โอปราห์ วินฟรีย์ เบ้าหลอมของความเป็นผู้นำ
โอปราห์ วินฟรีย์ เบ้าหลอมของความเป็นผู้นำ
วอร์เรน เบนนิส และโรเบิรต โทมัส ภายใน “Crucible of Leadership” ของพวกเขา นำเสนอรากฐานที่การรักษาความเป็นผู้นำแบบแท้จริงไม่ได้มาจากหนังสือ การประชุมปฏิบัติการ หรือคณะบริหารธุรกิจ แต่มาจาก
บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
วอร์เรน เบนนิส กล่าวว่า เราเรียกประสบการณ์ที่สร้างผู้นำว่า “เบ้าหลอม” ต่อผู้นำที่เราสัมภาษณ์ ประสบการณ์เบ้าหลอมเป็นการทดสอบ จุดของการสะท้อนตัวเองที่ลึกบังคับให้พวกเขาสงสัยพวกเขาคือใคร และอะไรสำคัญต่อพวกเขา มันต้องการให้พิจารณาค่านิยมของพวกเขา สงสัยต่อสมมุติฐานของพวกเขา พวกเขาเกิดขึ้นจากเบ้าหลอมที่เข้มแข็งขึ้น และมั่นใจมากขึ้นของตัวพวกเขาเอง และความมุ่งหมายของพวกเขาเปลี่ยนแปลงภายในวิถีทางรากฐานบางอบ่าง
โดยความหมายเบ้าหลอมเป็นประสบการณ์ปฏิรูปบุคคลมาสู่ความรู้สึกใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงเอกลักษณ์ การวิจัยของพวกเขาเสนอแนะว่า
ตัวชี้ที่เชื่อถือได้ของความเป็นผู้นำแบบแท้จริงคือ ความสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์แม้ว่าลบที่สุด ผู้นำที่ผิดธรรมดาเป็นประเภทหนึ่งของ
นกฟินิกส์เกิดขึ้นจากขี้เถ้าของความทุกข์ยากเข้มแข็งขึ้นและผูกพันมาก
ขึ้นกว่าเดิม พวกเขาชี้ว่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่มีทักษะที่สำคัญที่สุดคือ ความสามารถปรับตัว ความสามารถชนะความทุกข์ยาก และปรากฏเข้มแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อน
วอร์เรน เบนนิส ได้อภิปรายเบ้าหลอมภายใน “On Becoming a Leader”
“เบ้าหลอมเป็นองค์ประกอบที่สำคัญภายในกระบวนการของการกลายเป็นผู้นำ” ผู้นำเรียนรู้ที่จะนำจากประสบการณ์อย่างไร การฝึกอบรมที่เป็นทางการสามารถช่วย แต่มันไม่ทดแทนการเรียนรู้จากและนอกการทำงานได้ การพัฒนาความเป็นผู้นำบนพื้นฐานของประสบการณ์ บริษัทได้พลาดโอกาสที่จะพัฒนาผู้นำด้วยการรวมชีวิตและประสบการณ์งานของพวกเขา
โดยเฉพาะประสบการณ์เหล่านี้เรียกว่าเบ้าหลอม
ภายในบทความฮาร์วาร์ด บิสซิเนส รีวิว 2002 ของพวกเขา Crucible of Leadership วอร์เรน เบนนิส และโรเบิรต โทมัส ได้ระบุ “ประสบการณ์เบ้าหลอม” เป็นประสบการณ์ที่รุนเเรงหรือชอกช้าที่มีโอกาสปฏิรูปผู้นำดีขึ้นหรือเลวลง
จากมุมมองของวอร์เรน เบนนิส และโรเบิรต โทมัส เรามีช่วงเวลาสำคัญที่บุคคลเผชิญภายในชีวิต บทเรียนความเป็นผู้นำที่มาจากการเดินทางเอาชนะความทุกข์ยาก เมื่อเผชิญกับสิ่งที่ผู้เขียนเรียกเบ้าหลอม
บุคคลส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเบ้าหลอมคืออะไร มันเป็นภาชนะใส่ของเหลวที่ถูกใช้โดยนักเคมี ต้นกำเนิดภายในยุคกลาง มันถูกใช้โดยนักเล่นเเร่แปรธาตุพยายามทำให้โลหะเป็นทอง
ภายในการศึกษาผู้นำบรรลุความสำเร็จมากที่สุดของโลกของพวกเขา
วอร์เรน เบนนิส และโรเบิรต โทมัส ได้มองเห็นความสม่ำเสมอที่สำคัญ
พวกเขาทุกคน สามารถชี้ประสบการณ์ที่รุนแรง มักจะชอกช้ำ ไม่ได้วางแผนอยู่เสมอ ปฏิรูปพวกเขาและกลายเป็นแหล่งที่มาของความสามารถความผู้นำที่เฉพาะของพวกเขา ผู้เขียนได้อธิบายประสบการณ์เปลี่ยนแปลงชีวิตเหล่านี้เป็น “เบ้าหลอม”
ตามเรื่องราวชาวบ้านของกรีกโบราณ ฟินิกซ์จะเป็นนกอมตะ ตายแล้ว
กลับมาเกิดใหม่ นกฟินักซ์จะได้ชีวิตใหม่ด้วยการเผาใหม้ตัวเองจนกลายเป็นเถ้าถ่าน และจากกองเถ้าถ่าน นกฟินิกซ์ จะถือกำเนิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ชีวิตนกฟีนิกซ์ ภายในตำนานกรีก ฟินิกซ์เป็นนกตำนานมีชีวิตอยู่นาน 500 ปี ก่อนที่ได้รับชีวิตใหม่ด้วยการเกิดขึ้นจากเถ้าถ่านของบรรพบุรุษของมัน เมื่อนกฟินิกซ์สิ้นอายุขัย ตัวมันจะลุกเป็นไฟ ต่อจากนั้นมันจะฟื้นคืนชีพจากกองขี้เถ้าเป็นนกตัวใหม่ ฟินิกซ์เป็นนกอมตะเชื่อมโยงกับตำนานกรีก เชื่อมโยงกับดวงอาทิตย์ นกฟินิกซ์เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ การต่ออายุ ความเป็นอมตะ การรักษา และไฟนิรันดร
นกฟินิกซ์น่าจะมีต้นกำเนิดภายในอียิปจ์โบราณหรือตะวันออกกลาง แต่กระนั้นวัฒนธรรมอื่น รวมทั้งกรีก จีน ฮินดู และอื่น มีเรื่องราวที่คล้ายกันเกี่ยวกับนกที่เหนือธรรมชาติ
ผู้นำต้องเผชิญความท้าทายแตกต่างกันภายในการเดินทางพวกเขาไปสู่
ความสำเร็จ ความท้าทายอย่างหนึ่งคืออะไรที่วอร์เรน เบนนิส เรียกว่า
เบ้าหลอม ประสบการณ์เปลี่ยนแปลงที่ผลักดันบุคคลสงสัยเอกลักษณ์
ของพวกเขา และอะไรสำคัญอย่างแท้จริง
บิลล์ จอร์จ ได้กล่าวว่า เบ้าหลอมเป็นช่วงเวลาลำบากอย่างแท้จริงภายใน
ชีวิตของคุณ เมื่อคุณได้เผชิญกับคุณคือใคร อะไรที่สำคัญอย่างแท้จริง
ภายในชีวิตของคุณ แต่คุณได้ค้นพบมันเท่านั้น เมื่อคุณเผชิญกับคำถาม
การดำรงอยู่ เช่น ผมเป็นใคร ความมุ่งหมายชีวิตของผมคืิออะไร ทำไม
ผมอยู่ที่นี่
เรามีตัวอย่างโลกที่เป็นจริงของการรับเอาเบ้าหลอมของความเป็นผู้นำ
เรื่องราวของโอปราห์ วินฟรีย์ เป็นตัวอย่่างที่มีพลังของเบ้าหลอมความ
เป็นผู้นำ เธอได้เผชิญความท้าทายหลายอย่างภายในความเป็นเด็กของ
เธอ และยืนหยัดที่จะกลายเป็นผู้นำสื่อ และผู้ช่วยเหลือเมนุษย์ที่บรรลุ
ความสำเร็จ
เธอถูกเลี้ยงดูภายในความยากจน ถูกข่มขืนทางเพศและท้องตอนอายุ
14 ปี ความเป็นเด็กของโอปราห์ วินฟีย์ อ่านแล้วเป็นเรื่องที่น่ากลัว การมาจากภูมิหลังดังกล่าวนี้ เธอได้ต่อสู้กลับด้วยความมุ่งมั่น การเรียนรู้ที่จะอ่านตอนอายุสามปี และการค้นพบว่าเรามีโลกข้างนอกที่ดีกว่าอะไรที่เธอมีชีวิตอยู่มาก
ช่วงเวลาเบ้าหลอมของเธอเกิดขึ้นเมื่อเธอถูกว่าจ้างเป็นผู้ประกาศข่าวหญิงผิวดำคนแรกภายในเเนชวิลล์ เทนเนสซี่ ตรงที่เธอได้เผชิญการเลือกปฏิบัติและการรังเกียจผิว แต่กระนั้นประสบการณ์ได้ช่วยสร้างมุมมองของเธอ และทำให้เธอเข้าใจมีความเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น
โอปราห์ วินฟรีย์ กระหายเพื่อการเปลี่ยนแปลง เธอศึกษาการสื่อสาร และ
ยกระดับความรู้ของเธอภายในวรรณกรรม การปรับปรุงตัวเอง การมีสติ
และจิตวิญญาน นำมาสู่การแสดงของเธอ ความรู้สึกของความสดใสและ
ความแปลกใหม่ เธอพยายามใช้โทรทัศน์ทำให้เกิดผลกระทบทางบวก
ภายในบุคคลเท่านั้น และเปลี่ยนแปลงโลก
โอปราห์ วิฟรีย์ มักจะเห็นอกเห็นใจและร้องให้กับแขกของเธอบนทอลค
โชว์ของเธอ เมื่อเธอทำให้พวกเขาสารภาพความลับต่อโทรทัศน์ของประ
เทศ การนำไปสู่ความนิยมแพร่หลายอย่างมากของการเเสดงของเธอ โชว์
ของเธอค่อยกระจายครอบคลุมหัวข้อที่แตกต่างกัน เช่น โรคหัวใจ จิตวิญ
ญาน การนั่งสมาธิ และภูมิรัฐศาสตร์ เธอได้เชิญบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น
ไมเคิล แจ็คสัน และบารัค โอบามาเป็นแขกบนโชว์ของเธอ
เมื่อ ค.ศ 1993 โอปรา วินฟรีย์ ได้นั่งกับไมเคิล แจ็คสันต่อการสัมภาษณ์
ด้วยผู้ชมมากที่สุดภายในประว้ติศาสตร์ของโทรทัศน์ ไมเคิล แจ็คสัน ไม่เคยให้การสัมภาษณ์มานาน 14 ปี เหตุการณ์ชีวิตที่คาดไม่ถึง การดึงผู้ชมทั่วโลกมากกว่า 90 ล้านคน มันเป็นการสัมภาษณ์น่าตื่นเต้นมากที่สุดที่ฉันเคยทำโอปราห์ วินฟรีย์ กล่าว
ระหว่างการสัมภาษณ์ ไมเคิล แจ็คสัน ได้ปฏิเสธแทบลอยด์หลายฉบับ
ข่าวลือชีวิตส่วนบุคคลของเขาคือ เขาได้ซื้อกระดูกของมนุษย์ช้าง หรือ
นอนภายในอุโมงค์ออกซิเจนความดันสูง เมื่อโอปราห์ วินฟรีย์ถามเกี่ยวกับ
รูปร่างที่เปลี่ยนแปลงของเขา และข่าวลือว่าเขาได้ทำการศัลยกรรม
พลาสติค ไมเคิล แจ็คสัน กล่าวว่าเขาได้รับการทำจมูกเท่านั้น ด้วยข่าว
ลือว่าเขามีการฟอกขาวผิวของเขาให้มันสว่างขึ้น ไมเคิล แจ็คสัน ได้เปิดเผยว่าเขาได้ตรวจโรคด่างขาวเท่านั้น เขายังคงภูมืใจที่จะเป็นชาวอเมริกัน
ผิวดำ ผมภูมิใจกับเชื้อชาติของผม ผมภูมิใจกับผมคือใคร
เมื่อหวนรำลึกถึงเกี่ยวกับความเป็นเด็กของเขา ไมเคิล แจ็คสัน ได้กล่าวว่า เขามักจะพลาดออกไปเที่ยวกับบุคคลอื่น เนื่องจากความผูกพันของเขา
ต่ออาชีพนักร้อง เขาได้กล่าวหาพ่อของเขาจากการเหยียดหยามเขาทาง
ความคิดและร่างกาย
โอปราห์ วินฟรีย์ ได้ยกย่องผู้ท้่าชิงประธานาธิบดีอเมริกัน ฮิลลารี คลินตัน เป็นการทำลายเพดานแก้วแก่ผู้หญิงทุกคนตลอดกาล โอปราห์ วินฟรีย์ ได้ทำลายเพดานแก้วภายในอุตสาหกรรมสื่อ ด้วยการกลายเป็นพิธิกรทอลคโชว์ผู้หญิงผิวดำคนแรก และเธอไดกลายเป็นมหาเศรษฐีผิวดำผู้หญิงคนเเรกด้วย
เพดานแก้วเป็นการพูดเปรียบเทียบต่ออุปสรรคที่มองไม่เห็นและขัดขวาง
ผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยจากความก้าวหน้าขึ้นไปตามบันไดบริษัท ไปสู่ตำเเหน่งผู้บริหาร การพูดเปรียบเทียบสามารถถูกประยุกต์ใช้โดยทั่วไป
ต่อความลำบากเผชิญโดยผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยไปเลยพ้นจุดบางจุด
ภายในอาชีพใดก็ตาม ไม่มองถึงการศึกษาหรือความสำเร็จก่อนหน้านี้ ในขณะที่มันถูกใช้เริ่มแรกอธิบายประสบการณ์ของผู้หญิงภายในสถานที่ทำงาน
เพดานแก้วเป็นถ้อยคำสร้างโดบมารีลิน โลเดน ที่ปรึกษาการบริหารเมื่อ ค.ศ 1978 เธอยืนยันว่าเพดานเเก้วเป็นอุปสรรคทางวัฒนธรรม ไม่ใช่ส่วนบุคคลที่หยุดผู้หญิงจากความก้าวหน้าภายในอาชีพของพวกเธอ
ฮิลลารี่ คลินตัน ได้ยอมรับความพ่ายแพ้ของเธอภายในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาด้วยคำปราศัยที่มีพลังแก่ผู้สนับสุนของเธอภายในนิวยอร์ค การยอมรับว่าแม้ว่าเธอไม่สามารถที่จะทำให้เพดานแก้วสูงที่สุดและยากที่สุดแตกได้ วันหนึ่งในอนาคตบุคคลบางคนจะทำได้ ครั้งหนึ่ง
ฮิลลารี่ คลินตันได้เกือบจะชนะการเสนอชื่อประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต การรวบรวมเสียงได้ 18 ล้านเสียงก่อนที่จะพ่ายแพ้แก่บารัค โอบามา ณ การปราศัยการยอมรับของเธอ ฮิลลารี คลินตัน ได้อ้างถึงการต่อสู้อย่างยาวนานที่จะชนะอุปสรรคต่อผู้หญิง แม้ว่าไม่สามารถจะให้เพดานแก้วสูงสุดและยากที่สุดแตกได้ครั้งนี้
ขอบคุณทุกคน มันได้สร้าง 18 รอยร้าวกับเพดาน แก้ว และแสงเพดานแก้วได้สาดส่องอย่างไม่เคยมีมาก่อน การสร้างความหวังแก่เรา และความมั่นใจว่าเส้นทางจะง่ายขึ้นครั้งหน้าต่อมาฮิลลารี่ คลินตัน ได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานาธิบดี และหวังที่จะทำให้เพดานแก้วแตกในที่สุดและกลายเป็นประธานาธิบดีของอเมริกา และในขณะที่การเลือกตั้งได้สร้างเกือบ 57 รอยร้าวกับเพดานแก้ว มันยังคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เพดานแก้วแตก และโดนัลด์ป์ ทรัม ได้ถูกเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของอเมริกา
เพดานแก้ว เป็นคำอุปมาได้ถูกใช้ที่จะอธิบายการจำกัดและอุปสรรคที่เผชิญโดยผู้หญิงเพื่อการเลื่อนตำแหน่ง มันเป็นแก้วเพราะว่า เพราะว่าโดยปรกติมันไม่เป็นอุปสรรคที่มองเห็น และผู้หญิงอาจจะไม่รับรู้การมีอยู่ของมัน จนกระทั่งเธอได้ชนกับอุปสรรค ด้วยคำพูดอีกอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นการปฏิบัติที่มองไม่เห็นของการลำเอียงต่อผู้หญิง ถ้อยคำ “เพดานแก้ว” เป็นที่นิยมแพร่หลายเมื่อ ค.ศ 1980 ถ้อยคำได้ถูกใช้ภายในหนังสือ ค.ศ 1984 The Working Women Report โดย เกย์ ไบรอันท์ ต่อมามันได้ถูกใช้ภายในบทความ วอลล์ สตรีท เจอรนัลด์ ค.ศ 1986 เกี่ยวกับอุปสรรคต่อผู้หญิงภายในตำแหน่งบริษัทที่สูงขึ้น
มาริลีน โลเด็น อายุ 31 ปี เป็นผู้บริหารระดับกลาง ณ นิวยอร์ค เทเลโฟน โค. เมื่อเธอถูกขอที่จะเข้าร่วมนิทรรศการของผู้หญิงภายในนิวยอร์ค ค.ศ 1978 ภายหลังจากรองประธานเพศหญิงคนเดียวเท่านั้นไม่สามารถเข้าร่วมได้ ผู้หญิงอื่นสี่คนได้เข้าร่วมกับมาริลีน โลเดนบนคณะอภิปรายเรื่อง “Mirror Mirror on the Wall” ชื่อจะเหมาะสมดี เพราะว่าการอภิปรายมุ่งที่ผู้หญิง และภาพพจน์ตัวเองของพวกเธอได้ถูกตำหนิจากการขาดความก้าวหน้าภายในกำลังงาน
มารีลีน โลเด็นได้สร้างถ้อยคำ “เพดานแก้ว” สี่สิบกว่าปีีที่ผ่านมา เมื่อวันสตรีสากล เธอได้พูดเกี่ยวกับความทะเยอทะยานของผู้หญิง และความคืบหน้าเล็กน้อยได้เกิดขึ้นกับความเสมอภาคทางเพศอย่างไร และทำไมองค์การต้องพิจารณาวัฒนธรรมและความอคติที่จะเปลี่ยนแปลง เธอเป็นผู้หญิงเบื้องหลังที่ได้ใช้ถ้อยคำได้ดีที่สุดคนหนึ่ง แต่มาริลีน โลเด็น ไม่เคยคาดหวังถ้อยคำเพดานแก้ว ที่ได้กลายเป็นแพร่หลายอย่างมากเมื่อเธอได้ใช้มันครั้งแรกเมื่อ ค.ศ 1978
ผู้หญิงดูเหมือนไม่สามารถที่จะปีนบันไดอาชีพ เลยพ้นจากขั้นต่ำสุดของการบริหารระดับกลางได้ แต่ฉันยืนยันว่า “เพดานแก้วมองไม่เห็น” – อุปสรรคต่อความก้าวหน้าเป็นวัฒนธรรมไม่ใช่ส่วนบุคคล – กำลังทำลายความทะเยอทะยานทางอาชีพและโอกาสของผู้หญิง
ระหว่าง ค.ศ 1970 และไปสู่ ค.ศ 1980 เราไม่มีกฏหมายภายในอเมริกาที่จะป้องกันผู้หญิงจากการคุกคามทางเพศหรือทำร้ายของสถานที่ทำงาน เราไม่มีการรับรู้ภายในองค์การเกี่ยวกับความร้ายแรงของปัญหาและความสนใจเป็นศูนย์ภายในการได้ยินเกี่ยวกับหรือแก้ปัญหามัน
จงคิดถึงช่วงเวลาท้าทายที่สุดภายในชีวิตของเรา บางทีมันเป็นบุคคลที่เรารักจากไป หรือเรามีวิกฤติสุขภาพส่วนบุคคล หรือเราสูญเสียงานของเรา หรือครอบครัวของเรา ไม่ว่ามันเป็นอะไร มันเป็นเวลาวิกฤติของเรา แต่มันเป็นเวลาที่ทำให้เราสะท้อนลึกเกี่ยวกับเราคือใคร และอะไรสำคัญอย่างแท้จรืงภายในชีวิตของเราด้วย
ช่วงเวลาความเจ็บปวดขับเคลื่อนบุคคลไปสู่วกเวียนลงไปข้างล่าง เมื่อพวกเขาไม่ยอมรับจัดการหรือยอมรับเบ้าหลอมของพวกเขา มันทำให้ความทรงจำเจ็บปวดมากขึ้น ภายหลังการอ่าน “True North” เปรโด อัลกอร์ตา บุคคลหนึ่งของผู้รอดชีวิตจากเครื่องบินตก 1972 ที่มีชื่อเสียงบน
ภูเขาแอนดีส ได้ส่งจดหมายของเขามาถึงผม
เขาเขียนว่าในขณะที่บินกับเพื่อน 45 คน เครื่องบินของเขาตกลงบน
แอนดีส ภายหลัง 72 วันยากที่จะอยู่รอดชีวิตบนภูเขาโดยไม่มีอาหารหรือเสื้อผ้า ในที่สุดสิบหกคนของพวกเราได้ถูกช่วยชีวิต นาน 35 ปี เปรโด อัลกอร์ตา ไม่เคยกล่าวถึงการเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์นี้แก่ใครเลยนอกจากภรรยาของเขา ทั้งที่ทั่วโลกได้แพร่หลายเหตุการณ์เหล่านี้ ตอนที่เป็นนักศึกษาเอ็มบีเอ ณ สแตนฟอร์ด เขาไม่เคยเล่าแก่เพื่อนร่วมชั้นของเขาเลย
ผู้รอดชีวิตสิบหกคนต้องกินเนื้อสดเพื่อนของพวกเขารักษาไว้ภายในหิมะ
ผมคิดว่าความเศร้าสลดยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผมรู้สึกคือเมื่อผมต้องกินร่างกายที่เสียชีวิต ผมถามตัวผมเอง มันคุ้มค่าต้องทำสิ่งนี้หรือไม่ มันเป็นเพราะว่าเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่และรักษาชีวิต
เปโดร อัลกอร์ตา อายุ 21 ปี เมื่อเครื่องบินที่เขาเดินทางกับเพื่อนจากทีมรักบี้อุรุกวัย โอลด์ คริสต์มาส ตกบนภูเขาเเอนดีส ระหว่างเที่ยวบินไปชิลี การตกของเครื่องบินบนแอนดีสได้สร้างชื่อเสียงโดยหนังสือขายดีที่สุด
และภาพยนตร์ฮอลลีวูด “Alive” และกลายเป็นที่รู้จักกันเป็น “ความมหัศจรรย์ของแอนดีส”
เปรโด อัลกอร์ตาต้องรับมือที่จะอยู่รอดชีวิตเคียงข้างกับผู้รอดชีวิตคนอื่น 71 วันภายในลำตัวของเครื่องบินที่พังแล้ว ทีมเผชิญกับความเศร้าสลดที่สุดและยากที่สุดของปัญหาทางศีลธรรม เมื่อพวกเขาถูกบังคับให้กินเนื้อเพื่อนที่ตายของพวกเขา เพื่อที่จะอยู่รอดชีวิต สภาวะน่ากลัวมากกว่าที่เราสามารถจินตนาการ การมีชีวิตอยู่ ณ 4,000 เมตรโดยไม่มีอาหาร เหตุผลข้อเดียวเท่านั้นทำไมเรามีชีวิตอยู่วันนี้ เพราะว่าเรามีเป้าหมายของการกลับบ้าน บุคคลที่รักของเราให้ชีวิตเรา ผมกลับมาชีวิตภายหลังผมได้ตายไปแล้ว
พาร์ราโด กล่าว แม่และน้องสาวของเขาตายบนแอนดีส ประสบการณ์ของเขาทำให้เขากลัว แต่ทำให้เขาเข้มแข็งขึ้น และนำเขาไปสู่การชื่นชมที่เพิ่งค้นพบเพื่อชีวิต
ณ ประมานเวลานี้ เราตกลงมาภายในแอนดีส วันนี้อยู่ที่นี่เพื่อที่จะชนะเกม
เปรโด อัลกอร์ตา อายุ 61 ผู้รอดชีวิต พูด เมื่อเขาได้ตระเตรียมบนสนามกีฬาล้อมรอบด้วยภูเขา แข่งขันกับผู้เล่นชิลีก่อนหน้านี้ พวกเขาได้พบกัน
เมื่อ ค.ศ 2012 ครบรอบปีที่ 40 ของเครื่องบินตก
ภายหลังการอ่าน True North เปรโด อัลกอร์ตา ได้เริ่มต้นประมวลเหตุการณ์นี้ได้สร้างชีวิตของเขาอย่างไร เมื่อเขามาเยี่ยมห้องเรียนคณะบริหารธุรกิจของผม เขาได้ร่วมวิถีทางอย่างหนึ่งที่จะจัดการกับเบ้าหลอมคือ การใช้เหตุการณ์ปฏิรูปบาดเเผลของเราให้เป็นไข่มุก เขาได้ใช้คำพูดเปรียบเทียบหอยมุก เมื่อทรายขูดหอยมุก มันเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติที่จะปกปิดความระคายเคืองป้องกันตัวมันเองด้วยฝาหอยเเม่ของมุก ในที่
สุดไข่มุกตัวมันเอง เราได้ทำให้แผลของเราเป็นไข่มุกหรือไม่
Cr : รศ สมยศ นาวีการ