เลขาธิการ OIC เยือนไทยกับโมเดลทางพหุวัฒนธรรม
เลขาธิการ OIC เยือนไทยกับโมเดลทางพหุวัฒนธรรม
ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน
คณะรัฐประศาสนศาสตร์ วทส.
อีกข่าวหนึ่งเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมถือว่าเป็นข่าวใหญ่ที่น่าสนใจ นั่นคือการเยือน ฯพณฯนายฮุซัยน์ บรอฮีม ฏอฮา (H.E. Mr. Hissein Brahim Taha) เลขาธิการองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation: OIC) ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับเลขาธิการ OIC ในโอกาสเดินทางเยือนไทยครั้งแรกอย่างเป็นทางการ โดยไทยได้เชิญเลขาธิการ OIC เยือนไทยเป็นทางการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับทราบข้อมูลและเข้าใจสถานการณ์ในไทยได้ดียิ่งขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงสิทธิเสรีภาพในการนับถือทุกศาสนาอย่างเท่าเทียม โดยมีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างผู้คนทุกเชื้อชาติและศาสนา โดยชาวไทยมุสลิมสามารถแสดงออก และปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเสรี และที่ผ่านมาชาวมุสลิมมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีชาวไทยมุสลิมหลายคนที่มีตำแหน่งระดับสูงในไทย
เลขาธิการ OIC รู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสเยือนไทยในครั้งนี้ ซึ่งรัฐบาลและคนไทยให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมกล่าวชื่นชมไทยที่ให้เสรีภาพปฏิบัติศาสนกิจของทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน โดยเลขาธิการ OIC ได้มีโอกาสไปเยือนชุมชนกุฎีจีน ซึ่งได้สำรวจพื้นที่และพบกับผู้คนจากทั้งศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม สะท้อนถึงการเป็นแบบอย่างในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม นอกจากนี้ OIC ยังชื่นชมนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทยในการสร้างสันติสุขและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการประชุมของ OIC ในหลายโอกาสได้ชื่นชมความพยายามของรัฐบาลไทย รวมถึงกล่าวถึงประเทศไทยในเชิงบวกและสร้างสรรค์
พหุวัฒนธรรมกับปรัชญาสันติภาพ
วันนี้กระแสพหุวัฒนธรรมได้รับการยกเป็นวาระของโลกสมัยปัจจุบัน เพื่อให้เป็นวาระที่ได้รับการส่งเสริมจากทุกๆ ประเทศ ทั้งในระดับอุดมคติและระดับการปฎิบัติ โดยมีความเชื่อว่าโลกควรเดินหน้าต่อไปสู่ความสงบสุขและการเกิดสันติภาพในการอยู่ร่วมกัน ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงมนุษย์ก็ยังรบราฆ่าฟันกันด้วยเรื่องการแบ่งแยกทางลัทธิศาสนา เชื้อชาติ สีผิว แนวคิดทางการเมือง ด้วยมุมมองที่เห็นความแตกต่างเป็นความแปลกแยกและความแตกต่างคือความถูกความผิด จนเกิดพฤติกรรมการใช้อำนาจการกดขี่กับอีกฝ่ายหนึ่ง มีการเอารัดเอาเปรียบกัน และยังเป็นภาวะของการไม่อดทนต่อกัน ไม่เปิดใจรับฟังต่อกัน เกิดทิฐิยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตนและฝ่ายตนว่าถูกฝ่ายเดียว คนเห็นไม่ตรงกันก็ถกเถียงกันบนประสบการณ์ส่วนตัว และปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี้กลับขัดแย้งในวงกว้างมากขึ้นถึงกับจัดให้เป็นวาระของโลกและวาระของประเทศที่ต้องรีบแก้ไข เพราะได้ส่งผลให้มนุษย์ส่วนใหญ่เกิดความหวาดระแวงว่าความสงบสุขจะหายไปจากประเทศ ภูมิภาคและโลก อีกทั้งสันติภาพในมโนคติถูกนำความขัดแย้งมาแทนที่อย่างน่าเป็นห่วงเลยทีเดียว
แต่เมื่อเราย้อนดูมนุษยชาติ ยังพบว่ามีบางประเทศที่เป็นต้นธารของอารยธรรม หรือบางประเทศที่มีอารยธรรมร่วมกันและบางประเทศมีอารยธรรมแตกต่างกัน จึงเป็นพลวัตรก่อให้เกิดวัฒนธรรมแตกต่างกันกับประเทศอื่น ทำให้เกิดการเน้นความต่าง เพื่อเสริมอัตลักษณ์ จนปรากฏเสมือนเป็นดาบสองคม คมหนึ่งหันออกนอกไว้ฟาดฟันคนอื่น อีกคมก็กลับมาบาดตนเอง คมดาบนั้นก็คือ การเห็นต่าง การกล่าวโทษกลุ่มอื่น ก่อให้เกิดข้อขัดแย้งและความแค้นเคืองที่ลุกลามเป็นความรุนแรงที่ไม่อาจพยากรณ์ผลตามได้ในทุกระดับ
ขณะเดียวกันประเทศมหาอำนาจ เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นๆ จึงเกิด ฝ่ายที่ไม่อาจทนได้ เพราะเห็นภาพความรุนแรงหรือความขัดแย้งระหว่างศาสนาและนิกายหรือระหว่างชาติพันธุ์ โดยเฉพาะในประเทศที่อยู่ระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพราะรัฐมุ่งไปที่การพัฒนาเชิงวัตถุ ในขณะที่ด้านสังคมและวัฒนธรรมอ่อนแอลง ขณะผู้ถูกแทรกแซงอีกฝ่ายหนึ่งก็เน้นย้ำว่าตนดีกว่า เหนือกว่า และผลักดันอารยธรรมตนเองให้เป็นอารยธรรมเดียวของโลกที่มีนโยบายจากประเทศมหาอำนาจเพื่อจัดระเบียบโลก จนเกิดเป็นขบวนการขวาจัดในประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งขยายตัวโดยการระดมผู้มีทรรศนะแบบชาตินิยม ลัทธิเชื้อชาตินิยมและเน้นความเป็นคนขาวบ้างและเหยียดคนผิวสีบ้าง และปัญหาของความขัดแย้งได้ก่อตัวจนนำไปสู่การปะทะกันของกลุ่มต่างๆ เพราะเพื่อที่จะนำเอาอารยธรรมหนึ่งเดียวกันทั่วโลกและพยายามจะลบล้างอารยธรรมอื่นๆให้เหลือเพียงอารยธรรม
จนกระทั้งวันนี้นักวิชาการ นักการศาสนาและนักสังคมวิทยาได้กลับมาทบทวนประเด็นวัฒนธรรมและความหลากหลายทางวัฒนธรรม จึงเกิดกระแสเรียกร้องให้ยอมรับหลักปรัชญาพหุวัฒนธรรมเพื่อความปลอดภัยและการเกิดสันติภาพที่แท้จริงของโลกใบนี้ โดยผูกโยงหลักคิดด้านพหุวัฒนธรรมกับหลักปรัชญา(Philosophy)และญาณวิทยา(Epistemology) จนตกผลึกได้เป็นหลักการที่สำคัญว่า มนุษย์มีความอารยธรรมและวัฒนธรรมที่แตกต่างและความต่างนั้นเป็นธรรมชาติของวิถีชีวิตมนุษย์ ดังนั้นการยอมรับความแตกต่างหลากหลายของวัฒนธรรม การยอมรับวัฒนธรรมอื่นจึงเท่ากับเป็นการยอมรับความมีอยู่จริงของอารยธรรมอื่นไปพร้อมกัน และกระแสพุหวัฒนธรรม ได้ถูกนำมาเป็นวาระของโลกและวาระของมนุษยชาติในศตวรรษนี้เพื่อให้มนุษย์ปรับตัว ร่วมมือ และแสวงหาท่าทีในการยอมรับความเป็นพหุวัฒนธรรมของแต่ละภาคส่วนให้สมดุลที่สุดและนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนและได้เผลเกินคาดของการนำทฤษฎีพหุวัฒนธรรมมาปฎิบัติในการสร้างสันติภาพของความต่างระหว่างมนุษยชาติ
พหุวัฒนธรรม (multiculture) เป็นรูปแบบแนวคิดของการอยู่รวมกลุ่มของคนในสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลายทางด้านความคิด ภาษา ศาสนา การแต่งกาย วิถีชีวิต โดยอยู่ร่วมกันอย่างผสมกลมกลืนกัน หรือ หากไม่ผสมกลืนกันก็อยู่ร่วมกันได้ ไม่ขัดแย้งกัน
พหุวัฒนธรรมขับเคลื่อนผ่านการไม่เชื่อว่ามีอารยธรรมสากล เพราะการเชื่อในอารยธรรมสากล จะทำให้ผู้ที่อยู่ในอารยธรรมนั้นทำตนเป็นตำรวจความคิดคอยจับตาดูคนอื่น ทั้งยังมุ่งกำจัดพวกที่คิดไม่เหมาะสมให้หมดสิ้นไป นำไปสู่การจำกัดพฤติกรรมและการแสดงออกเชิงวัฒนธรรมอื่นใดโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่สูญหายไปนั้นมีคุณค่าเพียงใด ความเป็นพหุวัฒนธรรมไม่เพียงส่งเสริมอารยธรรมต่างๆ ที่ปรากฎในปัจจุบัน แต่ยังสืบค้นร่องรอยแห่งกำเนิดอารยธรรมเพื่อแสดงความหลากหลายของพัฒนาการทางอารยธรรม และเป็นการยืนยันว่า ในเวลาหนึ่งเวลาใดเคยมีมนุษย์ที่มีปัญญาสร้างสมอารยธรรมขึ้นไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ และส่งต่อความรุ่งเรืองเหล่านี้ไว้ให้แก่มนุษยชาติตลอดมา
ปรัชญาว่าด้วยทฤษฎี”ความเป็นเอกภาพในพหุภาพ” เป็นหลักคิดผ่านกรอบแนวคิดที่ว่าให้กรอบแนวคิดว่าคุณค่าของความแตกต่างนั้นเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความรู้ของมวลมนุษยชาติเป็นที่สุด เฉกเช่นกับ ความเป็นจริงในธรรมชาติที่มิได้ประกอบไปด้วยสิ่งที่เหมือนกันหรือคล้อยตามกันไปทั้งหมด แต่กลับประกอบไปด้วยความแตกต่างหลากหลายของสรรพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่อิงอาศัยกันเป็นระบบองค์รวมที่ประสานสอดคล้องกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ เป็นเอกภาพในความหลากหลาย (unity in diversity) นั่นคือสรรพสิ่งไม่มุ่งเอาชนะกัน แต่เปลี่ยนมาเป็นส่งเสริมกัน ถือว่าความหลากหลายเป็นความสวยงามทางความคิด และเป็นปัจจัยแห่งการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ หลักการสำคัญคือ การแสวงหาจุดร่วม สงวนจุดต่าง เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดต่าง ทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นตามระบบเครือข่ายของตนเอง และก็ยอมรับฟังความคิดตามระบบเครือข่ายของผู้อื่น โดยไม่ได้มุ่งที่จะล้มล้างหรือเอาชนะความคิดเหล่านั้นว่าไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่มองหาจุดร่วมและแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์เพื่อความก้าวหน้า ความเจริญเพื่อสันติภาพของโลก
จากฯพณฯนายฮุชัย บรอฮิม ฎอฮา เลขาธิการองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) พร้อมด้วยคณะ เดินทางมาที่ วัดประยูรวงศาวาส ย่านกุฎีจีน กรุงเทพมหานคร เพื่อเยี่ยมชมการอยู่ร่วมกันของชุมชน 3 ศาสนา พุทธ คริสต์ และ อิสลาม ในรูปแบบ สังคม “พหุวัฒนธรรม” นับตั้งแต่เริ่มต้น กรุงรัตนโกสินทร์ โดยมี พระพรหมบัณฑิต วัดประยูรวงศาวาส , “อิหม่ามเฟาซัน” ดร.พัฒนา หลังปูเต๊ะ ตัวแทนชาวมุสลิมบางหลวง และ ดร.วิษณุ ธัญญอนันต์ บาทหลวง โบสถ์ซางตาครู้ส พร้อมมีชาวมุสลิมทั้งนิกายซุนนีและนิกายชีอะฮ์ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นทีเดียว และได้กล่าวถึงประวัติชุมชนสามศาสนาและการอยู่ร่วมกันระหว่างนิกายซุนนีและนิกายชีอะฮ์อย่างสันตินั้น ทำให้เลขาธิการ OIC ได้เอ่ยชื่นชม ชุมชนกุฎีจีน ที่สามารถอยู่ร่วมกันโดยสันติสุข แม้จะมีความเชื่อ ศาสนา และ ศาสดา ต่างกัน อย่างที่ชุมชนกุฏีจีนกระทำอยู่ แสดงให้เห็นถึง ความเข้าใจ เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือกัน ซึ่งปัจจัยสำคัญอันนั้น คือ แลกเปลี่ยนที่ดีต่อกัน เป็นไปตามบริบทของแต่ละศาสนา พร้อมยกตัวอย่างว่า ตนเป็น ชาวชาด ประเทศตกอยู่ในอาณานิคมของฝรั่งเศส เกิดภาวะสงคราม ฆ่าฟัน ล้มตายเป็นจำนวนมาก ก่อนจะมีความสงบอย่างในปัจจุบัน ต้องใช้เวลานาน ในการสร้างความสามัคคี สร้างความเข้าใจ โดยยึดหลัก สันติ และ สงบสุข ซึ่งเป็นแก่นแท้ของการอยู่ร่วมกัน อันเป็น “โมเดล” ที่เราได้แบ่งปันให้ สมาชิกกลุ่มประเทศ OIC ทั้ง 57 ประเทศ นำไปใช้ เป็นการแลกเปลี่ยนที่ดีต่อกัน
ถ้าย้อนดูการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขระหว่างสามศาสนาและระหว่างนิกายซุนนีและนิกายชีอะฮ์โดยยึดหลักความเป็นพหุวัฒนธรรมให้เกียรติต่อกัน ซึ่งในวันเสวนาเดียวกันนั้น พระพรหมบัณฑิต ได้ฉายสไลด์ ให้เห็นแผนที่ของ ชุมชุนกุฎีจีน ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี ที่อยู่ร่วมกันมากว่า 200 ปี ส่วนใหญ่จะเป็น ชุมชนมุสลิม บางหลวง และ ชาวไทยพุทธ ที่มีประมาณ 2 หมื่นคน ขณะที่ ชาวคริสต์ มีประมาณ 200 ครัวเรือน พร้อมเน้นย้ำ การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมแห่งนี้ ไม่เคยมีเรื่องราว ทะเลาะเบาะแว้ง ต่างอยู่ร่วมกันโดยสันติ สิ่งแรกผู้นำศาสนาที่มาพบปะแลกเปลี่ยนกันครั้งนี้เป็นนิติหมายที่ดี ที่สำคัญเราต้องสร้าง ความสัมพันธุ์ที่ดีในกลุ่มผู้นำศาสนาด้วยกันก่อน จากนั้นค่อยขยายต่อยอดไปยังสมาชิกที่เป็นลูกบ้าน มีเป้าหมายเดียวกันในการพัฒนา ด้วยการ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง”
ดังนั้นพหุวัฒนธรรมถือว่าเป็นปรัชญาสังคมที่ผ่านกรอบทฤษฎีทางภาวิทยาและญาณวิทยาว่าด้วยเรื่อง”หลักความเป็นเอกภาพในพหุภาพ”ของปรัชญาอิสลาม แล้วนำมาสังเคราะห์ทางสังคมเพื่อขับเคลื่อนสังคมสู่สันติภาพ โดยผ่านการไม่เชื่อว่าอารยธรรมต้องมีแค่อารยธรรมหรือมีแค่วัฒนธรรมเดียว และความเป็นพหุวัฒนธรรมไม่เพียงส่งเสริมอารยธรรมต่างๆ ที่ปรากฎในปัจจุบัน แต่ยังสืบค้นร่องรอยแห่งกำเนิดอารยธรรมเพื่อแสดงความหลากหลายของพัฒนาการทางอารยธรรมที่งดงามนั่นเอง.