ซาอุดีอาระเบีย – อิหร่าน : จากความขัดแย้งสู่ความสัมพันธ์อีกครั้ง (6)
ซาอุดีอาระเบีย – อิหร่าน : จากความขัดแย้งสู่ความสัมพันธ์อีกครั้ง (6)
จรัญ มะลูลีม
จีนในฐานะผู้สร้างสันติ
จีนกำลังแสดงพลังนี้ออกมาในฐานะอำนาจรัฐที่น่าสนใจและสามารถทำให้เกิดสันติภาพ รวมทั้งการกลับสู่สภาพปกติ และการลดระดับความรุนแรง จีนได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามีความสามารถ มีความอุตสาหะ ความเฉลียวฉลาด และความว่องไว ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ดีที่สุดที่สหรัฐทำได้คือทำให้ประเทศทั้งมวลมีอาวุธท่วมท้นเพื่อให้สงครามยูเครนดำเนินต่อไป “ตราบเท่าที่ มันต้องใช้เวลา” และลากโลกเข้าสู่สงครามทางเลือกตลอดกาลอีกครั้ง
ตอนนี้จีนดูเหมือนเป็นผู้สร้างสันติภาพที่เก่งกาจ ในขณะที่สหรัฐดูจะเป็นเหมือนผู้กระหายสงคราม ซึ่งสามารถย้อนดูประวัติศาสตร์ของสหรัฐได้มาตั้งแต่เริ่มต้นของการนองเลือดทั้งในเวียดนามอิรักและอัฟกานิสถาน
สีจิ้นผิงถูกนำเสนอในวาทกรรมอย่างเป็นทางการของสหรัฐว่าเป็นปัญหา ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกควรหวาดกลัว อย่างไรก็ตาม หลังจากการนำเอาสันติภาพ อิหร่าน-ซาอุดีอาระเบียล่าสุดนี้มาให้ก็มีคนสงสัยว่าประเทศใดกันแน่ที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาที่แท้จริงในตะวันออกกลางหรือที่อื่นๆ
สุนทรพจน์ล่าสุดของผู้นำจีนและเอกสารเชิงกลยุทธ์ของจีนทำให้เห็นชัดเจนว่าการดำเนินการทางการทูตนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความพยายามอย่างต่อเนื่องในการเปลี่ยนจีนให้กลายเป็นผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างประเทศรายใหญ่ในอนาคต
เริ่มต้นที่ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงแอฟริกา – และตอนนี้อาจขยายไปสู่ยุโรปและสงครามรัสเซีย – ยูเครน ด้วย การเยือนสามวันล่าสุดของประธานาธิบดีจีนเพื่อพบกับ Vladimir Putin นั้นเราจะพบว่าสีจิ้นผิงได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาถึงประธานาธิบดีรัสเซียว่า “ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลา 100 ปีแล้ว และเรากำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไปด้วยกัน” จีนอยู่ในภาวะนี้ในระยะยาว และสีได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขากระตือรือร้นที่จะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งอื่น ๆ ต่อไป
มุคตาดาร์ ข่าน ตั้งคำถามต่อไปว่านับจากนี้ไปซาอุดีอาระเบียจะหลีกหนีการควบคุมของสหรัฐและจะสามารถผ่าน “การทำให้ประเทศหลุดพ้นจากอิทธิพลของสหรัฐได้หรือไม่ และการหลุดพ้นนี้จะขยายไปถึงภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา (Mena) ทั้งหมดได้หรือไม่
เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในโลก ยกเว้นสหภาพยุโรป ในที่สุดรัฐเหล่านี้ก็แยกตัวเองออกจากการควบคุมและการครอบงำของสหรัฐ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธวิธีที่โดดเด่นกับระบอบเผด็จการเช่นจีน จริง ๆ แล้ว ตะวันออกกลางได้เข้าสู่ยุคที่เลิกเป็นอเมริกันเป็นส่วนใหญ่แล้วอันเป็นยุคของพันธมิตรลูกผสมที่ค่อนข้างจะเต็มไปด้วยความผันผวน
ปัจจุบันทั้งซาอุดีอาระเบียและอิหร่านต่างก็ต้องการเข้าร่วมกลุ่ม BRICS (ที่ประกอบไปด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีนและแอฟริกาใต้) ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียสมัครเป็นสมาชิกในองค์การความร่วมมือเซียงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization) ซึ่งอิหร่านเป็นรัฐผู้สังเกตการณ์อยู่แล้ว
แต่คำตอบสำหรับคำถามถึงการเลิกเป็นอเมริกัน อาจได้รับคำตอบในเร็วๆนี้ โดยการทดสอบขั้นสุดท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งซาอุดีอาระเบียและผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นต่อจากนี้ไปที่จะซื้อขายน้ำมันกันในสกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์หรือไม่ เมื่อนั้นจึงจะเกิดการปฏิวัติที่แท้จริง ตามสิ่งที่ผู้สังเกตการณ์เรียกว่า “ตัวเลือกที่เป็นเหมือนปรมณู” ที่เป็นการต่อต้านสหรัฐ
และไม่น่าแปลกใจที่ซาอุดีอาระเบียซึ่งผลักดันโดยจีนเองและประเทศอื่นๆ ที่ต้องการเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น กำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่
เนื่องจากการใช้เงินดอลลาร์ของตลาดพลังงานโลกเป็นแกนหลักถือเป็นการครอบงำเศรษฐกิจโลกของสหรัฐมาโดยตลอด และการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ใช้สกุลเงินดอลลาร์นี้น่าจะเป็นเหมือนระเบิดปรมณูอย่างแท้จริง
และตอนนี้อาจเป็นเพียงเรื่องของเวลา อาจจะไม่กี่ปี มุคตาดาร์ ข่านให้ความเห็น
ในขณะที่โรเบิร์ต เมสัน (Robert Mason) ในบทความเรื่องจับตาความสัมพันธ์สหรัฐ-ซาอุดีอาระเบียในปี 2023 : สิ่งระคายเคือง ข้อจำกัด และโอกาสได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศซึ่งมีเนื้อหาพอที่จะกล่าวโดยสรุปได้ว่า
เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับซาอุดีอาระเบียถูกกำหนดอย่างหลวมๆ โดยเฉพาะในเรื่องน้ำมันเพื่อความมั่นคง หลักฐานนี้เกิดขึ้นจากความสอดคล้องกันของผลประโยชน์หลังจากการประกาศถอนตัวของอังกฤษจาก “สุเอซตะวันออก”
ในปี 1968 การปฏิวัติอิหร่านและการรุกรานอัฟกานิสถานของสหภาพโซเวียตในปี 1979 ถูกนำไปทดสอบความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายหลายครั้งรวมถึงในช่วง วิกฤตการณ์น้ำมัน ในปี 1973
ในปี 2019 สหรัฐล้มเหลวในการเข้าแทรกแซงโดยตรงเพื่อตอบโต้การโจมตีโรงกลั่นน้ำมันซาอุดีอาระเบียโดยอิหร่านที่อับกออีกและคูรออีส (Abqaiq และ Khurais) และในวันนี้ Opec+ ก็ลดการผลิตลงตลอดช่วงสงครามในยูเครน
ในขณะที่ความไม่ลงรอยกันระหว่างสหรัฐกับซาอุดีอาระเบียเกี่ยวกับอิสราเอลมีมาหลายปี และเหตุการณ์ 9/11 ก็ส่งผลกระทบต่อมุมมองของสหรัฐต่อราชอาณาจักรแห่งนี้ นอกจากนั้นยังมีความตึงเครียดอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเกิดจากการแทรกแซงของสหรัฐในภูมิภาคนี้ซึ่งสะสมมาตลอดช่วงทศวรรษที่ 2000
ตัวอย่างเช่น ซาอุดีอาระเบียต่อต้านการรุกรานอิรักที่นำโดยสหรัฐในปี 2003 ซึ่งสร้างความสั่นคลอนอย่างมากต่อความมั่นคงของซาอุดีอาระเบียและภูมิภาค และการที่รัฐบาลโอบามาสนับสนุนการถอดถอนประธานาธิบดีฮุสนี มุบาร็อกแห่งอียิปต์ระหว่างการลุกฮือของชาวอาหรับ ก็บ่อนทำลายพันธมิตรอันยาวนานของซาอุดีอาระเบียและประเทศอื่นๆ ในอ่าวเปอร์เซียหรืออ่าวอาหรับ
ตามคำกล่าวของเบ็น โรดส์ (Ben Rhodes) อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีบารัค โอบามา
มุฮัมมัด บิน ซัลมาน (MBS) ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ปกครองโดยพฤตินัยของซาอุดีอาระเบียให้การยอมรับการเจรจาทางการทูตของรัฐบาลโอบามากับอิหร่านเพื่อนำไปสู่แผนปฏิบัติการร่วมที่ครอบคลุม ( JCPOA) ในปี 2015
ที่ผ่านมาซาอุดีอาระเบียประสบความล้มเหลวในการกระตุ้นให้สหรัฐตอบโต้ความขัดแย้งในซีเรียอันเป็นพื้นที่ที่อิหร่านสามารถขยายอิทธิพลและความร่วมมือกับกลุ่มฮิสบุลลอฮ์ได้
ครั้งหนึ่ง Joe Biden ซึ่งอยู่ในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2019 ระบุว่าซาอุดีอาระเบียเป็นพวก “นอกคอก”
เมื่อได้รับการเลือกตั้ง Biden ได้มาเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ในปี 2022 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยยุติสงครามในเยเมน จัดการกับปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่าน และขอความช่วยเหลือจากรัฐในกลุ่มความร่วมมือแห่งอ่าว (Gulf Cooperation Council) หรือ GCC ให้เพิ่มการผลิตน้ำมันให้มากขึ้นเพื่อลดราคาน้ำมัน แต่ความคืบหน้าเป็นไปอย่างช้าๆ จนดูเหมือนว่าไม่มีอยู่จริง
ในส่วนของซาอุดีอาระเบียนั้นพบว่าซาอุดีอาระเบียได้พยายามแก้ไขความสัมพันธ์กับสหรัฐ ทั้งนี้ซาอุดีอาระเบียได้ยุติการปิดล้อมกาตาร์เพื่อเป็น “ของขวัญ” แก่คณะผู้บริหารของ Biden ที่เข้ามาใหม่ และแสดงท่าทีเชิงบวกมากขึ้นในทางการทูตกับอิหร่าน ซึ่งอาจจะเป็นการป้องกันความเสี่ยง
สงครามในเยเมน และการมีลำดับความสำคัญทางนโยบายอื่น ๆ ที่ต้องต่อสู้ เช่น โควิด-19 หลังจากซาอุดีอาระเบียและรัสเซียลงนามในข้อตกลงความร่วมมือทางทหารที่ไม่เปิดเผยในเดือนสิงหาคม ปี 2021 เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ loyd Austen ได้ยกเลิกการเยือนราชอาณาจักรของเขาในเดือนถัดมา
ด้วยเหตุนี้มุฮัมมัด บิน ซัลมาน จึงให้การต้อนรับ Leonid Slutsky ประธานคณะกรรมการกิจการระหว่างประเทศแห่ง สภาดูมาของรัสเซีย ที่มาเยือนเมืองนีโอม (NEOM) เมืองแห่งอนาคตของซาอุดีอาระเบียซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง เมื่อถูกถามในเดือนมีนาคม ปี 2022 ว่าประธานาธิบดี Biden เข้าใจเขาผิดหรือไม่ มุฮัมมัด บิน ซัลมานตอบว่า “เฉยๆ ข้าพเจ้าไม่ได้ให้ความสนใจ” และเสริมว่ามันขึ้นอยู่กับ Biden หากว่าเขาคิดถึงผลประโยชน์ของสหรัฐ”
ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียและจีนต่างมีประสบการณ์ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับสหรัฐอันเนื่องมาจากการสนับสนุนสงครามในยูเครนและประเด็นสิทธิมนุษยชน สิ่งนี้แสดงให้เห็นโดยแผนการล่าสุดสำหรับซาอุดีอาระเบียที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดจีน-อาหรับระหว่างการเยือนของสี จิ้นผิง เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม