อิสลาโมโฟเบีย:โรคเกลียดกลัวอิสลามกับการเยียวยา ตอนที่ 1
อิสลาโมโฟเบีย:โรคเกลียดกลัวอิสลามกับการเยียวยา ตอนที่ 1
ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน
วิธีคิดหรือหลักคิดที่กลายเป็นความเชื่อของสำนักคิดหนึ่งสำนักคิดใดเกี่ยวกับการมองต่อโลกและมนุษย์ และสรรพสิ่ง และได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการมองต่อสิ่งเหล่านั้นจนกลายเป็นความเชื่อ เราเรียกว่า”โลกทัศน์” และทุกสำนักคิดทางศาสนา ทุกนิกาย หรือแม้แต่ลัทธิทางปรัชญา การเมืองล้วนแล้วแต่มีโลกทัศน์เป็นของตนเองเพื่อนำเสนอหลักคิดแก่ผู้อื่นและอธิบายในความเชื่อของสำนักของตน เพื่อสร้างระเบียบแบบแผนต่างๆไม่ว่าสิ่งที่ควรจะกระทำสิ่งที่ไม่ควรจะกระทำ
มนุษย์โดยทั่วไปแล้วจะเรียนรู้สิ่งที่สัมผัสและรู้สึกได้ก่อนที่จะเรียนรู้เรื่องราวทางจิตวิญญาณ เช่นความมั่งมีถือว่าเป็นต้นทุนหนึ่งของการดำเนินชีวิตทางกายภาพของมนุษย์ ทุกคนจะรู้จักมันอย่างรวดเร็ว และดิ้นรนหาคุณค่ามัน นั่นคือการแสวงหาการงานที่มีรายได้สูงหรือมีเกียรติยศควบคู่ไปด้วย และบางครั้งมนุษย์ได้ให้คุณค่าแก่มันชนิดที่เกินความพอดี จึงการการแย่งชิงและความละโมบ ยิ่งจะสร้างความเจ็บปวดให้กับเขาและสังคมชนิดที่ยากในการจะเยียวยา
คำว่า”อิสลาโมโฟเบีย” เริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วโลกนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ 9/11 แต่ขณะที่อัตราการใช้ความรุนแรงสูงขึ้นและลุกลามไปยังประเทศต่างๆทั้งในสหรัฐ ยุโรป หรือแม้กระทั่งเอเชีย ภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือก็กำลังดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการครอบงำและการหาผลประโยชน์ของกลุ่มประเทศมหาอำนาจที่เข้าแซกแซงการเมืองภายในของตนเช่นกัน(Islamophobia เรียนรู้ ลบเลือนความหวาดระแวง จรัญ มะลูลีม หน้า ๘)
ปรากฏการณ์”อิสลาโมโฟเบีย” Islamophobia หรือภาวะความหวาดกลัวหรือโรคความเกลียดชังอิสลาม ความมิอคติต่อมุสลิมได้ถูกนำมาใช้ทางการเมืองและเป็นเสมือนภัยคุมคามผู้บริสุทธิ์ และตอกลิ่มความเกลียดชังให้เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เพียงอ้างในเรื่องศาสนาและความเชื่อเป็นเครื่องมือในการบดบี้และทำลายล้างระหว่างมนุษย์ด้วยกัน หรือเพื่อแบ่งแยก “พวกเขา” และ”พวกเรา” ซึ่งผลพวงของมันไม่เพียงแต่จะสร้างความชิงชังในหมู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ยังมีนัยถึงการเหยียดเชื้อชาติ เสมือนเป็นการตราบาปให้แก่ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงใดๆ(Islamophobia เรียนรู้ ลบเลือนความหวาดระแวง จรัญ มะลูลีม หน้า ๘)
โนม ชอมสกี นักวิชาการชื่อดังชาวอเมริกันกล่าวไว้ว่า “ทุกคนเป็นกังวลว่าจะหยุดการก่อการร้ายได้อย่างไร อันที่จริงมันง่ายนิดเดียว แค่หยุดมีส่วนร่วมกับมัน” เพราะถ้าสังคมหรือกลุ่มบุคคลมีแนวคิดแบ่งแยกหรือสร้างความเกลียดชังระหว่างกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีแนวคิดทางศาสนาแบบสุดโต่งหรือกลุ่มชาตินิยมขวาจัดที่ต่อต้านอิสลามก็ถือว่ามีส่วนร่วมกับการก่อการร้ายแล้ว ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุที่ไครสต์เชิร์ชก็ถือเป็นเหยื่อของความเกลียดชังและความหวาดกลัวเช่นกัน”( THE STANDARD :บทความ โจมตีมัสยิดในไครสต์เชิร์ช การทำงานของความเกลียดชังและการก่อการร้ายของเหยื่อความหวาดกลัว โดย ผศ. ดร. มาโนชญ์ อารีย์)
ปัจจุบันกระแส Islamophobia ลุกลามและหนักขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่อเมริกันชนบางกลุ่ม มีการเหยียดเชื้อชาติ ศาสนา เลือกปฏิบัติ และกีดกันทางสังคมมากยิ่งขึ้น มีการทำร้ายร่างกายคนมุสลิมจากอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังหลายคดี โดยเฉพาะต่อสตรีมุสลิม เพราะสังเกตได้ชัดจากการแต่งกาย คนอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่เห็นว่าสังคมอเมริกันเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วสำหรับคนมุสลิมจึงเริ่มออกมาแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพวกเขาโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติและศาสนา เห็นได้ในหลายกรณีที่มีการรวมกลุ่มกันเพื่อประกาศเจตนารมณ์ยืนเคียงข้างชาวมุสลิม รวมทั้งดูแลความปลอดภัยให้ด้วย”( THE STANDARD :บทความ โจมตีมัสยิดในไครสต์เชิร์ช การทำงานของความเกลียดชังและการก่อการร้ายของเหยื่อความหวาดกลัว โดย ผศ. ดร. มาโนชญ์ อารีย์)
ศาสนาอิสลามกับมายาคติต่อความเกลียดกลัว
กุรอานได้กล่าวว่า…
“จงกล่าวเถิด(โอ้มุฮัมมัด)ว่า โอ้ชาวคัมภีร์เอ๋ย จงเข้ามายังถ้อยคำหนึ่งที่เท่าเทียมกัน ระหว่างเราและพวกท่าน นั่นคือ เราจะไม่สักการะกราบไหว้สิ่งใด นอกจากพระอัลลอฮ์เท่านั้น และจะไม่ตั้งภาคีใดๆกับพระองค์ และพวกเราบางคนก็จะไม่ยึดถืออีกบางคนเป็นพระเจ้าอื่นนอกเหนือพระอัลลอฮ์ แล้วถ้าหากพวกเขาได้ผินหลังให้ ก็จงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงพวกเราเป็นผู้น้อมตาม(ยอมรับความศานติ)”(อาลิอิมรอน โองการที่ ๖๔)
หรือแม้แต่ในหลักปฏิบัติศาสนกิจ(ฟิกฮุลอิสลาม) ได้มีบทและมาตราว่าด้วยการอยู่ร่วมกันระหว่างศาสนิกอื่นและระหว่างนิกายอื่นๆ โดยได้นำคำวินิจฉัยของปวงปราชญ์ถึงเรื่องนี้ว่า ถือเป็นหน้าที่หนึ่งของมุสลิมต้องให้เกียรติและไม่เมิดสิทธิของเพื่อนบ้าน ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิมก็ตาม และอีกทั้งยังได้กล่าวถึงสิทธิของเพื่อนบ้านและคนต่างศาสนิกไว้น่าชื่นชมทีเดียว
อิมามอะลี บินอะบีตอลิบ ในขณะที่ได้เป็นคอลีฟะฮ์ปกครองอาณาจักรอิสลาม ครั้งนี้ท่านได้เดินผ่านตำบลหนึ่ง และได้เห็นชายตาบอด ซึ่งได้ขอทานและขอความเชื่อเหลือจากประชาชน อิมามอะลีได้กล่าวว่า “ ชายผู้พิการและตาบอดนั้น เขาเป็นผู้ขัดสน จงนำทรัพย์สินกองกลาง(บัยตุลมาล)ให้กับเขาเถิด และจงรักษาเกียรติของเขา” ทั้งๆชายพิการและตาบอดผู้นั้น เป็นชาวคริสเตียนเสียด้วยซ้ำ และการสร้างความรักและความเมตตาระหว่างศาสนา ไม่ได้เฉพาะแค่ศาสนาหนึ่งศาสนาใด แต่ทุกๆศาสนาและทุกๆนิกาย
อัลกุรอานได้กล่าวอีกว่า….
“องค์อัลลอฮ์มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะทำความดีต่อพวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลฮ์ทรงรักผู้มีความยุติธรรม“(บทมุมตะฮีนะฮ์ โองการที่ ๘)
การดำเนินชีวิตของมนุษย์มีสองด้าน คือด้านปัจเจกบุคคลและด้านสังคม เหมือนกับทุกๆอวัยวะของร่างกายมีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ต่ออวัยวะส่วนอื่นๆด้วยเช่นกัน ดังนั้นมนุษย์ จึงมีความจำเป็นต่อแบบแผนการดำเนินชีวิตหนึ่ง ที่จะเป็นหลักประกันความผาสุกทั้งทางกายภาพและทางจิตวิญญาณ ทั้งทางการดำเนินชีวิตที่เป็นปัจเจกบุคคลและทางสังคม กระบวนแบบแผนนี้ เรียกว่า “ศาสนา” ซึ่งเป็นความจำเป็นที่สัญชาตญาณของมนุษย์เรียกหา ดังที่องค์อัลลอฮทรงตรัสว่า…
“จงผินหน้าของเจ้าสู่ศาสนาอันเที่ยงแท้เถิด ซึ่งพระองค์ทรงสร้างให้มนุษย์มีมันอยู่คู่กับมนุษย์”(บทอัรอัรรูม โองการที่ ๓๐)
ศาสนาหมายถึงพันธะสัญญาต่างๆที่มีต่อพระเจ้า ซึ่งจะขับเคลื่อนมนุษย์ให้ประคองตนสอดคล้องกับบทบัญญัติที่ประทานแก่ท่านศาสดาเพื่อเป็นวิถีชีวิต ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความหมายเชิงกว้างของคำว่า ศาสนา ที่สามารถปรับประยุกต์และนำมานิยามบทบัญญัติจากพระเจ้าที่ได้ประทานแก่เหล่าศาสดา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ศาสนาอุดมไปด้วยแนวความเชื่อ ,ศีลธรรมจรรยา และประมวลบทบัญญัติจากพระเจ้านั่นเอง
กระแสเหตุการณ์ของโลกปัจจุบันวันนี้ได้สะท้อนถึงผู้นับถือศาสนาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายบ้างหรือเป็นผู้ทำลายสันติภาพบ้าง จนทำให้กระแสของ”อิสลาโมโฟเบีย”หรือเรียกว่า”โรคกลัวอิสลาม”เป็นภาวะความเกลียดชังต่ออิสลามและมุสลิม ทั้งๆที่ศาสนาอิสลามเรียกร้องและต้องการความสันติภาพ ต้องการความยุติธรรม และเสรีภาพ และปรารถนาความสัมพันธไมตรีและอยู่อย่างมิตรภาพมีความสมานฉันท์
ศาสนาอิสลามถือว่าการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกชนอื่นๆเป็นหลักคำสอนของพระศาสดามุฮัมมัดและถือว่าการมีความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาคือกระบวนการทางปัญญาและเป็นหลักสันติวิธีโดยยึดความเมตตาธรรมและความรักเป็นที่ตั้ง และพร้อมที่จะปฏิบัติและพยายามนำหลักการทางศาสนาของศาสนาและนิกายของตนมาบูรณาการปฎิบัติในด้านความสัมพันธ์และด้านสังคม กอรปกับแสดงออกด้วยการปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังของแต่ละศาสนาและแต่ละนิกาย โดยยึดปฎิบัติตามคำสั่งสอนและสิ่งที่ถูกสอนไว้ในนิกายนั้นๆ เพื่อสำแดงให้เห็นว่าทุกศาสนาและทุกนิกายได้เคารพหลักความเชื่อ ความศรัทธาต่อกันและกัน ไม่ดูถูกหรือดูหมิ่นดูแคลนคำสอนของความเชื่อหรือความศรัทธาในศาสนาของกันและกัน และพร้อมที่จะเป็นเพื่อนร่วมโลกต่อกันและกัน
อิสลามต่อต้านการปะทะทางอารยธรรม แต่สนับสนุนการสานเสวนาทางอารยธรรม และหนึ่งจากบทบาทของการสานเสวนาทางอารยธรรม คือจะนำแนวทางการสานเสวนาทางศาสนาให้เกิดขึ้น โดยยึดหลักปรัชญาว่าด้วยทฤษฎี”ความเป็นเอกภาพในพหุภาพ และความเป็นพหุภาพในเอกภาพ”นั่นคือ การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การยึดมั่นถือมั่น นั่นก็คือที่เคยแสดงความชิงชังต่อกัน หรือเคยทำสงครามกัน แต่ทว่ากระบวนทัศน์ของศาสนสัมพันธ์ในยุคโลกาภิวัตน์นั้น คือการไม่เหยียดหยามและดูถูกดูหมิ่นความเชื่อของกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ในของแต่ละศาสนา หรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระศาสดา ถึงเป็นที่เคารพของทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพระศาสดามุฮัมมัด(ศ)ของอิสลาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพุทธศาสนา พระเยซูคริสต์ และอื่นๆต่างเป็นที่ยอมรับต่อกันและกัน
ศาสนาทั้งหลายในอดีตได้แสดงบทบาทที่สำคัญและเห็นด้วยกับหลักการนั้นโดยการให้ความร่วมมือจึงเป็นที่คาดหวังว่าในยุคหนึ่งนั้นบรรดาศาสนาทั้งหลายจะอยู่กันอย่างสันติเคารพในศาสนากันและกันและสร้างความพึงพอใจและความต้องการด้านต่างๆของมนุษย์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นทุกศาสนาได้เชื่อและมีความศรัทธาว่า โลกแห่งสันติภาพยังมิอาจบรรลุถึงได้ นอกเสียจากบรรดาศาสนาและผู้นำของศาสนาต่างๆ ซึ่งมีพื้นฐานทางด้านวัฒนธรรมอันดีงามและมีอารยธรรมอันน่ายกย่องนั้น มาร่วมสานเสวนาและพูดคุยสนทนาทางด้านศาสนากัน เพราะว่าในความเป็นจริงแล้วไม่มีศาสนาใดในโลกใบนี้ที่มีความเชื่อหรือมีหลักคิดที่เป็นลบต่อกันหรือส่งเสริมมุ่งร้ายและแข่งขันในทางที่มิชอบ แต่ตรงกันข้ามศาสนาทั้งหลายต่างชิ่นชมและยินดีในความเป็นมิตรและมีจิตเอื้ออาทรต่อกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือว่าศาสนาไม่ใช่ภัยคุกคามต่อกัน
ศาสนาอิสลามโดยการเป็นประจักษ์พยานตามบริบทของของยุคสมัยจากสมัยเริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งยืนยันโดยประวัติศาสตร์ของอิสลามว่า ศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้กำชับและบอกแก่สาวกของท่านให้อยู่ร่วมกับบรรดาศาสนิกอื่นๆในนครมะดีนะฮ์อย่างสันติ และประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าหลังจากที่ศาสดามุฮัมมัดได้อพยพสู่นครมะดีนะฮ์ และได้จัดตั้งรัฐอิสลามขึ้น บรรดามุสลิมในสมัยนั้นได้เริ่มรู้จักบรรดาศาสนิกของศาสนาอื่นๆโดยใช้ชีวิตตั้งถิ่นฐานทำมาหากินอยู่ร่วมกัน และมีความสัมพันธ์ต่อกันทางด้านวัฒนธรรม มีการแปลตำราทางด้านศาสนาจากภาษาอื่นๆและมีการปฎิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมตลอดทั้งทางด้านวิชาการด้านอื่นๆ
คัมภีร์อัลกุรอานได้อ้างไว้อย่างชัดเจนในความสัมพันธ์ที่ทำให้นึกถึงบรรดาผู้ศรัทธาในศาสดาก่อนศาสดามุฮัมมัด อย่างเช่นชาวยิวที่มีศรัทธาต่อศาสดาฮิบรอฮีม และศาสดามูซา ชาวคริสต์ที่ได้ศรัทธาต่อพระเยซู ศาสดาอีซา ชาวโซโรอัสเตอร์
เรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าที่สุดที่หน้าประวัติศาสตร์ทั้งหลายได้บันทึกการดำเนินชีวิตของเหล่าวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่การดำเนินชีวิตของพวกเขาได้สร้างคลื่นชีวิตแบบพิเศษมหัศจรรย์และถูกจารึกเป็นเรื่องราวในรูปแบบต่างๆ
อิสลามถือว่า มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพทางความเชื่อ และความหมายของคำว่าเสรีภาพทางความคิดและการศรัทธา หมายถึง ทุกคนต้องทำการค้นคว้าและคิดเกี่ยวกับการศรัทธาในการได้สิ่งนั้นมาบนพื้นฐานของเหตุและผลของตนเองปราศจากการบีบบังคับหรือการลอกเลียนแบบผู้ใด ดังนั้นจะเห็นว่าท่านศาสดาอิสลามมิได้กล่าวกับชาวอาหรับว่า “พวกท่านทั้งหลายต้องยอมรับอิสลาม” ดังนั้น หลักพื้นฐานมนุษยธรรม , ความเป็นมิตรไมตรี ความนุ่มนวล ความรักและหลีกเลี่ยงจากความหยาบกระด้างรุนแรงและการบีบบีงคับและการหยัดเหยียดในเรื่องการศรัทธาอย่างไม่เป็นธรรม เป็นหลักของการเชิญชวนสู่อิสลาม
โรคความหวาดกลัวอิสลาม(Islamophobia)
ความหวาดกลัวอิสลาม(Islamophobia) เป็นศัพท์ใหม่ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ และได้รับการนิยามในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์อันหนึ่ง เกี่ยวกับความมีอคติที่มีต่อชาวมุสลิมในฐานะปีศาจร้าย ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว แสดงถึงท่าทีในเชิงลบ, ความรุนแรง, ความรู้สึกกลัดกลุ้ม, การแบ่งแยก, และทัศนคติตายตัว
สำหรับศัพท์คำนี้ย้อนวันเวลากลับไปได้ถึงปลายทศวรรษที่ 1980 หรือช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 แม้ว่ามันจะถูกนำมาใช้มากขึ้นนับจากเหตุการณ์การโจมตีในวันที่ 11 กันยายน 2001 เป็นต้นมาก็ตาม
นายโคฟี อานันน์ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้กล่าวกับที่ประชุมยูเอ็นในปี 2004 ว่า “เมื่อโลกได้ถูกบีบบังคับให้ประดิษฐ์ศัพท์คำใหม่คำหนึ่งขึ้นมา เพื่ออธิบายเกี่ยวกับการแสดงความรู้สึกหรือความเชื่ออย่างไม่มีเหตุผลที่แพร่กระจายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นเป็นความน่าเศร้า และกำลังสร้างปัญหาต่อการพัฒนาขึ้นตามลำดับ ตัวอย่างเช่นกรณีเกี่ยวกับคำว่า”อิสลาโมโฟเบีย”(Islamophobia – ความหวาดกลัวอิสลาม) เป็นต้น
แนวความคิดนี้เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ ในด้านหนึ่งนั้น นักวิจารณ์บางคนมองอิสลาโมโฟเบียในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นจริง ซึ่งได้เข้ามาแทนที่รูปแบบเก่าๆ ของเชื้อชาติ/เผ่าพันธุ์นิยม(racism) ยกตัวอย่างเช่น Anja Rudiger หัวหน้าผู้ประสานงานของศูนย์ European Monitoring Centre on Racism and Xenophobia, (ศูนย์ดูแลตรวจสอบยุโรปเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์นิยมและความรังเกียจคนต่างชาติ) ได้ให้เหตุผลว่า มันไม่มีการยอมรับอีกต่อไปแล้วที่จะใช้เรื่องของสีผิวในฐานะที่เป็นเหตุผลหรือคุณลักษณะการแบ่งแยกผู้คน ปัจจุบัน ศาสนา-วัฒนธรรม ดูเหมือนว่าได้กลายมาเป็นเครื่องหมายต่างๆ ของการจำแนกแตกต่างโดยธรรมชาติ” เธอได้บันทึกว่า อิสลามได้กลายเป็นคนอื่นใหม่(the new other)ขึ้นมา…”
หลายคนได้เรียกมันว่าเป็นมายาคติ โดยให้เหตุผลอ้างอิงถึงความสับสนในอิสลาโมโฟเบีย การวิพากษ์วิจารณ์อย่างชอบธรรมเกี่ยวกับอิสลามด้วยความคิดแบ่งแยก(discrimination) ต่อชนชาวมุสลิมทั้งหลาย และบางครั้งบางคราว โลกได้ถูกชักนำไปในหนทางที่ผิดๆ เพื่อโจมตีความเป็นปรปักษ์ทั้งหมดของลัทธิอิสลามหัวรุนแรง (Islamic radicalism)
( www. Publicpostonline.net และกองบรรณาธิการ ม.เที่ยงคืน : เรียบเรียง ต้นฉบับ Islamophobia บางส่วนจากสารานุกรม นำมาจาก : http://en.wikipedia.org/wiki/Islamophobia)