jos55 instaslot88 Pusat Togel Online เเจ็ค ไนล์ บิดาของเทเลคอมมิวติ้ง - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

เเจ็ค ไนล์ บิดาของเทเลคอมมิวติ้ง

เเจ็ค ไนล์ บิดาของเทเลคอมมิวติ้ง

บริษัทอเมริกันได้โอบกอดการทำงานจากบ้านต่ออนาคตที่มองเห็นล่วง
หน้าได้ บางบริษัทได้ยอมให้บุคคลของพวกเขาทำนานที่ไหนก็ตามอย่าง
ไม่มีกำหนด เรามองเห็นสถานการณ์ผสมกันของทั้งการทำงานสำนักงาน และที่ไหนก็ตาม ถ้าคุณกำลังทำงานจากบ้านเป็นครั้งแรก คุณอาจจะถามตัวคุณเอวทำไมคุณไม่ทำมันเมื่อปีที่แล้ว ประโยชน์ของการทำงานที่ไหนก็ตามได้ถูกอภิปรายเกือบครึ่งศตวรรษ นักคิดหลายคนได้คาดคะเอนาคตในไม่ช้าตรงที่งานมาสู่บุคคล ไม่ใช่บุคคลไปสู่งาน เพื่อที่จะกำจัดปัญหา
การจราจร และลดการบริโภคพลังงาน
เมื่อ ค.ศ 1969 อลัน คิรอน นัพวิทยาศาสตร์ ณ สำนักงานสิทธิบัตรยูเอส
ได้เขียนภายในวอชิงตัน โพสท์ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสาร
ใหม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและงานอย่างไร เขาเรียกมันว่า โดมิเนทิคส์
การรวมกันของโดมิไซล์ – บ้าน คอนเนคชั่น – เชื่อมโยง และอิเล็คโทรนิค
แต่ถ้อยคำไม่เคยเข้าใจกัน
เราได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญไปสู่การทำงานที่ไหนก็ตาม เนื่องจากการแพร่โรคระบาด เมื่อบริษัทได้ปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมการ
ทำงานที่ไหนก็ตาม บุคคลจำนวนมากมีประสบการณ์ข้อดีของการทำงาน
จากบ้าน มันได้นำไปสู่การโต้เถียงเกี่ยวกับการทำงานจากบ้านหรือการ
ทำงานจากสำนักงานดีกว่ากัน ทั้งสองทางเลือกมีข้อดีและข้อเสียของมัน
การทำงานจากบ้านให้ความยืดหยุ่น และหลีกเลี่ยงการเดินทางที่นาน
การทำงานจากสำนักงานให้การสื่อสารที่ดี ความร่วมมือร่วมใจ และการ
เห็นหน้าตา
วันนี้ ถ้อยคำ “รีโมท เวิรค” – การทำงานที่ไหนก็ตาม – เรียกกันว่าเทเล
คอมมิวติ้ง เทเลเวิรค ดิจิตอล โนเเมดส์ ดับบลิวเอฟเอช ไฮบริด เวิรค และถ้อยคำอื่นด้วย ปรากฏอยู่ทุกที่
การทำงานที่ไหนก็ตาม หมายถึงงานอะไรก็ตามได้ถูกทำภายในพื้นที่
สำนักงานที่มอบให้เราเองของบริษัท ภายในสถานที่ที่บุคคลได้เลือก
การทำงานที่ไหนก็ตามสามารถทำภายในพื้นที่ทำงานร่วม ที่บ้าน ที่
ร้านกาแฟ หรือที่ร้านอาหาร ตราบเท่าที่งานของคุณสามารถทำได้
โดยไม่มีความต้องการเพื่อความร่วมมือร่วมใจเห็นหน้าตากัน
ถ้อยคำ รีโมท เวิรค กลายเป็นที่นิยมแพร่หลายระหว่างการแพร่ระบาด
โควิด-19 บังคับให้บริษัทและบุคคลส่วนใหญ่ทำงานจากบ้าน ก่อนหน้านี้
การปฏิบัติของการทำงานเต็มวันจากบ้าน หรือที่ไหนก็ตามใกล้บ้านมาก
กว่าสำนักงาน รู้จักกันอย่างกว้างขวางเป็น “เทเลคอมมิวติ้ง”
ถ้อยคำเทเลเวิรคได้ถูกใช้โดยทั่วไปเป็นคำพ้องกับเทเลคอมมิวติ้ง แต่
ผู้ให้กำเนิดเมื่อ ค.ศ 1973 ของทั้งสองถ้อยคำคือ แจ็ค ไนล์ วิศวกรนาซา ภายในหนังสือของเขา “Telecommunications-Transportation Tradoff”
เขาได้แนะนำถ้อยคำเทเลคอมมิวติ้งอธิบายการทำงานทางไกลเป็นข้อแก้ปัญหาต่อการจราจรแออัดและมลภาวะ ทศวรรษต่อมาบริษัทได้มองว่าเทเลเวิรคเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะลดต้นทุนของพื้นที่สำนักงาน
เเจ็ค ไนล์ มุ่งหมายที่จะให้ถ้อยคำเทเลคอมมิวติ้งหมายถึงการแทนที่ของเทคโนโลยีใดก็ตาม เพื่อการเดินทางและจากบ้าน ดังนั้นเขาได้อธิบายเทเลคอมมิวติ้งเป็นรูปแบบอย่างหนึ่งของเทเลเวิรค และแม้ว่าเรามีหลายถ้อยคำสร้างความสับสนทำนองเดียวกันตลอดหลายปี ความสับสนของ
มันไม่เพียงแค่ความหมายของภาษา มันเกี่ยวกับความหมายต่อกฏแรงงานและภาษีด้วย
ณ เวลานั้น แจ็ค ไนล์ กำลังทำงานห่างไกลบนระบบการสื่อสารของนาซาที่ซับซ้อน เขาได้บอกบุคคลอะไรที่เขาทำอยู่เป็น เทเลคอมมิวติ้ง เขาเชื่อว่่าวิถีทางที่สร้างสรรค์นี้ของการทำงานจะเป็นข้อแก้ปัญหาอย่างหนึ่งของการจราจร การแผ่บริเวณ การรักษาพลังงาน และวิถีชีวิตสมัยใหม่
ท่ามกลางวิกฤติน้ำมันโอเปค ค.ศ 1973 และราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น กลุ่ม
นักวิจัย มหาวิทยาลัยเซ้าเธิรน แคลิฟอร์เนีย นำโดยเเจ็ค ไนลส์ ดำเนินการศึกษาของอะไรที่แจ็ค ไนล์เรียกว่า เทเลคอมมิวติ้ง พวกเขาทำการศึกษาบริษัทประกันภัยด้วยบุคคลมากกว่า 2000 คน บุคคลแต่ละคนเดินทางเฉลี่ย 34.4กิโลเมตรต่อวัน ต้นทุนรวม ณ ราคา ค.ศ 1974 ประมาณ 2.73 ล้านเหรียญต่อปี
การศึกษาของพวกเขาได้ว่าสรุปเทคโนโลยีในไม่ช้าจะทำให้องค์การ
ประหยัดได้มากขึ้น ผ่านการกระจายอำนาจการใช้เทเลคอมมิวติ้ง แจ็ค
ไนลส์ ได้มาสู่ความเข้าใจว่าเทคโนโลยีไม่ได้เป็นปัจจัยจำกัดภายในการยอมรับของเทเลคอมมิวติ้ง
เทคโนโลยียังคงเป็นปัจจัยหนึ่ง มันเป็นเวลาที่โทรศัพท์และเครื่องแฟกซ์
เป็นอุปกรณ์โทรคมนาคมที่บุคคลส่วนใหญ่รู้จักเท่านั้น บ้านจำนวนน้อยมากมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การเข้าไปสู่อินเตอร์เนตเริ่มแรก ดังนั้น
พวกเขาได้มุ่งการออกแบบงานใหม่มากขึ้น การทำให้บุคคลเดินทางไป
สู่สำนักงานดาวเทียมท้องที่
แจ็ค ไนลส์ ได้แสดงความคิดของพวกเขาด้วยแผนผังตามรูป หลักการคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมเริ่มแรกของอินเตอร์เนต การสื่อสารโทรคมนาคมของบ้านกลายเป็นทำงานได้มากขึ้น เมื่อตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ระเบิดเมื่อปลาย ค.ศ 1970 การคิดค้น เช่นเเอปเปิลทูของเเอปเปิลได้ถูกปล่่อยออกสู่ตลาด เเจ็ค ไนลส์ ได้เสนอแนะเทเลคอมมิวติ้งเป็น “ทางเลือกต่่อการขนส่ง” ท่ามกลางราคาน้ำมันทะยานขึ้น เนื่องจากวิกฤติน้ำมันโอเปค
แจ็ค ไนล์ บิดาของเทเลคอมพิวติ้ง ได้วิจัยและพัฒนากรณีที่แสดงเทเลคอมมิวติ้งสามารถแก้ไขความแออัดของการจราจร และการรักษาทรัพยากรอย่างไร เขาได้เสนอเเนะงานของบุคคลต้องถูกออกแบบใหม่
ดังนั้นพวกเขาสามารถยังคงไม่ยุ่งกับใคร ณ สถานที่แต่ละเเห่ง หรือการ
สื่อสารและระบบรักษาข้อมูลล้ำหน้าเพียงพอต้องถูกพัฒนา ทำให้การ
ถ่ายทอดข้อมูลเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับบุคคลได้ร่วมกัน
ที่จุดศูนย์กลาง
เเจ็ค ไนล์ กล่าวว่าอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ของการทำงานที่ไหนห็ตาม ไม่ใช่การขาดของการเข้าสู่อินเตอร์เนต
ความเร็วสูง เทคโนโลยีที่ดีขึ้น หรือเครื่องมือที่รับภาระได้มากขึ้น มัน
เป็นการเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานขององค์การเเละการบริหาร แจ็ค ไนล์
ตัวเขาเองยอมรับว่าวัฒนธรรมองค์การเป็นอุปสรรคที่สำคัญ
เมื่อ ค.ศ 1979 ไอบีเอ็ม ได้ตัดสินใจทำการทดลองเทเลคอมมิวติ้ง พวกเขายอมให้บุคคลห้าคนทำงานจากบ้านผ่านเทอร์มินอลถูกติดตั้งภายในบ้านของบุคคล ไอบีเอ็ม ได้เริ่มต้นขยายการปฏิบัติ และเมื่อ ค.ศ 1983 บุคคลของไอบีเอ็มประมาณ 2000 คนทำงานที่ไหนก็ตาม ทำให้ไอบีเอ็มเป็นบริษัทเริ่มแรกที่สุดย้ายบุคคลจำนวนมากไปสู่เทเลคอมมิวติ้ง
บริษัทได้รับรู้ว่ามันสามารถประหยัดเงินหลายล้านเหรียญด้วยการขายอาคารของพวกเขา และใช้การทำงานทางไกล จำนวนของบุคคลทำงานที่ไหนก็ตามได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อ ค.ศ 2009 การเจริญเติบโตของกำลังงานทำงานที่ไหนก็ตามกลายเป็น 40% ของบุคคล 386,000 คนของพวกเขาภายใน 173 ประเทศไม่มีสำนักงานเลย พวกเขาทำงานที่บ้าน บริษัทได้ลดพื้นที่สำนักงานลง 78 ล้านตารางฟุต และสามารถประหยัดเงินได้ประมาณ 100 ล้านเหรียญภายในอเมริกาต่อปี
ไอบีเอ็ม ซีอีโอ อาร์วินด์ กฤษณะ ได้้เตือนบุคคลกลับมาสู่สำนักงาน หรือ
สูญเสียโอกาสอาชีพ เขากล่าวว่าการทำงานที่ไหนก็ตามทำร้ายโอกาส
อาชีพแก่บุคคล โดยเฉพาะต่อผู้บริหาร เขากล่าวว่าเขาไม่ได้ขอใครก็ตาม
กลับมาสำนักงานในขณะนี้ แต่เรากระตุ้นคุณกลับมา เราคาดหวังคุณกลับ
มา เราต้องการคุณกลับมา
ไอบีเอ็มได้มองเห็นธุรกิจไฮบริด คลาวด์ คอมพิวติ้งของบริษัทเจริญเติบโตระหว่างการแพร่โรคระบาด ได้ประโยชน์จากการลุกขึ้นของ
การทำงานที่ไหนก็ตาม ขอบคุณต่ออุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของข้อแก้ปัญหาทำงานที่ไหนก็ตาม แต่กระนั้นอาร์วิน กฤษณะ ไม่ได้กระตือรือร้นต่อ
แนวโน้มการทำงานนี้ เขาคิดว่าการทำงานที่ไหนก็ตามทำร้ายโอกาส
อาชีพของคุณ โดยเฉพาะถ้าคุณต้องการเป็นผู้นำ
แม้แต่เขาได้เตือนบุคคลว่าการทำงานที่ไหนก็ตามสามารถทำอันตราย
ต่ออาชีพของคุณได้ เขาไม่ได้บังคับบุคคลคนใดกลับมาสู่สำนักงาน แต่บุคคลยากลำบากที่จะถูกเลื่อนตำแหน่ง โดยเฉพาะเมื่อไปสู่บทบาทการ
บริหาร การเป็นผู้บริหารบุคคล เมื่อคุณอยู่ห่างไกล มันยากลำบากต่อคุณ
เพราะว่าถ้าคุณบริหารบุคคล คุณต้องสามารถมองเห็นพวกเขาเป็นครั้งคราว มันไม่ใช่ต้องการทุกนาที
อาร์วิน กฤษณะ ได้แสดงข้อเท็จจริงว่าบุคคลทำงานที่ไหนก็ตามไม่มีโอกาสเรียนรู้ทักษะโดยปรกติได้มาจากต่อตัวตัว เช่น การรับมือกับลูกค้าที่ยุ่งยาก อาชีพของพวกเขาเสียหายกับการขาดการมองเห็นได้ภายในสำนักงาน การบริหารบุคคลที่อยู่ไกลลำบาก เพราะว่าผู้นำต้องพบบุคคลของพวกเขวบางครั้ง มันไม่ได้เป็นต้องทุกวัน และควบคุมมากเกินไปไม่ดี แต่การสื่อสารเผชิญหน้าสำคัญ ต่อบทบาทบางอย่าง
การทำงานที่ไหนก็ตามเป็นวิถีทางของการทำอะไรที่ใช้ได้ แต่บุคคลที่ต้องการก้าวหน้าภายในอาชีพของพวกเขา ควรจะพิจารณาอย่างจริงจังทำงานส่วนใหญ่ของเวลาของพวกเขาจากพื้นที่สำนักงานของพวกเขา
ผมเชื่อว่าเราทำงานได้ดีขึ้น เมื่อเราอยู่ด้วยกันต่อหน้าต่อตา อาร์วิน
กฤษณะ ได้อธิบายนโยายกลับมาสำนักงานของบริษัทว่า เรากระตุ้นคุณ
เข้ามา เราคาดหวังคุณเข้ามา เราต้องการคุณเข้ามา สำนักงานสามวันต่อสัปดาห์ มันไม่ได้ต้องการทุกนาที
ตลอดสองทศวรรษของการมองเห็นการเจริญเติบโตของคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยี ปีเตอร์ ดรัคเกอร์ ผู้รู้ทางการบริหาร ได้กล่าวเมื่อ ค.ศ 1989
ว่าการทำงานจากสำนักงานล้าสมัยไปเเล้ว ในขณะนี้มันง่ายกว่า ถูกกว่า
และรวดเร็กว่าทำอะไรศตวรรษที่ 19 ไม่สามารถทำ ย้ายข้อมูล และงานสำนักงาน ไปตรงที่บุคคลอยู่ แต่่กระนั้นบริษัทจำนวนมากรวมทั้งบริษัทโทรคมนาคมสองจิตสองใจ การคาดคะเนของเขาไม่ไกลจากความเป็นจริงของสถานการณ์การทำงานของเราในขณะนี้
เราอาจจะเคยได้ยินถ้อยคำ “ดิจิตอล โนแมดส์” ผู้เร่ร่อนดิจิตอล บุคคลบางคนเดินทางและทำงานควบคู่กัน การทำงานของพวกเขาบนถนน เมื่อพวกเขาเดินทางระหว่างประเทศ ดิจิตอล โนเเมดส์ เป็นชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกบุคคลทำงานที่ไหนก็ตาม ดิจิตอล โนแมดส์เป็นการทำงานเสมือนจริง และมักจะทำงานจากสถานที่หลากหลาย แม้แต่พวกเขสทำงานอยู่ทั่วโลก ดิจิตอล โนเเมดส์ ดำรงอยู่อย่างวิถีชีวิตพเนจร ย้ายจากสถานที่หนึ่งไปสถานที่หนึ่ง และเชื่อมโยงด้วยดิจิตอล

เรารู้จักกันเป็น “ออราเคิล ออฟ โอมาฮา” วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซีอีโอของ
เบิรคไชร์ ฮาธาเวย์ มักจะนำหน้าเส้นโค้งอยู่เสมอ และการทำงานจาก
ที่ไหนก็ตามไม่มีการยกเว้น
แม้แต่ตอนเริ่มต้นภายใน ค.ศ 2020 เมื่อการแพร่โรคระบาดกำลังเริ่มต้น
ภายในอเมริกาเท่านั้น วอรเรน บัฟเฟตต์ สงสัยบุคคลจะกลับมาสำนักงาน และวิถีทางที่พวกเขาใช้ทำงานหรือไม่ ระหว่างการประชุมประจำปีของบริษัทถูกจัดนอกสำนักงานครั้งเเรก วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้กล่าวว่า
อุปทานและอุปสงค์ต่อพื้นที่สำนักงานอาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้บอกแก่วอลล์ สตรีท เจอร์นัล เมื่อ ค.ศ 2020 บุคคล
จำนวนมากได้เรียนรู้ว่าพวกเขาสามารถทำงานที่บ้านได้ หรือการมีวิธีการอื่นของการดำเนินธุรกิจของพวกเขา เปรียบเทียบกับที่พวกเขาได้คิดจากอะไรที่เขากำลังทำอยู่สองสามปีที่แล้ว เมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในโลก คุณต้องปรับตัวกับมัน
เขาตัวเขาเองได้รับเอาการทำงานจากบ้าน วอร์เรน บัฟเฟตต์ กล่าวอย่างตลกว่า แทนที่จะตัดสินใจผูกเนคไทเส้นไหนในขณะนี้ มันกลายเป็นเพียงแค่ถามว่าผมจะใส่สเวตเตอร์ตัวไหนเท่านั้น วอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่ยอมที่จะให้การแพร่ระบาดโคโรนาไวรัส เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับกิจวรรตประจำวันของเขามากเกินไปแต่นักลงทุนมหาเศรษฐี ได้ใช้ความระมัดระวังอยู่ เขากำลังทำงานจากบ้าน และดื่มโคคาโคลามากขึ้นเล็กน้อยท่ามกลางการจำกัดของโคโรนาไวรัส
กฏแน่นอนเพื่อที่จะสร้างและดำเนินการนโยบายทำงานที่ไหนก็ตามผสมกันอย่างไรอาจจะซับซ้อนมาก หรือมันอาจจะเรียบง่ายด้วยถ้อยคำเพียงสองคำ : ทำงานอย่างเหมาะสม
เจ็นเนอรัล มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์อเมริกัน ได้นำเสนอแผน”ทำงานอย่างเหมาะสม” ต่ออนาคตภายหลังการแพร่โรคระบาด บริษัทส่วนใหญ่กำลังใช้โมเดลของ “การผสมกันอย่างยืดหยุ่น” ของกูเกิ้ล การรวมกันของการทำงานภายในสำนักงานและที่ไหนก็ตาม แต่จีเอ็มได้นำเสนอวิึทางที่คล่องตัวและเรียบง่าย “ทำงานอย่างเหมาะสม”
แมรี่ บาร์รา ซีอีโอของเจ็นเนอรัล มอเตอร์ ได้กล่าวเกี่ยวกับมุมมองของ
เธอของสถานที่ทำงานภายหลังการแพร่โรคระบาด อนาคตของงานไม่ได้
เป็นวิถีทางที่เหมาะสมต่อบุุคคลทุกคน และค่านิยมและพฤติกรรมของ
เราจะนำทางเราภายในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมนี้ แมรี บาร์รา กล่าว
เพิ่มว่า ทำงานอย่างเหมาะสม หมายความว่าตรงที่งานยอมให้ บุคคลจะ
มีความยืดหนุ่นทำงานตรงที่พวกเขามีผลกระทบมากที่สุดต่อการบรรลุ
เป้าหมายของเรา
แนวคิดเบื้องหลังวิถีทางนี้คือ บุคคลของเราสามารถทำการตัดสินใจอย่างฉลาด โดยไม่มีแนวทางที่กำหนดให้จนเกินไป ความคิดที่อาจจะ
ทำให้ผู้นำจีเอ็มตำนาน เช่น อัลเฟรด สโลน และโรเจอร์ สมิธ กระพริบตา
ได้ แมรี บาร์รา รับรู้ว่าไม่ใช่บุคคลของจีเอ็มทุกคนจะสามารถใช้ข้อดี
ของการเปลี่ยนแปลงด้วยระดับเดียวกันของความยืดหยุ่น แต่กล่าวว่าบริษัทผูกพันที่จะสร้างความสมดุลที่ดีขึ้นต่อบุคคลทุกคน
ภายหลัง 24 เดือนของการยอมให้บุคคลทำงานที่ไหนก็ตาม เจ็นเนอรัล
มอเตอร์ ได้บอกสายงานสนับสนุนของบริษัท – บุคคลเงินเดือน กลับมาสู่สำนักงาน 3 วันต่อสัปดาห์ จีเอ็มได้บอกบุคคลว่าบริษัทได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการที่ไหนก็ตาม เพราะว่าการเเพร่โรคระบาดได้บรรเทาลง และกระตุ้นความร่วมมือร่วมใจมากขึ้น
บุคคลถูกกระทบจากการเปลี่ยนแปลงไม่พอใจ เพราะว่าการก้าวไป
ขัดแย้งต่อการแนะนำก่อนหน้านี้ของโมเดลการทำงานอย่างเหมาะสม
การให้ความยืหยุ่นแก่่บุคคลทำงานจากบ้าน ห้องทดลอง สำนักงาน
หรือที่ไหนก็ตามที่พวกเขาสามารถทำงานได้ดีที่สุดของพวกเขา จีเอ็ม
ได้กล่าวว่าโมเดลไม่ได้เป็นนโยบาย เมื่อมันได้ถูกดำเนินการ
ซีอีโอ เจ็นเนออรัล มอเตอร์ แมรี บาร์รา ได้ประกาศนโยบาย “ทำงานอย่างเหมาะสม” ทั่วทั้งบริษัท ตรงที่บุคคลถูกยอมให้ทำงานที่ไหนก็ตาม
ถ้างานของพวกเขาสามารถทำให้พวกเขาทำได้

เมื่อ ค.ศ 1980 หนังสือของอัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ “The Third Wave” ได้แนะนำแนวคิดของ กระท่อมอิเลคโทรนิค เป็นสถานที่ทำงานสมัยใหม่
ตรงที่เทคโนโลยีข้อมูลทำให้บุคคลมากขึ้นทำงานจากบ้าน หรือที่ไหนก็ตามที่พวกเขาต้องการ อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ เป็นนักทำนายอนาคต แต่ไม่ได้รับความสนใจที่เขาสมควรได้รับ
สี่สิบปีก่อนการแพร่โรคระบาด อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ มองเห็นอนาคตของ
การทำงานจากบ้าน เขาได้ประกาศว่าเศรษฐกิจสมัยใหม่ ในไม่ช้าจะ
เปลี่ยนแปลงจากสำนักงาน และไปสู่กระท่อมอิเลคโทรนิค
คลื่นลูกที่สามเป็นการปฏิรูปข้อมูล มันเป็นอะไรที่ปีเตอร์ ดรัคเกอร์ เรียกว่ายุคบุคคลมีความรู้ อะไรที่เเยกอัลวิน ทอฟฟเลอร์ออกมาคือ ด่วยความสามารถของเขาที่จะมองเห็นยุคอุตสาหกรรมที่สองต้องสิ้นสุดลง และทำไมยุคข้อมูลหลีกเลี่ยงไม่ได้ นานกว่า 10 ปีก่อนที่อินเตอร์้เนตได้ถูกคิดค้น
อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ ได้มองเห็นล่วงหน้าวันเมื่อบุคคลจะทำงานที่บ้าน
และเชื่อมโยงต่อสำนักงานของพวกเขาด้วยคอมพิวเตอร์ราคาไม่แพง
และเครื่องมือไฮเทคอื่น บ้านอิเลคโทรนิคเหล่านี้ ดังที่อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์
เรียกมัน ไม่ต้องสูญเสียชั่วโมงนับไม่ได้ต่อสัปดาห์เดินทางไปมาต่องาน
ของพวกเขาอีกเเล้ว และบุคคลทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพราะว่าพวกเขาจะไม่เผชิญการขัดจังหวะอยู่เสมอเมื่อพวกเขาทำงาน
ที่สำนักงาน
กระท่อมอิเลคโทรนิค ได้เริ่มต้นแสดงตัวไปรอบเมือง ทางด้านนอกมันดูเหมือนบ้านธรรมดา ทางข้างในบางสิ่งบางอย่างแตกต่างกัน ผู้อยู่อาศัย
ไม่ออกไปทำงานตอนเช้า ต่อสู้การจราจรที่จะเข้าร่วมกับเพื่อนร่วมงาน พวกเขาอยู่บ้าน และเข้าร่วมกับคอมพิมเตอร์ของพวกเขาเเทน การทำ
นายว่าวันหนึ่งเราหลายคนจะทำอย่างเดียวกัน มันเป็นผลลัพธ์ของการพัฒนาของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เล็กเพียงพอพอดีกับบ้าน ไม่แพงพอ
ที่จะรับภาระได้ และสามารถเพียงพอทำงานที่ซับซ้อนได้
นักพยากรณ์อนาคต อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ ได้สร้างถ้อยคำ “กระท่อมอิเลค
โทรนิค” ภายในหนังสือของเขา The Third Wave อะไรได้เกิดขึ้นเมื่อสำ
นักงานธรรมดาให้ทางแก่บ้านเป็นสถานที่สำคัญของการจ้างงาน การลุก
ขึ้นของบ้านสำนักงาน วันหนึ่งบ้านจะคล้ายกับกระท่อมอิเลคโทรนิค การให้ความสมดุลงาน-ชีวิตมากขึ้นแก่บุคคล และชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์
มากขึ้น
ทำไมเราต้องรับคบเพลิงของอัลวิน ทอฟฟเลอร์ อัลวิน ทอฟฟ์เล่อร์ถูกต้องการภายในการสะสมบนชั้นวางหนังสือมากมายของอิรอน มัสก์เสีย
แล้ว อิรอน มัสก์ ได้ส่งอีเมลไปยังบุคคลของเทสลา บอกพวกเขาว่า การทำงานที่ไหนก็ตามไม่เป็นที่ยอมรับอีกแล้ว

บุคคลร่วมมือร่วมใจและสร้างสรรค์มากขึ้น เมื่อพวกเขาอยู่เผชิญ
หน้ากัน มาริสสา เมเยอร์ พูด แม้แต่บริษัทเทคโนโลยีที่สร้างการทำ
งานจากบ้านและกระท่อมอิเลคโทรนิคยังคงยึดติดกับสำนักงานใหญ่
เมื่อ ค.ศ 2013 มาริสสา เมเยอร์ ซีอีโอคนใหม่ของยาฮู ไม่ยอมให้
บุคคลทำงานทำงานจากบ้าน บุคคลร่วมมือร่วมใจเเละสร้างสรรค์มาก
ขึ้น เมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันและเผชิญหน้ากัน
มาริสสา เมเยอร์ กล่าวว่าเธอไม่ได้พิจารณาตัวเธอเองเป็นสุภาพสตรี
และนั่นเธอเชื่อสตรีนิยมได้กลายเป็รถ้อยคำลบมากขึ้น เธอได้ตัดสินใจ
ยกเลิกเทเลคอมมิวติ้ง ณ ยาฮู ภายหลังการตรวจสอบกี่ครั้งที่บุคคลทำ
ทำงานที่ไหนก็ตามลอคอินเครือข่ายของบริษัท และพบว่ามันยังไม่เพียงพอ
มาริสสา เมเยอร์ อายุ 37 ปี กลับมาทำงานภายหลังการเกิดลูกคนเเรกของเธอสองสัปดาห์ เธอได้ถูกนำมาสู่ยาฮูจากกูเกิ้ล เพื่อการฟื้นฟูการ
ตกต่ำของบริษัท การตัดสินใจที่จะควบคุมการทำงานที่ไหนก็ตามได้พบกับกำแพงของการวิจารณ์จากผู้สนับสนุนสถานที่ทำงานยืดหยุ่นได้ เพื่อที่จะปรับปรุงความสมดุลงาน-ชีวิต ส่งเสริมแรงจูงใจ และรักษาผู้หญิงทำงานไว้
เราจะกลับไปสู่ยุคหินหรือ มาริสสา เมเยอร์ ซีอีโอของยาฮู ห้ามการทำงานจากที่บ้าน ไม่มีการทำงานที่บ้านต่อไปอีกแล้วต่อบุคคลของยาฮู ดังที่อัลวิน ทอฟฟเลอร์ ได้ทำให้วิสัยทัศน์ยูโทเปียของการทำงานจากบ้านของเขานิยมแพร่หลาย ด้วยหนังสือขายดีที่สุด 1980 ของเขา “Third Wave” ทำนายยุคข้อมูลในอนาคต อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ ได้จินตนาการสำนักงานบ้านเป็น“กระท่อมอิเล็คโทรนิค”
กาวติดกาวครอบครัวเข้าด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง ความคิดนี้หวนกลับมาต่ออเมริกายุคก่อนอุตสาหกรรม เมื่อครอบครัวของเกษตรกรและช่างฝีมือทำงานที่บ้าน ด้วยผู้หญิงเเละเด็กร่วมแรงร่วมใจ การเพิ่มความยึดเหนี่ยวของครอบครัวและชุมชน
มาริสสา เมเยอร์ ได้ทำให้บุคคลต้องประหลาดใจ ด้วยการประกาศว่าเราไม่มีทางเลือกทำงานที่ไหนก็ได้ต่อไปอีกแล้ว ณ ยาฮู เพื่อที่จะกลายเป็นสถานที่ทำงานดีที่สุด
การสื่อสารและความร่วมมือร่วมใจจะสำคัญ ดังนั้นเราต้องการทำงานเคียงข้างกัน นั่นคือทำไมมันสำคัญที่เราทุกคนอยู่ภายในสำนักงานของเรา การตัดสินใจที่ดีที่สุดและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งมาจากการอภิปรายบนระเบียง
และร้านอาหาร การเจอบุคคลหน้าใหม่ และการประชุมทันที ความรวดเร็วและคุณภาพมักจะเสียสละไป เมื่อเราทำงานที่บ้าน เราต้องมียาฮูหนึ่งเดียว
ณ การประชุมของนักวิชาชีพทรัพยากรมนุษย์ มาริสสาได้ เมเยอร์ กล่าวว่า บุคคลมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อพวกเขาอยู่คนเดียว แต่พวกเขาร่วมมือร่วมใจและคิดสร้างสรรค์มากขึ้นเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกัน ความคิดที่ดีที่สุดบางอย่างมาจากการดึงความคิดที่แตกต่างกันสองอย่างเข้าด้วยกัน เธอกล่าวว่า แอพภูมิอากาศใหม่ของยาฮูถูกสร้างโดยวิศวกรสองคนทำงานภายในสำนักงานด้วยกัน มาริสสา เมเยอร์ ได้ตัดสินใจห้ามภายหลังความคับอกคับใจหลายเดือนจากสถานที่จอดรถยนต์ว่าง ภายในยาฮู บุคคลบางคนตอบสนองต่อคำสั่งห้ามเป็นลบ แต่บุคคลส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมัน การรับรู้ว่าวัฒนธรรมของยาฮูต้องเปลี่ยนแปลง
แม้ว่าภายในซิลิคอน แวลลี่ย์ และโลกเทคโดยทั่วไป การมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่นเป็นผลประโยชน์ขั้นต่ำ บันทึกของมาริสสา เมเยอร์ ยืนยันว่า เพื่อการกลายเป็นสถานที่ดีที่สุดอย่างเเท้จริงของการทำงาน การสื่อสารและความร่วมมือร่วมใจจะสำคัญ ดังนั้นเราต้องการที่จะทำงานเคียงข้างกัน
มาริสสา เมเยอร์ ได้ห้ามการทำงานที่บ้าน บันทึกของบริษัทที่รั่วออกมาสู่หนังสือพิมพ์ประกาศว่าบุคคลของยาฮูไม่ถูกอนุญาติทำงานที่บ้านต่อไปอีกแล้ว การตัดสินใจดูเหมือนว่าอยู่บนรากฐานความต้องการเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพและวัฒนธรรมบริษัทที่เชื่อมโยงมากขึ้น บุคคลทำงานที่บ้านหลายร้อยคนได้ถูกขอที่จะรายงานต่อสำนักงาน ถ้าพวกเขาไม่สามารถหรือไม่ต้องการควรจะลาออก แม้แต่ความยืดหยุ่นเป็นครั้งคราวได้ถูกห้าม ต่อส่วนที่เหลืออยู่ของเราที่อยู่บ้านเป็นครั้งคราวเป็นพ่อหนุ่มเคเบิ้ล โปรดใช้ดุลยพินิจที่ดีที่สุดของเราภายในจิตวิญญานของความร่วมมือร่วมใจ
การเป็นยาฮูไม่เพียงแค่เกี่ยวกับงานวันต่อวัน มันเกี่ยกับการเกี่ยวพันระหว่างกันและประสบการณ์ที่เป็นไปได้เท่านั้นภายในสำนักงานของเรา
ยาฮูมีบุคคลจำนวนมากทำงานที่บ้านและไม่เคยมาสำนักงาน ข่าวลือบุคคล
บางคนของพวกเขาไม่มีประสิทธิภาพ พวกเขาไม่มีความสุขกับคำสั่งใหม่นี้ บุคคลบางคนเรียกว่ามันเป็นการปลดออกแบบลอบทำ การตอบสนองจากชุมชนน่าสนใจ บุคคลบางคนเรียกมาริสา เมเยอร์ เป็นผู้สนับสนุนที่ไม่ดีต่อ
ผู้หญิงและครอบครัว
ในไม่ช้าภายหลังจากที่ยักษ์ใหญ่อินเตอร์เน็ตยาฮูระงับความเป็นอิสระของบุคคลทำงานจากที่บ้าน บริษัทอินเดียค่อยแสดงความห่วงใยจนถึงบัดนี้เกี่ยวกับการสูญเสียประสิทธิภาพเหมือนเช่นความคล่องตัวทำให้เกิดขึ้น
“เวลาที่ยืดหยุ่นเป็นแนวคิดยูโทเปียที่ไม่ได้ช่วยเหลือใครเลย” เค รามคูมาร์ กรรมการบริหารของธนาคารไอซีไอซีไอ พูด
“อะไรก็ตามไม่เป็นธรรมชาติต่อตลาดและการค้าจะใช้ไม่ได้ ลูกค้าคือพระเจ้า
บริษัทอินเดียส่วนใหญ่ยกย่องการทำงานที่บ้านเป็นการปฏิบัติที่ดีที่สุดของการดึงดูดและรักษาบุคคลที่สามารถ ยากที่ใครก็ตามแสดงความห่วงใยของการสูญเสียประสิทธิภาพจากการปฏิบัตินี้ทำให้เกิดขึ้น”
การปฏิบัติงาน และชีวิต และสถานที่ทำงาน ได้ถูกประชดเป็นการนำเธอไปสู่การมองเห็นของประเทศยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอภายในสื่อทางสังคม เธอได้ถูกรู้จักกันอย่างกว้างขวางต่อการเลือกที่ผิดธรรมดาที่เธอทำตรงไหน และบุคคลของยาฮูและพ่อแม่ทำงานดำรงชีวิตของพวกเขาอย่างไร โดยสรุประหว่างสามปีของเธอเป็นซีอีโอ
บริษัทหนึ่งที่หน้าผาแก้วชัดเจนมากน่าจะเป็นยาฮู มาริสสา เมเยอร์ ก่อนหน้านี้เธอทำงานอยู่ที่กูเกิ้ล เข้าร่วมยาฮูเมื่อ ค.ศ 2012 ภายในการประมูลที่จะฟื้นฟูบริษัทไอคอน แต่กระนั้นทันทีจากการเข้าร่วม มาริสสา เมเยอร์ได้เผชิญความเป็นศัตรูจากผู้บริหาร นักวิเคราะห์คนหนึ่งไปไกลถึงการส่งการนำเสนอ 99 หน้าต่อคณะกรรมการบริษัทยาฮูต่อทำไมบริษัทควรจะปลดมาริสซา เมเยอร์จากซีอีโอ และนี่เป็นวันภายหลังจากเธอให้กำเนิดลูกฝาแฝด แต่กระนั้นหุ้นของยาฮูได้ตกลง 33% ระหว่างการดำรงตำแหน่งของเธอ
เมื่อยาฮู ได้แต่งตั้งมาริสสา เมเยอร์ เป็นซีอีโอคนใหม่ นักวิจารณ์หลายคน
ได้กล่าวว่ามันเป็นจุดพลิกผันภายในความก้าวหน้าของผู้หญิง ด้วยการแต่งตั้งของเธอ ยาฮูดูเหมือนว่าทำลายกฏทุกอย่าง มาริสสา เมเยอร์ เป็นวัยสาว เพศหญิง และตั้งท้อง สิ่งเดียวเท่านั้น การเเต่งตั้งมาริสสา เมเยอร์ ได้กระตุ้นการโต้เถียงไม่เคยจบสิ้นเกี่ยวกับเธอควรจะเป็นผู้พลิกเกมหรือไม่

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *