ระลึกถึงสมเด็จ วิรุฬหผล หนึ่งในวีระบุรุษ 14 ต.ค.16
คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ทหารประชาธิปไตย
ระลึกถึงสมเด็จวิรุฬหผล หนึ่งในวีระบุรุษ 14 ต.ค.16
ได้รับข้อเขียนของดร.ฟาริดา วิรุฬหผล ซึ่งผู้เขียนเห็นว่ามันสะท้อนความรู้สึกของคนร่วมสมัย ที่อาจจะเห็นต่างจากคนบางกลุ่ม แต่มันก็เป็นภาพสะท้อนทางสังคมและบันทึกทางประวัติศาสตร์ อันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งจนทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นความลับดำมืด โดยบางช่วงบางตอนก็มีความพยายามของผู้มีอำนาจบางคนที่จะลบเลือนเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของการลุกขึ้นมาต่อสู้ของประชาชน โดยสันติ แต่อะไรเล่าที่ทำให้เหตุการณ์เหล่านั้นกลายเป็นความรุนแรง การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน สาธารณชนคงต้องรอคอยกันต่อไป สำหรับวันนี้ผู้เขียนขอนำเสนอบทความของดร.ฟาริดา วิรุฬหผลที่ถ่ายทอดจากข้อมูลจริงและความรู้สึกระลึกถึงคุณอาของเธอ……สมเด็จ วิรุฬหผล
**********
การกลับมาของวีรบุรษ
เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง หรือจึงมุ่งมาศึกษา
เพียงเพื่อปริญญา เอาตัวรอดกระนั้นฤา
แท้ควรสหายคิด และตั้งจิตร่วมยึดถือ
รับใช้ประชาคือ ปลายทางเราที่เล่าเรียน
มนูญ มโนรมย์ (นเรศ นโรปกรณ์)
รอยเลือด ควันไฟ สายฝน…ครบรอบ 48 ปีแล้วหรือ กับคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบ อิสรภาพที่เขาไขว่คว้า ประเทศเราก็ยังเดินหน้ากันไม่ถึงไหน เสรีภาพที่เขาฝันก็ยังเป็นสิ่งเกินเอื้อมสำหรับประชาชนในประเทศนี้ เราไม่ใช่มนุษย์เป็นเพียงทาสติดที่ได้แต่หายใจรวยรินรอความตาย ใช้ชีวิตกันไปวัน ๆ โดยมีความยากจนห่อร่างไว้ ในขณะที่มีแต่คำสั่งสอนให้ยอมรับสภาพและห้ามตั้งคำถามใด ถึงข้าพเจ้าจะเกิดไม่ทันแต่ก็ดำรงอยู่ในโลกคู่ขนาน ในกาลที่ต่างกันบนเหตุการณ์เดียวกันจนดูเหมือนภาพซ้อน เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้วเท่านั้น
นักสู้ทั้งหลายต่างล้มตายไปคนแล้วคนเล่า คนที่สู้ ก็สู้อย่างโดดเดี่ยว จนบางครั้งข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่านี่คือเรื่องจริงหรือเป็นเพียงบทละครตลกที่ใครบางคนบรรจงเขียนขึ้น ยิ้มสิ ยิ้มเข้าไว้ประชาชนทั้งหลาย เราไม่ได้รับอนุญาตให้กล่าววาจาสัตย์อันใดนอกจากความลวงซึ่งโดนหล่อหลอมมาให้เชื่อ ข้าพเจ้าเองก็จะพูดอะไรได้มากมาย ความปรารถนาของข้าพเจ้าก็ไม่ได้ต่างไปจากเขาหรอก วีรบุรุษผู้สิ้นชีพไปกว่าห้าสิบปีแล้ว กระนั้นเรื่องราวของเขาก็ยังไม่ถูกลืมเลือนและในวาระนี้ข้าพเจ้าจะปลุกให้เขาตื่นอีกครั้งบนหน้ากระดาษนี้เพื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไม่ให้คนรุ่นหลังลืมเลือน “สมเด็จ วิรุฬหผล”
เขาเป็นที่รักของครอบครัวและเพื่อน เป็นคนนิสัยดี ยิ้มกว้าง เขายังไม่รู้จักความรักแบบหนุ่มสาวจึงแลกแหวนแทนใจกับพี่สาวคนกลาง เขาตั้งใจเรียนและมักช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยวตอนเย็น เขาเป็นนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ ปีหนึ่ง มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ สอบได้คะแนนดีเสมอแต่กระนั้นความเชื่อความศรัทธาของเขาก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่การเรียนแบบที่ผู้ทรงอำนาจยุคนั้นเคยกล่าวทำนองว่า “มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป” เขามุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น เขาเหนื่อยหน่ายกับการคดโกงแผ่นดินเช่นเดียวกับผู้ร่วมอุดมการณ์ในยุคนั้นและยุคนี้
เราไม่อาจก้มหน้าและปฏิเสธได้ว่าการเมืองไม่เกี่ยวข้องกับชีวิต ในทางตรงข้ามแล้วการเมืองเกี่ยวข้องทุกลมหายใจของทาสติดที่ซึ่งถูกเรียกว่าประชาชน สมเด็จย่อมเข้าใจความจริงข้อนี้ดี เขาจึงได้เรียกร้องให้คนได้รับการปฏิบัติอย่างคนอย่างไรเล่า เราจะได้ลืมตาอ้าปากมีสิทธิเสรีภาพบนแผ่นดินเกิด ในชาติทุกวันนี้หมายถึงอะไร ชาติที่ไม่รวมประชาชนย่อมไม่เรียกว่าชาติแต่เป็นหุ่นเชิดของกลุ่มคนที่ใช้อำนาจด้วยการกดขี่ข่มเหงที่เรียกกันอย่างสวยหรูว่าคณาธิปไตย
เช้าวันที่ 14 ตุลาฯ 2516 วันมหาวิปโยคเขาออกจากบ้านไป…
มุ่งหน้าไป… มุ่งหน้าไปธรรมศาสตร์ เป็นห่วงเพื่อนเหลือเกิน เขาจะมุ่งกลับบ้านเพียงลำพังก็ได้แต่ไม่ทำอย่างนั้น เขากลับไปเพราะเป็นห่วงสหายผู้ร่วมอุดมการณ์เหลือเกินจึงกลับไปธรรมศาสตร์อีกรอบ เขาจะมีอะไรไปสู้ ปืนสักกระบอก มีดสักเล่มก็ไม่มี มีแต่หัวใจที่ศรัทธาว่าความถูกต้องจะชนะ แต่เปล่าเลย เปล่าเลย ห่ากระสุนที่ถูกยิงจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ผ่านฟ้าแล่นทะลุอกลงไปถึงขา เขาเซทรุดร่างแล้วก็ตกลงไปในน้ำบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ตอนเพื่อนงมขึ้นมาจากน้ำคำสุดท้ายที่กล่าวคือ “ชาไปทั้งตัวแล้ว”
ร่างที่ห่อด้วยธงไตรรงค์ การจบชีวิตของคนคนหนึ่งช่างสั้นภายในไม่กี่นาที แต่การกลับมาของวีรบุรุษรุ่นแล้วรุ่นเล่าเป็นการย้ำเตือนว่า สมเด็จ วิรุฬหผลไม่ได้ตายเปล่า เหมือนคำกล่าวที่ว่า ท่านเด็ดดอกไม้จะยิ่งบาน ข้าพเจ้าได้ยินตำนานของเขาขับขาน สิทธิ เสรีภาพที่เขาฝันคงไม่ไกลเกินเอื้อม และจะมีวันหนึ่งที่ประชาชนจะได้ปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการและเป็นอิสระกันซะทีอย่างที่สมเด็จตั้งใจ
เพียงหวังจะให้ประชาธิปไตยเฟื่องฟุ้ง…
ดร.ฟาริดา วิรุฬหผล