INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ซีเรีย​-ปาเลสไตน์​ : จากแผ่นดินโบราณสู่สัญญาณ​แห่งวันสิ้นโลก​ (6)

ซีเรีย​-ปาเลสไตน์​ : จากแผ่นดินโบราณสู่สัญญาณ​แห่งวันสิ้นโลก​ (6)

โดย​ อดุลย์​ มานะจิตต์

ระแวกของแม่น้ำไทกรีสในซีเรีย(ไทเบอริอัส)

“เมืองและผู้คนของมันตกลงไป ณ ที่ใดภายหลังจากที่ท่าน คว่ำแผ่นดินแล้ว ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์เอ่ยถาม เทพญิบรีลกล่าว ตอบว่า “โอ้ท่านศาสนทูต พวกเขาตกลงไปในทะเลจากซีเรียถึงอียิปต์ พวกเขากลายเป็นเนินสูงในทะเล”

มีวจนะบทหนึ่ง ที่เป็นของจริงแท้ มีสายรายงานมาจาก อมีรู้ล มุอฺมีนีน อะลี กล่าวว่า “ประชาชาตินี้ (มุสลิม)มีคุณสมบัติหกประการ ของผู้คนของลูฎ (1) ชอบยิงก้อนหิน (2) ชอบขว้างก้อนหิน (3) เการักแร้ (4) ลากเสื้อคลุมยาวของเขาไปบนพื้นดินโดยไร้ประโยชน์ (5) ไม่กลัด กระดุมเสื้อของพวกเขา (6)และไม่ผูกรัดเสื้อคลุมของเขาให้แน่น

มีวจนะอีกบทหนึ่งที่เป็นของจริงแท้ จากอิมาม มุฮัมมัด อัลบากิรกล่าวว่า ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ สอบถามเทพญิบรออีลถึง เหตุผลอันใดที่ผู้คนของลูฏจึงถูกกำหนดให้ต้องประสบกับความพินาศ เทพญิบรออีล กล่าวตอบว่า “ประชาชาติของลูฏตั้งภูมิลำเนาอยู่ เมืองๆหนึ่ง พวกเขาไม่ชำระล้างอวัยวะเพศของพวกเขาภายหลังจาก การขับถ่ายแล้ว พวกเขาไม่อาบน้ำตามประเพณีเมื่อตัวเปื้อนจาก การสมสู่ และพวกเขาเป็นผู้ตระหนี่ถี่เหนียว..

ช่วงระยะเวลาจากนบี อิศฮาก ยะฮ์กูบ และยูซุฟ นั้น ได้กล่าว ถึงโดยละเอียดไว้แล้วในอียิปต์ กำเนิดอารยธรรม สู่วีรกรรมอาหรับอุทัย สำนักพิมพ์วิกายา พิมพ์ปี 2556 โดย อดุลย์ มานะจิตต์ หน้า112-157

เรื่องราวที่กล่าวถึงยุคสมัยของศาสดามูซาหรือโมเสส ขณะที่ พำนักอยู่กับชนชาติอิสราเอลในอียิปต์ตรงกับยุคสมัยการปกครองของ กษัตริย์รามีเสสที่ 2 (1304-1237)นั้น ได้กล่าวถึงไว้อย่างละเอียดแล้วใน บทที่ 7 ของหนังสือ อียิปต์: จากกำเนิดอารยธรรมสู่วีรกรรมอาหรับ อุทัย​ ดังนั้นเรื่องราวที่จะกล่าวต่อไปเพื่อสานต่อถึงประวัติศาสตร์ ของชนชาติอิสราเอลที่ต้องเร่รอนอยู่ในแผ่นดิน ติยะฮ์ เป็นเวลา 40ปี จนถึงวาระสุดท้ายของศาสดาฮารูนและมูชา(อ) ตามลำดับจากนั้น จึง เป็นการเดินทางของประชาชาติอิสราเอลเข้าสู่แผ่นดินแห่ง “พันธะ สัญญา

มีกล่าวไว้ในฮะดิษหลายบทจากอิมาม อัลบากิรและอิมาม ศอดิก ว่า อัลลอฮ์ทรงกำหนดให้พวกเขาเข้าสู่แผ่นดินอันศักสิทธิ์ แต่พวกเขาปฏิเสธและจึงเป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเขา และมีการ เปลี่ยนแปลงใหม่ว่าบรรดาลูกชายของพวกเขาจึงจะได้เข้าไป ดังนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงเสียชีวิตลง ณ ทะเลทรายผืนนั้น บรรดาลูกๆ ของพวกเขาได้เข้าสู่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ไปพร้อมกับยูซูอะฮ์และคอลลาบ อัลลอฮ์ทรงยกเลิกสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์และยืนยันในสิ่งที่พระองค์ ทรงปรารถนาและพระองค์ทรงมี อุมมุลกิตาบ (แม่แห่งคัมภีร์) มีกล่าว ไว้ในรายงานอื่นๆอีกว่า บรรดาลูกชายของพวกเขาก็ไม่ได้เข้าไป แต่ บรรดาหลานชายของพวกเขาจึงได้เข้าไป

มีข้อเขียนจากแหล่งที่เชื่อถือได้กล่าวไว้ว่า อิมาม อัลบากิรได้ อธิบายถึงโอการที่ว่า จงเข้าไปสู่ประตูด้วยกับการแสดงการเคารพ นอนอบ มีบันทึกไว้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อมูซาออกมาจากแผ่นดินแห่ง ติยะฮ์ และประชาชาติอิสราเอลทั้งหมด เข้าสู่ดินแดนที่เป็นที่พำนัก ของผู้คน พวกเขาล้วนมีบาป อัลลอฮฺจึงทรงประสงค์ที่จะปลดเปลื้อง พวกเขาให้ปลอดพ้นจากบาป และหากพวกเขาสารภาพบาปพระองค์ ก็จะทรงอภัยให้กับพวกเขา เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงมีบัญชามายัง พวกเขาว่าเมื่อพวกเขาเข้ามาสู่ประตูเมือง พวกเขาจะต้องโค้ง คารวะและกล่าวคำพูดดังว่า ฮิตเตาะฮ์ หมายถึงการขออภัย เพื่อว่า ความผิดของพวกเขาจะได้รับการลบล้างไป ในหมู่พวกเขาที่มีคุณธรรม ต่างปฏิบัติตามและการขออภัยโทษของพวกเขาจึงได้รับการยอมรับ แต่บรรดาผู้ที่เป็นผู้กดขี่ อยุติธรรม กล่าวคำพูดนี้ ดังว่า ฮินเตอ์ ฮุมารออ์​ (ข้าวสาลีแดง)แทน เพื่อว่าพวกเขาจะได้ข้าวสาลี ดังนั้นการลงโทษ จากเบื้องบนจึงถูกส่งลงมายังพวกเขา

ทั้งสายชีอะฮ์และซุนนี้ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ เมื่อกล่าวถึงวจนะ ที่ว่าท่านศาสดากล่าวว่า “ในหมู่อุมมะฮ์นี้ ตัวอย่างของครอบครัว ของฉัน เปรียบประดุจดังประตูแห่งการอภัยโทษของชาวอิสราเอล บรรดาผู้ ที่เข้าไปสู่ฮ่อมได้รับการอภัย และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธย่อมถูกทำลาย ในทำนองเดียวกันผู้ใดในหมู่อุมมะฮ์นี้ ผู้ที่เขาเข้าสู่ความรัก แห่งอะฮ์ ลุลบัยต์ของฉัน และเชื่อศรัทธาในอิมามัต (ความเป็นผู้นำ) และยึดมั่นอยู่ กับความรู้ของพวกเขา และยึดถือพวกเขาไว้เป็นหนทาง แห่งความรอด พันของพวกเขา ย่อมได้รับความจรรโลง และผู้ที่พวกเขาปฏิเสธการ เชื่อฟังพวกเขา ก็จะต้องตามโลกแห่งความหลงผิด ดังที่พวกเขาต้องการ ข้าวสาลีแดง จึงจะต้องถูกทำลาย” มีบันทึกไว้ในแหล่งที่น่าเชื่อถือได้จากอิมาม ยะอ์ฟัร อัศศอดิก ว่าเมื่อ อัล กออิม จากครอบครัวของมุฮัมมัดจะมาปรากฏ ณ นคร มักกะฮ์ และมีความตั้งใจจะมุ่งสู่กุฟะฮ์ ผู้ประกาศของเขาจะประกาศ กับบรรดาสหายของเขาว่า ห้ามมิให้ผู้ใดเก็บอาหารและน้ำไว้กับตน เขาจะมีหินของมุซาไว้กับตัว ซึ่งต้องให้อูฐบรรทุกมาซึ่งจะมีน้ำพุพุ่งขึ้น มาจากหินก้อนนี้ ไม่ว่าที่ใดที่พวกเขาหยุดพักกางกระโจม หิวโหยและกระหาย ทุกคนที่ ย่อมจะได้รับความพึงพอใจจากน้ำนั้นซึ่ง จะเป็นแหล่งบริการน้ำ จนกระทั่งเขาและผู้คนทั้งหมดเข้ามาสู่ที่พำนัก ณ นะญัฟ อัชรอฟ ด้วยความโปรดปรานปรานี​ มีกล่าวไว้ในรายงานอีกรายงานหนึ่งว่า เมื่อมูซาเดินทางเข้า ไปเยี่ยมเยือนเมืองๆหนึ่งของชาวอิสราเอล ซึ่งเขาเห็นบรรดาคนรวย ต่างสวมเสื้อที่ทำจากผ้าปูพื้นหรือเสื่อ (ผ้ากระสอบ)กำลังยืนอยู่และเอา ฝุ่นดินเทใส่เข้าไปบนศีรษะของพวกเขาและร่ำไห้อย่างหนัก น้ำตาหลั่ง ไหลลงมาอาบแก้ม มูซาจึงรู้สึกส่งสารพวกเขา และตัวเขาเองก็ร้องไห้ เพราะเวทนาพวกเขาด้วย และจึงวิงวอนต่ออัลลอฮ์ดังว่า “โอพระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้สืบสายตระกูลมาจาก ยะฮ์กับ ผู้ซึ่งต่างมาพึ่งพิงยังพระองค์ประดุจดังนกพิราบที่มันหาที่ กำบังอยู่ในรังของมัน และกำลังร่ำไห้ราวกับแกะ และกำลังเห่าหอน ราวกับสุนัข” พระผู้อภิบาลทรงกล่าวตอบว่า “พวกเขาทำเช่นนี้ทำไม กัน บางทีในทัศนะของพวกเขาเห็นว่า ความกรุณาปรานีของข้า เหือด แห้งหมดแล้ว และทรัพย์สินของข้าหมดสิ้นลงแล้ว หรือไม่ก็ ข้า ไม่ได้เป็นผู้ทรงกรุณาปรานีอย่างที่สุด จงบอกพวกเขาเถิดว่า ข้าทรง รู้ถึงสิ่งที่อยู่ในหัวอกของพวกเขา ถึงแม้พวกเขาจะเรียกหาข้า แต่ หัวใจของพวกเขากลับมิได้ถวิลหาข้า แต่ไปมุ่งมองหาเอากับโลก”

มีกล่าวไว้ในอีกฮะดิษหนึ่งที่เป็นของจริงแท้ว่า วันหนึ่งมูซา กำลังกล่าวคำปราศรัยกับบรรดาสาวกของเขาและในบัดดลนั้นมีชาย คนหนึ่งลุกขึ้นยืนและฉีกเสื้อของเขา อัลลอฮ์จึงทรงวิวรณ์มายังมูซาว่า “จงขอให้เขาฉีกหัวใจของเขาซิ เพื่อจะได้เอาสิ่งใดก็ตามที่ข้าไม่ชอบ ออกมาเสีย มันจะมีประโยชน์อะไรกับการฉีกเสื้อผ้าของเขาเอง” วันหนึ่ง มูซาเดินผ่านสาวกของเขาไป ขณะที่เขากำลังทำการก้มกราบอยู่ เมื่อมูซาเดินทางกลับจากการทำธุระของเขาแล้ว เขายังเห็นชายผู้นี้ยังคง ก้มกราบอยู่ มูซาจึงบอกกับเขาว่า “หากมันอยู่ในอำนาจของฉันแล้ว ฉันก็จะทำให้ในสิ่งที่เจ้าขอ” อัลลอฮ์ทรงวิวรณ์มาว่า “มูซาเอ๋ย ถึง แม้ชายผู้นี้จะยังคงการกราบกรานของเขาเอาไว้ จนกระทั่งคอของเขา หัก ข้าก็จะไม่รับการวิงวอนขอพรของเขา นอกเสียว่าเขาจะเลิกราในสิ่ง ที่ข้าไม่ชอบและกลับมาสู่สิ่งที่ข้าพึงใจ

ภายหลังนบีฮารูนเสียเสียชีวิตแล้ว ณ แผ่นดินติยะฮ์ มีฮะดิษ บ้างบทที่เชื่อถือได้และเป็นของจริงแท้กล่าวไว้ว่า อิมาม ยะฮ์ฟัร อัศ ศอดิก กล่าวถึงรายละเอียดของการเสียชีวิตของนบีมูซา เมื่อเทพแห่ง ความตายถูกส่งลงมาเพื่อเก็บวิญญาณของท่าน จนมาถึงตอนหนึ่งที่ว่า

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *