใช้เป็นนโยบายกระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้ เขามีความคิดคล้ายเคนส์(凯恩斯ในช่วงศตวรรษที่ 20 ) ว่า ถ้าประชาชนทุกคนไม่ใช่จ่าย จะเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจ(俭则伤事) คือ ถ้าทุกคนในประเทศ มีความประหยัดมาก ไม่ยอมใช้จ่าย ภาวะเศรษฐกิจก็จะไม่กระเตื้อง การใช้จ่ายบริโภคโดยเฉพาะของผู้ที่มีฐานะดี จะมีผลกระตุ้นให้เกิดการผลิตมากขึ้น ทำให้ประชาชนผู้ยากไร้สามารถขายของได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การส่งเสริมการบริโภคจึงมีผลต่อการกระจายรายได้จากผู้มีรายได้สูงสู่ผู้มีฐานะยากจนด้วย
ก่วนจ้งยังมีความคิดในนโยบายการคลังคล้ายคลึงกับเคนส์ คือ การใช้จ่ายของรัฐ มีส่วนสำคัญต่อการกระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ คือ ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ มีคนว่างานมาก รัฐต้องเพิ่มการใช้จ่าย เช่น จ้างให้ประชาชนทำการบูรณะซ่อมแซมสิ่งสาธารณูปโภค อาคารบ้านเรือน แม้กระทั่งการสร้างพระราชวัง เพื่อให้ผู้ตกงานมีงาน มีรายได้ ความคิดการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังมีการใช้มาจนถึงยุคปัจจุบัน

ในช่วงที่ก่วนจ้งเป็นอัครมหาเสนาบดี รัฐฉีมีกองกำลังทหารที่เข้มแข็งมาก วิธีการสร้างกองกำลังทหารก็คือ การจัดระเบียบการปกครองท้องถิ่นต่างๆ โดยการแบ่งหน่วยการปกครองท้องถิ่นเป็นลำดับขั้น จากองค์กรที่มีขนาดเล็กขึ้นไปเป็นองค์กรใหญ่ ในแต่ละองค์กรมีผู้ปกครองท้องถิ่นบริหารกิจการในพื้นที่ รวมทั้งการฝึกทหาร แต่ละครอบครัว ถ้ามีชายฉกรรจ์ จะมีคนหนึ่งมีหน้าที่เป็นทหาร โดยมีการจัดคนเหล่านี้เป็นหมวดหมู่ และได้รับการฝึกแบบทหาร แต่ในยามที่บ้านเมืองมีความสงบ ไม่ต้องมีทหารออกรบ ชายฉกรรจ์เหล่านี้ ก็ยังทำงานในไร่นาหรือประกอบอาชีพอื่นได้ ความคิดก่วนจ้งคือ กองกำลังทหารไม่จำเป็นต้องมีมาก แต่ต้องมีความพร้อมที่จะสู้รบเมื่อจำเป็น การมีกองกำลังทหารที่จัดคนในท้องถิ่นเดียวกันอยู่หน่วยเดียวกัน ทำให้ทหารรู้จักมักคุ้นกัน และมีกำลังใจที่ดี ด้วยวิธีนี้ หากรัฐฉีมีทหารเพียงสามหมื่นคน ก็จะมีกองกำลังที่เข้มแข็งได้
ทางด้านการปกครอง ก่วนจ้งเสนอให้มีการแบ่งส่วนรับผิดชอบของรัฐออกเป็นห้าส่วน คือ การปกครองท้องถิ่น การดูแลภาคการเกษตร การควบคุมอบรมทหาร การดูแลกฎระเบียบและการลงโทษผู้ทำผิด และการดูแลสถานะการเงินของรัฐ ทั้งยังเสนอให้มีการแต่งตั้งขุนนางที่มีหน้าที่เสนอนโยบายและมาตรการด้านต่างๆให้แก่ผู้ครองรัฐด้วย
นอกจากนั้น ก่วนจ้งยังเสนอให้ผู้ครองรัฐ ส่งผู้แทนออกไปรัฐต่างๆ เพื่อเจริญสัมพันธ์ไมตรี ศึกษาสถานการณ์ รับรู้ จุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละรัฐ รวมทั้งเสาะหาผู้ที่มีความรู้ความสามารถให้มาช่วยงานราชการในรัฐฉี อีกด้วย
ทางด้านความมั่นคง ก่วนจ้งมีนโยบายใช้ผลการพัฒนาเศรษฐกิจการค้ามาระงับการทำสงคราม(以商止战)ภายในประเทศ สิ่งสำคัญที่จะลดความไม่พอใจ และการก่อความไม่สงบของประชาชนคือ การพัฒนาเศรษฐกิจ ก่วนจ้งเห็นว่า หากประชาชนมีความเป็นอยู่ดี อยู่ดีกินดี ไม่อดอยากขาดแคลนแล้ว ก็จะไม่ต่อต้านรัฐบาล
ภาคเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงคือ ภาคการเกษตร ซึ่งหมายรวมถึงการผลิตธัญญาหาร และพืชผลอื่นๆ รวมทั้งการทำป่าไม้ การประมงและการเลี้ยงสัตว์ เขาเห็นว่า ที่ดินและแรงงานเป็นปัจจัยการผลิตสำคัญที่ก่อให้เกิดทรัพยากร ประชาชนต้องมีที่ดินในการเพาะปลูก แต่ก็ต้องมีคนแผ้วถางดูแล นอกจากการปลูกข้าวแล้ว ผลผลิตอื่นก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีคนหรือกำลังแรงงาน จึงสามารถนำทรัพยากรออกมาใช้ได้
เพื่อให้มีการผลิตอาหารที่เพียงพอ การปลูกข้าวมีความสำคัญ แต่การปลูกข้าวต้องมีทรัพยากรน้ำที่เพียงพอ รัฐต้องมีมาตรการป้องกันน้ำท่วมและขจัดภัยแล้ง ต้องมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องน้ำโดยเฉพาะ ส่งเสริมการขุดคูคลองและสร้างเขื่อนเพื่อการชลประทาน

นอกจากการปลูกข้าวแล้ว กิจกรรมอื่นๆในภาคการเกษตรก็มีความสำคัญ ควรมีการสำรวจพื้นที่การปลูกพืช การเลี้ยงปศุสัตว์ การจับสัตว์น้ำ และการทำนาเกลือ การมีข้อมูล รู้ว่าพื้นที่ใดควรปลูกพืชหรือควรทำกิจกรรมการเกษตรอะไรมีความสำคัญต่อการส่งเสริมการพัฒนาภาคการเกษตร
ทางด้านการค้าขายและความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับรัฐอื่น รัฐควรรู้จักใช้ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของตนให้เป็นประโยชน์ รัฐฉีอยู่ริมทะเล ใช้น้ำทะเลผลิตเกลือได้มาก นอกจากมีไว้ใช้ในรัฐแล้ว ยังส่งออกไปขายยังรัฐอื่นได้ สำหรับสินค้าที่รัฐฉีขาดแคลน ก็นำเข้าจากรัฐอื่นได้ แต่ถ้าสินค้านั้น ก็มีการผลิตในรัฐฉี ก็ควรมีการเก็บภาษีขาเข้า ไม่ให้สินค้าเข้ามีราคาถูกเกินไป เพื่อคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศ
สำหรับความสัมพันธ์กับรัฐอื่น ก็ใช้วิธีอาศัยเศรษฐกิจการค้าระงับการทำสงครามได้ ตัวอย่างคือ รัฐหลู่(鲁国) และรัฐเหลียง(梁国)มีความเชี่ยวชาญในการผลิตผ้าแพรมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่มที่สวยงามได้ ก่วนจ้งก็ขอร้องให้ฉีหวนกงใส่เสื้อที่ทำด้วยผ้าแพรชนิดนี้ อีกไม่นาน ขุนนางข้าราชการประชาชนรัฐฉี ก็พากันเลียนแบบใส่เสื้อชนิดนี้ จึงต้องนำเข้าผ้าแพรจำนวนมาก ก่วนจ้งจึงเรียกพ่อค้าที่มาจากสองรัฐนี้มาประชุม บอกเขาว่า รัฐฉีจะรับซื้อผ้าแพรชนิดนี้ด้วยราคาแพง เพราะฉีมีประชาชนอยู่มาก เกรงว่าสินค้านี้จะขาดแคลน จึงต้องนำเข้ามามาก เมื่อพ่อค้าที่มาจากสองรัฐนี้ได้ยินเช่นนี้ จึงพากันส่งข่าวให้คนในรัฐของตนรีบผลิตผ้าแพรให้มาก เพื่อตอบสนองความต้องการของรัฐฉี ในที่สุดชาวไร่ชาวนาของรัฐหลู่และรัฐเหลียง ต่างพากันหยุดทำไร่ไถนา หันมาทำงานด้านสิ่งทอ จนขาดแคลนอาหารการกิน จึงต้องมาสร้างความสัมพันธ์ไมตรีที่ดีกับรัฐฉี ซึ่งผลิตข้าวและธัญญาหารได้มาก
ก่วนจ้งก็ใช้กลอุบายนี้ ไปหลอกให้รัฐฉู่(楚国)ซึ่งเป็นรัฐใหญ่ทางใต้ที่มีความเข้มแข็งด้านการทหาร และเป็นคู่อริกับรัฐฉี แม่ทัพนายกองของรัฐฉีเสนอให้ฉีหวนกงส่งทหารไปปราบปรามรัฐฉู่ แต่ก่วนจ้งไม่เห็นด้วย บอกว่ามีกลอุบายทำให้รัฐฉู่อ่อนแอ รัฐฉู่มีกวางอยู่เป็นจำนวนมาก ประชาชนส่วนหนึ่งมีอาชีพล่ากวาง ขายหนังและเนื้อกวาง แต่ได้ราคาไม่ดี ก่วนจ้งจึงส่งคนไปซื้อกวางที่รัฐฉู่จำนวนมาก โดยเสนอราคาที่สูงมาก บอกว่าฉีหวนกงชอบกวางมาก ยินดีที่จะรับซื้อด้วยราคาแพง เมื่อมีคนมารับซื้อกวางจำนวนมาก ราคากวางจึงพุ่งสูงขึ้น ทำให้ประชาชนรัฐฉู่ ทั้งชาวไร่ชาวนา พลเรือนและทหาร ต่างพากันไปล่ากวาง จนละเลยการทำไร่ทำนา จนขาดแคลนอาหาร เกิดความอดอยาก ต้องนำเข้าอาหารจากรัฐอื่น แต่กวนจ้งก็ประสานกับรัฐต่างๆไม่ให้ขายเสบียงอาหารให้รัฐฉู่ ประชาชนและผู้ครองรัฐฉู่ แม้มีเงินมากจากการขายกวาง แต่ก็ไม่ไม่มีข้าวกิน จึงเกิดความไม่สงบขึ้นในรัฐ ทั้งยังไม่มีกำลังทหารที่จะมาต่อสู้แข่งขันกับรัฐฉีอีก ฉีหวนกงจึงร่วมกับรัฐพันธมิตร ยกทัพมาบุกรัฐฉู่ จนรัฐฉู่ยอมจำนน เจรจาขอสงบศึก และยอมรับความเป็นมหาอำนาจของรัฐฉี

 

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *