เกียรติยศและศักดิ์ศรีของมนุษย์ในมุมมองอิสลามและลัทธิมนุษย์นิยม
เกียรติยศและศักดิ์ศรีของมนุษย์ในมุมมองอิสลามและลัทธิมนุษย์นิยม
โดย ดร.ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน
ศูนย์อิสลามศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
ไม่สงสัยว่า แท้จริงการแสดงออกทางภายทางด้านจิตวิญญาณของมนุษย์ต่อเรื่องการมีอยู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และคุณค่าต่างๆ เช่น การแสวงหาจะให้พบเจอกับพระเจ้า การรักในความดี รักในความงาม มีความคิดสร้างสรรค์ การบูชาสิ่งศักสิทธิ์และอื่นๆ มาจากธรรมชาติดั้งเดิมบริสุทธิ์(ฟิตเราะฮ์) ดังนั้นถ้ามนุษย์เรียกร้องความยุติธรรม หรือแสวงหาความจริงสูงสุด แน่นอนว่า มนุษย์มีฟิตเราะฮ์ มีธรรมชาติบริสุทธิ์แห่งเทวา
ทุกๆคนจะพบเห็นคุณค่าและเกียรติยศของความเป็นมนุษย์อยู่ในสัญชาตญาณบริสุทธิ์(ฟิตเราะฮ์) และนี่คือความแตกต่างและความพิเศษระหว่างมนุษย์กับเดรัจฉาน ความพิเศษของการมีฟิตเราะฮ์ คือ ความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ โดยที่จะแยกออกไปจากความเป็นสัญชาตญาณและความเป็นธรรมชาติของสัตว์อื่นๆ ดังนั้นสัญชาตญาณบริสุทธิ์(ฟิตเราะฮ์) จะดำรงอยู่และรับรู้มันได้โดยตัวของเราเอง แต่เนื่องจากความบกพร่องทางจริยธรรมของปัจเจกบุคคลหรือของสังคมหนึ่งๆทำบฟิตเราะฮ์ที่เป็นตัวตนของมนุษย์สีจางลงหรือหายสูญไป
ตัวชี้วัดความเป็นมนุษย์ของคนๆหนึ่ง จะเกี่ยวพันกับความก้าวหน้าและเติบโตทางด้านฟิตเราะฮ์ด้วยเช่นกัน ส่วนความผาสุกและความหอมหวานที่แท้จริง คือความผาสุกทางจิตวิญญาณ และความผาสุกนี้พระเจ้ากำหนดให้แก่มนุษย์เป็นตัวสร้างแรงบันดาลใจและแรงกระทุ้นในการให้มนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์อย่างไร้ขีดจำกัดทีเดียว
คุณลักษณะพิเศษอีกประการของฟิตเราะฮ์ คือ ความรักและปรารถนาในสิ่งที่สวยงาม และการแสดงออกความรัก เพื่อเป็นพื้นฐานของการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆบนโลกใบนี้อย่างไร้ขีดและ การมีศักยภาพทางฟิตเราะฮ์เพื่อเป็นการช่วยเหลือต่อสรรพสิ่งอื่นๆของพระเจ้าและเกื้อกูลระหว่างกันและกัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า นี่คือสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดของความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ คือ การมีฟิตเราะฮ์นั่นเอง
อัลกรุอานได้กล่าวว่า
“และผู้ใดได้ให้ชีวิตหนึ่งก็ประหนึ่งเขาได้ให้ชีวิตแก่มนุษย์ทั้งมวล” (ซูเราะฮ์ 5 โองการที่ 32)
คำสอนของอิสลามเกี่ยวกับมนุษย์ ถือว่ามนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่มีเกียรติและมีศักดิ์ศรี มีเสรีภาพและมีสิทธิเท่าเทียมกัน และไม่สามารถปฏิเสธถึงความเป็นสมาชิกของครอบครัวเดียวกันในความเป็นมนุษยชาติ และคุณค่าของมนุษย์ตั้งอยู่บนพื้นฐาน ความมีเสรีภาพ ความยุติธรรม และสันติภาพในการใช้ชีวิตบนโลกนี้
จากพื้นฐานในเรื่อง การดูถูกคนอื่น ละเมิดสิทธิผู้อื่น หรือแม้แต่มองคนในแง่ร้าย และการกระทำที่แสดงถึงความรุนแรงหรือการนิยมความรุนแรง จะเข้าใจโดยสามัญสำนึกว่า เป็นสิ่งที่ควรตำหนิ
จากหลักฐานของการรวมตัวกันของประชาคมโลก จนสถาปนาองค์การสหประชาชาติ และการร่างกฎบัตรสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติขึ้น นั่นคือ มาจากความศรัทธาของตนต่อรากฐานสำคัญที่สุด คือ สิทธิมนุษยชนนั่นเอง และเป็นการแสดงให้เห็นถึงการมีเกียรติและการมีศักดิ์ศรีของมนุษย์และการให้เห็นคุณค่าต่อคนว่าทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพตั้งแต่กำหนด และยังได้ถูกแบ่งสิทธิความเสมอภาค ระหว่างชายและหญิงอีกด้วย และด้วยความก้าวหน้าและการพัฒนาทางด้านสังคม และการใช้ประโยชน์สภาพของการดำเนินชีวิตในพื้นที่ที่อิสระมากกว่า และการประกาศกฎบัตรแห่งสิทธิมนุษยชน ของสหประชาชาติ เป็นการยืนยันถึง พื้นฐานของการมีจุดร่วมเดียวกัน และการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างชาติพันธ์ต่างๆ เพื่อมนุษย์ทุกๆคน และทุก องคาพยพของทุกส่วนทางสังคม ได้ยึดมั่นต่อ กฎบัตรนั้น เพื่อให้เกิดการเอาจริงเอาจังในการยกระดับและให้ความสำคัญต่อคุณค่าและเกียรติศักศรีของมนุษย์ และรู้ว่า ทุกๆคนมีสิทธิ และมีเสรีภาพเท่าเทียมกัน
ศตวรรษที่ยี่สิบ ถือว่าเป็นช่วงสมัยที่ได้กล่าวถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนกันมากที่สุด จนทำให้องค์การสหประชาชาติได้เพิ่มกฎบัตรและมาตราตางๆในเรื่องมนุษยชน โดยมีบทนำและอีกสามสิบมาตราที่แตกต่างกันออกไป โดยได้เน้นในเรื่องเกียรติและศักดิ์ศรีของมนุษย์ และความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง และความเท่าเทียมในชาติพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่ามาจากเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่หรือเล็กก็ตาม ดังนั้นศักดิ์ศรีของมนุษย์ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ และจำเป็นจะต้องคำถึงถึงสิทธิระหว่างกันและกัน ไม่ควรจะละเมิดสิทธิต่อกัน และมนุษย์ทั้งหมด ได้ตะโกนเป็นเสียงเดียวกันและเป็นเสียงที่ดังก้องว่า มนุษย์มีศักดิ์ศรีและเกียรติยศ ซึ่งจะไม่ถูกย่ำยีหรือได้รับการดูถูกอย่างเด็ดขาด หรือได้กระทำกับเขาเยี่ยงเดรัจฉาน
สิ่งที่ปรากฏในกฎบัตรของสหประชาชาติเป็นเพียงการยืนยันว่ามนุษย์เชื่อในการให้เกียรติกันและกัน และต้องการสร้างความยุติธรรมและการให้เกียรติต่อสิทธิของกันและกัน แต่ข้อบกพร่องสำคัญที่สุดที่มีอยู่ในการนำกฎบัตรมาปฏิบัติ คือ ที่มาของการนิยามและการระบุเกี่ยวกับสิทธิของมนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ และสรรพสิ่งอื่นๆ จนนำไปสู่ความขัดแย้งกันอย่างกว้างขวางกระทั่งเกิดสงครามกันเลยทีเดียว (แม้แต่หลังจากการร่างกฎบัตรแห่งสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน) กล่าวอีกได้ว่า ไม่มีใครปฏิเสธความดีงามของการมีความยุติธรรมที่มีอยู่ในกฎบัตรนั้น แต่สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือการไม่มีบรรทัดฐานที่ถูกต้องในการระบุสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละคนในสังคม และห่างไกลจากสาระธรรมคำสอนตามบรรทัดฐานแห่งพระเจ้าที่ได้อธิบายสิทธิของสรรพสัตว์ไว้อย่างละเอียด อันเป็นเหตุนำไปสู่ความขัดแย้งและปัญหาใหญ่หลวงในสังคมมนุษย์
ศาสนาเทวนิยมกับเกียรติยศของมนุษย์
ประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นถึงความชัดเจนว่า แท้จริงบรรดาศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้า ได้เริ่มต้นด้วยการเรียกร้องสู่การมีเสรีภาพ และให้เกิดสิทธิขั้นพื้นฐานแก่มนุษย์ และสิทธินั้นได้มีจุดกำเนิดจากความพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้ทรงเมตตา ให้มนุษย์มีเกียรติและมีศักดิ์ศรี ถึงแม้ว่าจะมีบางกลุ่มจากนักวิชาการตะวันตก พยายามจะอ้างว่า ตัวของมนุษย์เองเป็นผู้สร้างสิทธิของความเป็นมนุษย์ขึ้นมาเอง และมนุษย์มีเกียรติ มีเสรีภาพ ด้วยตัวของมนุษย์เอง(ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า) แต่ทว่าถ้าได้พิจารณาต่อกฎหมายบางข้อหรือกฎระเบียบบางประการจากศาสนาประเภทเทวนิยม โดยเฉพาะศาสนาอิสลาม สามารถเข้าใจได้ว่า คุณค่าต่างๆ ของจริยธรรม และการปกป้องเกียรติของมนุษย์ มีอยู่ในวัฒนธรรมอิสลาม และมีอยู่ในจารีตประเพณีเดิมของประชาชาติก่อนๆ โดยเฉพาะในฟากฝั่งตะวันออก โดยมีรากฐานลึกล้ำมานานแล้ว
ความคิดในเรื่องสิทธิมนุษยชนในศาสนาเทวนิยม ได้วางอยู่บนพื้นฐานโลกทัศน์ของหลักความเชื่อในเรื่องพระเจ้าองค์เดียว แตกต่างกับฟากฝั่งตะวันตกที่มีความเชื่อในเรื่องสิทธิมนุษยชน เกิดขึ้นมาจากลัทธิมนุษย์นิยม(Humanism)
โลกทัศน์ของศาสนาเอกเทวนิยม ผู้ที่มีอำนาจเด็ดขาดและมีอำนาจเหนือโลกและมนุษย์ มีเพียงผู้เดียว คือพระเจ้า และเป้าหมายของการสร้างมนุษย์เพื่อความสมบูรณ์ของมนุษย์ ทั้งทางด้านวัตถุและทางด้านจิตวิญญาณ ศาสนาอิสลาม ถือว่า สิทธิมนุษยชน เป็นความจำเป็นที่อยู่ติดตัวกับเกียรติของมนุษย์ โดยเหมือนกับเรื่องอื่นที่สำคัญ เช่น เสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพ สันติภาพ และความปลอดภัย และการคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลและสิทธิทางสังคม ถือว่าเป็นคำสอนหลักของศาสนาเอกเทวนิยม
อิสลามถือว่าเป็นศาสนาสุดท้ายของศาสนาเอกเทวนิยม ได้สนับสนุนและเน้นหนักในเรื่องความมีเกียรติของมนุษย์เป็นอย่างมาก และถือว่า มนุษย์มีความเหมาะสมที่จะไปถึงตำแหน่ง”คอลีฟะตุลลอฮ์”(ผู้ดูแลกิจการงานแทนพระเจ้า) ด้วยเหตุนี้คำสอนอิสลามเชื่อว่า พระเจ้าได้ให้พรพิเศษโดยการเป่าวิญญาณเฉพาะให้กับมนุษย์ และยังมีบัญชาให้ทวยเทพทำการก้มกราบกับมนุษย์(นบีอาดัม) พระเจ้าได้ให้ของขวัญอันล้ำค่า แก่มนุษย์คือความมีเกียรติและศักดิ์ศรี ดังกุรอานที่ว่า
“และเราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานของอาดัม” และความพิเศษของภาวะความมีเกียรตินี้จะนำให้เขาเข้าใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น โดยพระองค์ทรงมอบให้กับทุกๆ คน ไม่ว่าเขานั้นเป็นคนมีศาสนาหรือคนไม่มีศาสนา เราจึงเรียกว่า “ภาวะความเป็นตัวตนของความเกียรติและศักดิ์ศรี” โดยจะธำรงอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน และศาสนาอิสลามถือว่ามนุษย์ที่ได้ขัดเกลาจิตใจ และไปถึงจิตแห่งเทวา มีภาวะสำรวมตน จะมีฐานะสูงส่งกว่าทวยเทพ ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่า
“แท้จริงบุคคลที่มีเกียรติที่สุด ณ พระผู้เป็นเจ้า คือผู้ที่มีภาวะสำรวมตนมากที่สุด”(บท๔๙ โองการที่ ๑๓)
แท้จริงเกียรติยศที่เป็นตัวตน(ซาตี)ของมนุษย์ รากฐานมาจากพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้มนุษย์ที่มีขนาดหรือขอบเขตความมีเกียรติ(มาจากองค์เทวา) เขาจะสามารถได้รับประโยชน์จากพระคุณลักษณะแห่งพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้น และจะกลายเป็นผู้มีเกียรติเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ และบนพื้นฐานความมีเกียรติมนุษย์และความประเสริฐทางตัวตน พระเจ้าให้มีมากกว่าสรรพสัตว์อื่นๆ ซึ่งความมีเกียรติประเภทนี้ ในปัจจุบัน เรียกว่า “สิทธิมนุษยชน”
เสรีภาพ
ปัญหาแรกที่กล่าวถึงเกียรติยศของมนุษย์ คือความเชื่อในเรื่อง ความมีเสรีภาพ และมีสิทธิเลือกอิสระ ดังนั้นถ้ามนุษย์ ได้ถูกบังคับให้เลือก แม้จะเลือกในสิ่งที่ดี ก็ถือว่า ความมีเกียรติและศักดิ์ศรีนั้นถูกทำลายลง และยังได้ดูถูกถึงความเป็นมนุษย์ของเขาอีกด้วย และการเชื่อเช่นนี้ เกิดจากความไม่มีสิทธิ์เลือกและไม่มีความเป็นเสรีภาพ ส่วนมุมมองของอิสลาม ถือว่า ไร้คุณค่า และไม่มีความหมายใดๆ เลย ดังนั้นอิสลามถือว่า มนุษย์ถูกสร้างมาในลักษณะเป็นผู้มีเสรีภาพ และมีสิทธิที่จะเลือกอย่างเสรี
เสรีภาพมีหลายประเภทแตกต่างกันไป โดยเราจะย่อให้เหลือ แค่ ๓ ประเภทคือ
หนึ่ง เสรีภาพ คือการมีสิทธิในการจะเลือกของมนุษย์ และมีความสามารถจะใช้ประโยชน์ตามที่ได้ประสงค์ และแท้จริง ความมีสิทธิเลือก คือหนึ่งจากตัวตนของมนุษย์ และมนุษย์จะไม่ให้โอกาสนั้นหลุดลอยไป
สอง ความมีเสรีภาพทางสังคม จากโครงสร้างของเสรีภาพนี้ มนุษย์จำเป็นจะต้องอยู่รวมกับอีกสังคมหนึ่ง โดยเขามีอิสระทางด้านการมีชีวิต โดยที่ไม่มีใครมีสิทธิในการสกัดกั้นการเจริญเติบโตและความก้าวหน้าของคนใดคนหนึ่งได้ และเป้าหมายหนึ่งการส่งบรรดาศาสดามา หรือการเติมเต็มความเสรีภาพทางสังคม และได้ต่อสู้กับความเป็นชนชั้น ความเป็นบ่าวทาส หรือการปฏิเสธการมี่เสรีภาพทางสังคมอื่นๆ
สาม ความมีเสรีภาพทางจิตวิญญาณ คือ มนุษย์ทุกคน ภายใจจิตใจและด้านสัญชาตญาณบริสุทธ์ มีความเป็นอิสระและมีเสรีภาพ และแท้จริงเป็นเสรีภาพทางสังคมประเภทหนึ่ง เพียงแต่มีความละเอียดอ่อนกว่า และเข้มข้นกว่า และมีคุณค่ามากว่า สูงส่งกว่า
ความมีเสรีภาพทางจิตวิญญาณ คือ มนุษย์มีอิสระจากการถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนแห่งราคะและเป็นทาสของอารมณ์ใฝ่ต่ำ เสรีภาพทางจิตวิญญาณ อยู่ภายใต้ร่มเงาของความศรัทธาและคำสอนแห่งวิวรณ์ นั่นคือ ความยำเกรงต่อพระเจ้า และมีภาวะสำรวมตน ทำให้มนุษย์มีอิสระจากความเป็นทาสของอารมณ์และความคาระ ความอยาก ความหลง นั่นคือ การสลัดทิ้ง ความละโมบ ความอิจฉา และอารมณ์อยาก หรือความโมหะ และการมีอิสระทางจิตวิญญาณ จะทำให้เป็นทาสทางสังคมหมดสิ้นไป
ความปลอดภัย
ศาสนาอิสลามได้เรียกร้องสู่ความสงบและความปลอดภัยในการดำเนินชีวิตทั้งทางปัจเจกบุคคลและทางสังคม และได้เตือนการก่อความไม่สงบและการสร้างความวุ่นวายในสังคมและประณามการก่อการร้ายทุกรูปแบบ และอิสลามได้ประณามการฆ่าผู้บริสุทธิ์ในทุกๆ สถานที่ ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาใดหรือในนิกายใด ส่วนประเด็นในเรื่องการปกป้องต่อการรุกรานของฝ่ายศัตรู ถือว่าเป็นความจำเป็นของการดำเนินชีวิต และได้สนับสนุนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพภายใต้ผู้ปกครองที่กดขี่และอธรรม
ความเสมอภาค
ในศาสนาอิสลาม ถือว่ามนุษย์มีสิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน และมนุษย์มีศักดิ์ศรีและมีเกียรติเท่าเทียมกัน อิสลามได้ปฏิเสธความเหลื่อมล้ำทางสังคม และ ความแตกต่างจากสีผิวหรือเชื้อชาติ ภาษา ไม่เป็นเหตุของการสร้างมีความเสมอภาค ศาสดาอิสลามได้กล่าวว่า…
“อาหรับไม่สูงส่งกว่า ไม่ใช่อาหรับ และไม่ใช่อาหรับ ก็จะไม่สูงส่งกว่าอาหรับ คนผิวขาวไม่ได้เหนือกว่าคนผิวดำ ยกเว้น การมีภาวะสำรวมตน”(อ้างจากหนังสือ มุยะมุลกะบีร เล่ม ๑๘ หน้า ๑๓)
ทุกคนคือบ่าวของพระเจ้า เป็นสิ่งถูกสร้างของพระเจ้า และบทบัญญัติได้กำหนดให้มนุษย์ทุกคน และมีเพียงหนทางเดียวที่จะพบกับความผาสุกและการใกล้ชิดกับพระเจ้า คือการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า ผู้ทรงรอบรู้ ดังนั้นตัวชี้วัดของความสูงส่งกว่ากัน คือ การมีภาวะสำรวมตน(ตักวา) และจะนำให้เขาไปสู่ความสมบูรณ์สูงสุด นั่นคือพระเจ้า
ความมีเสรีภาพของทาส
คุณเคยอ่านกฎหมายเกี่ยวกับเชลยและทาสของชาวตะวันตกบ้างหรือไม่? และเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของการถูกฆ่าคนผิวสี และคนว่างงานของคนสิผิวที่ไม่ได้รับการเหลียวแล บ้างไหม? ค.ศ. ๑๘๖๐ ในสหรัฐอเมริกาจำนวนทาสเพิ่มขึ้นถึงสี่ล้านคน และในปี ๑๘๖๐นั้นได้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา จนทำให้ ฮับรอฮัม ลินคอล์น ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง และทำให้เกิดการต่อต้านทาสคนผิวดำอย่างกว้างขวางในโลกตะวันตก และจุดที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ของขบวนการต่อต้านคนทาส คือสหรัฐอเมริกา และในเรื่องความมีเสรีภาพของทาสยังคงเป็นปัญหาและได้ต่อสู้มาเกือบสิบห้าศตวรรษแล้ว แต่ทว่าอิสลามได้นำเสนอในเรื่องการอยู่อย่างศานติและสมานฉันท์ตามหลักคำสอนระหว่างกันและเรียกร้องให้สิทธิและเสรีภาพแก่ทาส และถึงกับได้เรียกเร้องให้เลิกทาสมาก่อนเสียด้วยซ้ำ
ก่อนการมาของอิสลาม ในดินแอนคาบสมุทรอาหรับมีแรงงานทาสและทาสมากมายเหมือนกับในแผ่นดินอื่นๆ และเป็นสิ่งที่รับไม่ได้กับการกระทำต่อทาสอย่างโหดเหี้ยมและทารุนอย่างป่าเถื่อนต่อพวกเขา และเมื่ออิสลามได้ปรากฏขึ้น คุณค่าและความประเสริฐของคนๆหนึ่งได้ถูกกำหนดไว้ ความยำเกรงต่อพระเจ้าและต่อการมีภาวะสำรวมตน และการมีจริยธรรม ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่ง หรือการมีเงินตราหรือความร่ำรวย ดังนั้นอิสลามถือว่า มีสิ่งเดียวที่ถือว่า เหนือกว่าคนอื่นๆ คือการภาวะสำรวมตน(ตักวา) และได้ประกาศการเป็นบ่าว หรือข้าทาส เพียงต่อพระเจ้าเท่านั้น (ไม่อนุญาตให้เป็นข้าทาสระหว่างมนุษย์ด้วยกัน)
แต่ทว่าก็มีบารงทัศนะของบางกลุ่มที่มีใจอคติต่ออิสลาม ได้คิดว่า อิสลามได้มีหลักการให้ยึดปฏิบัติต่อเชลยศึกสงครามเหมือนกับข้าทาส หรือให้ปฏิบัติเหมือนกับว่า เขาไม่คนของประเทศนั้นๆที่เข้ามาอยู่ในประเทศของคนอื่น แต่ทว่าข้อเท็จจริงแล้ว อิสลามให้คำนึงและพิจารณาถึงสิทธิของเชลยศึกไว้ ๕ ประการดังนี้
ก. ให้เชลยจ่ายสินใหมสงคราม และเขาจะได้รับอิสรภาพ
ข.สามารถนำเชลยสงครามแลกเปลี่ยนระหว่างเชลยมุสลิม
ค.เชลยสงครามมีสิทธิและเสรีภาพเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน ด้านการศึกษา การเรียนหนังสือ การอ่าน การเขียน
ง.ผู้ปกครองอิสลาม สามารถจะให้อิสรภาพแก่เชลยสงครามได้
จ.ถ้าเชลยมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต ก็ให้นำมาพิจารณาลดหย่อนโทษได้ โดยแทนการจะประหารชีวิต ให้เขาไปทำงานเพื่อรับใช้อิสลามและมุสลิม
ถ้าหากว่าบทบัญญัติแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่ได้ปฏิบัติกับเชลยสงคราม เหมือนกับที่ปัจจุบันได้ปฏิบัติกันนั้น ให้เราลองเปรียบเทียบดูกันเอง ก็จะพบว่า เขาไม่ถูกประหารก็ถูกขังคุกจนแก่ตาย และทว่าในบทบัญญัติของอิสลาม ได้ยังให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำมีสิทธิต่อสังคมและครอบครัว และให้โอกาสแก่พวกเขา ได้กลับมายังสังคมและครอบครัวอีกครั้ง เพื่อมีชีวิตใหม่ หรือแม้กระทั้งหน่วยงานของรัฐ ได้สนับสนุนเขาอีก ดังที่ปรากฏเป็นหลักฐานในการปกครองระบอบอิสลามในอดีต(ของศาสดา) ส่วนในระบอบที่ทันสมัยขึ้น คือเชลยสงครามที่ไม่ใช่มุสลิม จะได้รับการดูแลภายใต้ครอบครัวอิสลามเดียวกัน จนกระทั้งเขาจะได้เรียนรู้วิถีแห่งอิสลาม การใช้ชีวิตแบบระบอบอิสลาม เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมที่จะชี้นำทางให้แก่พวกเขา ในลักษณะที่มีความสมัครใจ(ในการเข้ารับอิสลาม) นี่คือ การปฏิบัติของอิสลามต่อศัตรู และต่อผู้ไม่ใช่มุสลิม ไม่เพียงแค่การไม่ดูถูก หรือเหยียดหยามในศักด์ศรีและเกียรติยศแล้ว อิสลามยังให้โอกาสแก่เชลยสงครามนั้น ให้อิสรภาพ แก่พวกเขา
ส่วนการปฏิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แบบไร้มนุษยธรรม นั่นคือ การค้ามนุษย์ด้วยกัน โดยการจัดหามนุษย์เพื่อไปค้าแรงงานในประเทศไกลพ้น ซึ่งแน่นอนว่า นั่นคือ การกระทำที่ผิดศิลธรรมอย่างรุนแรง แต่ทว่าศาสนาอิสลาม ได้เรียกร้องในเรื่องการแก้ปัญหาดังกล่าวมาช้านาน แม้กระทั้งยุคก่อนการมาอสิลามในคาบสมุทรอาหรับที่เคยเกิดขึ้น(การค้าทาส) อิสลามได้ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดศิลธรรม และต่อมาอิสลามได้กำหนดกฎหมายที่เป็นรูปธรรม เพื่อการให้เสรีภาพแก่ทาส เพื่อที่จะให้ปัญหาในเรื่องทาสหมดไป
หลักชะรีอะฮ์ กฎหมายอิสลามได้กำหนดและถูกตราขึ้น เช่น ถ้าผู้ใดได้บกพร่องต่อการทำหน้าที่ทางศาสนา หรือกระทำบาป เพื่อเป็นการไถ่บาป ให้ไปปล่อยทาส และถ้าไม่มีทาสในครอบครอง ก็ให้ไปซื้อทาสแล้วปล่อยทาสให้เป็นอิสระ หรือแม้แต่ในเรื่องการสมรสกับทาส ก็อนุญาต โดยอยู่ภายใต้หลักเกณท์ที่เฉพาะว่าด้วยเรื่องทาส โดยเปิดโอกาสเพื่อให้ทาสนได้รับอิสระ ดังนั้นอิสลามได้มีมุมมองที่แหลมคมในเรื่องทาส โดยยึดหลักมนุษยธรรมและจริยธรรม และความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เรียกร้องให้คำนึงสิทธิของข้าทาสอย่างเคร่งครัด และให้ถือว่า มีเพียงสิ่งเดียวความสุงส่ง คือความยำเกรงต่อพระเจ้า ศาสดามุฮัมมัด คือแบบอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ ซึ่งพระองค์ท่านได้ยึดเป็นแบบฉบับอันงดงาม ให้ความสำคัญพิเศษ โดยการให้มีมารยาทต่อเพื่อนมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน และให้ปฎิบัติกับทาส เหมือนกับการปฏิบัติกับมนุษย์อื่นๆ จงให้เกียรติข้าทาส และอย่าได้นำเรื่องชาติพันธุ์ หรือตระกูลมาเป็นข้ออ้างในการยึดถือปฏิบัติ ดังนั้นจะเห็นว่า ผู้เรียกร้องอาซานเวลาละหมาด คนแรก ถูกแต่งตั้งโดยศาสดามุฮัมมัด คือ ทาสผิวดำ ท่านบิล้าล ฮะบาชี ซึ่งศาสดามุฮัมมัดได้ซื้อมาและต่อมาได้ให้อิสรภาพแก่เขานั่นเอง