jos55 instaslot88 Pusat Togel Online หนังสือธุรกิจคลาสสิคปนเปื้อนด้วยผลกระทบการเหมารวม - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

หนังสือธุรกิจคลาสสิคปนเปื้อนด้วยผลกระทบการเหมารวม

หนังสือธุรกิจคลาสสิคปนเปื้อนด้วยผลกระทบการเหมารวม

เราโชคดีที่นักวิจัยหลายคน – ไม่ว่า ณ คณะบริหารธุรกิจ สถาบันวิจัย
หรือบริษัทที่ปรึกษา – ระมัดระวังที่จะมั่นใจว่สข้อมูลถูกต้อง แต่การศึกษาที่มีอิทธพลมากบางอย่างไม่นานมานี้ได้ใช้ข้อมูลคุณภาพน่าสงสัย การ
นำไปสู่การค้นพบที่มีข้อสงสัย และความเข้าใจผิดโดยทั่วไปของผลการ
ดำเนินงานของบริษัท การใช้ข้อมูลที่ปนเปื้อนเป็นข้อผิดพลาดที่สำคัญ
ภายในการศึกษาที่นิยมแพร่หลายหลายอย่าง
“Halo Effect” เป็นหนังสือโดยนักวิชาการธุรกิจ ฟิล โรเซนซ์ไวจ์ ได้วิจารณ์แนวโน้มขอวิทยาศาสตร์เทียมภายในการอธิบายผลการดำเนินงานของธุรกิจ หนังสือได้ถูกพิมพ์โดยฟรี เพรสส เมื่อ ค.ศ 2007 ตลอด
จนวารสารธุรกิจ หนังสือพิมพ์ หนังสือธุรกิจ และอย่างอื่น ได้แสดงข้อผิดพลาด “ความหลงเชื่อ” เก้าอย่างที่ทำลายตำรับเพื่อความสำเร็จของ
ธุรกิจเหล่านี้
เมื่อพิจารณาข้อผิดพลาดเหล่านี้ ฟิล โรเซนซ์ไวจ์ ยืนยันว่าหนังสือธุรกิจจำนวนมากเป็นอะไรที่ริชาร์ด ฟรีย์แมนเรียกว่า “วิทยาศาสตร์ลัทธิบูชาสินค้า” หนังสือธุรกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่บนระดับของการเล่าเรื่องราว แม้ว่าการอ้างความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ของมัน หนังสือได้เสนอเรื่องราวที่สบายใจและพอใจที่บุคคลได้พบแรงบันดาลใจ แต่อยู่บนพื้นฐานของการคิดที่น่าสงสัยและข้อบกพรองโดยพื้นฐาน การคิดเกี่ยวกับธุรกิจและความสำเร็จภายในหนังสือที่นิยมเเพร่หลายถูกสร้างโดยความหลงเชื่อหลายอย่าง ความหลงเชื่อยิ่งใหญ่ที่สุดคืออะไร ฟิล โรเซนซ์ไวจ์ เรียกว่า “The Halo Effect”
บริษัทไม่สามารถบรรลุผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าและยั่งยืนเพียงแค่
การเดินตามกลุ่มขั้นตอนที่เฉพาะ การเเสวงหาของผู้บริหารบริษัททุกคน
คือ การค้นพบจุดสำคัญต่อการดำเนินงานที่เหนือกว่า การบรรลุความเป็น
ผู้นำตลาดยากพอสมควรอยู่แล้ว แต่การยู่บนสุด – ภายใต้การเเข่งขันที่
รุนแรง การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และการเปลี่ยน
แปลงของพลังโลก ยิ่งลำบากมากขึ้น
ในขณะเดียวกันผู้บริหารอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมาก การสร้างการเจริญเติบโตที่ทำกำไร และผลตอบแทนที่สูงแก่ผู้ถือหุ้นของพวกเขา ไม่น่าประหลาดใจที่พวกเขาต้องค้นหาวิถีทางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะบรรลุข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน แต่ผู้บริหารหลายคนด้วยความมุ่งหวังที่ดีได้มองดูอะไรที่ผิดต่อความเข้าใจที่จะให้ความสามารถแข่งขัน บ่อยครั้งพวกเขาอ่านหนังสือและบทความธุรกิจ สัญญาเส้นทางไว้วางใจได้ไปสู่ผลการดำเนินที่สูง


*1982 – In Search of Excellence : Lessons from Anerica’s Best-Run
Companies
หนังสือธุรกิจขายดีที่สุดเล่มแรกคืิอ In Search ofโดยโทมัส ปีเตอร์ และโรเบิรต วอรเตอร์แมน บุคคลทั้งสองทำงานอยู่ ณ แมคคินซี่ย์ พวกเขาได้ถามคำถามพื้นฐาน ทำไมบริษัทบางบริษัทบรรลุความสำเร็จมากกว่าบริษัทอื่น พวกเขาได้เริ่มต้นระบุบริษัทอเมริกันดีเด่น 43 บริษัท ต่อไป
พวกเขาได้รวบรวมข้อมูลจากแหล่งเอกสาร สื่อธุรกิจ และสัมภาษณ์ บนพื้นฐานข้อมูลเหล่านี้ โทม้ส ปีเตอร์ได้ระบุการปฏิบัติเเปดอย่างที่ปรากฏโดยทั่วไปภายในบริษัทดีเด่น
แต่กระนั้นเมื่อเรามองดูแหล่งของข้อมูล เราพบว่าพวกเขาใช้แหล่งที่มา
น่าจะประนีประนอมด้วยผลกระทบการเหมารวม มันไม่น่าประหลาดใจ
ที่บริษัทดีเด่นถูกคิดเป็นการบริหารบุคคลที่ดี และการรับฟังลูกค้า หรือ
การมีค่านิยมที่เข้มแข็ง หรือวัฒนธรรมบริษัทที่ดี นั่นคืออะไรได้ถูกกล่าวเกี่ยวกับซิสโก และเอบีบี และไม่นานมานี้เกี่ยวกับเดลล์ มันเป็นอะไรที่เราได้คาดหวังอย่างมากต่อผลกระทบการเหมารวม
ต่อมาหลายปีภายหลังการศึกษาได้สิ้นสุดลง ผลการดำเนินงาน ณ บริษัทดีเด่น 43 บริษัทส่วนใหญ่ได้ตกต่ำลงอย่างมาก ตลอดห้าปีต่อมาหนึ่งในสามของบริษัทดีเด่นเท่านั้นเจริญเติบโตรวดเร็วกว่าตลาดหุ้นโดยส่วนรวม
ถ้าเรามองที่การทำกำไร ไม่ใช่ผลการดำเนินงานตลาดหุ้น สถิติยิ่งเลวร้าย
ด้วย 35 บริษัทที่ข้อมูลหามาได้ เรามี 3 บริษัทเท่านั้นปรับปรุงการทำกำไร ในขณะที่ 30 บริษัทตกต่ำลง ไม่ว่าเรามองที่การวัดตลาดหรือการวัดกำไร
ของผลการดำเนินงาน แบบแผนเป็นอย่างเดียวกัน บริษัทส่วนใหญ่เหล่านี้
ถูกเลือกเฉพาะต่อผลการดำเนินงานที่สูง ไม่สามารถรักษาความสามารถแข่งขันของพวกเขา
In Search of Excellence เป็นหนังสือธุรกิจที่นิยมแพร่หลายอย่างมาก ส่วนหนึ่งเพราะว่ามันบันดาลใจผู้บริหารอเมริกัน ณ เวลาเมื่อพวกเขารู้สึกโอบล้อมโดยคู่เเข่งขันญี่ปุ่น ผู้บริหารรู้สึกทำให้มั่นใจขึ้น ด้วยการเดินตามหลักการแปดข้อเหล่านี้ พวกเขาได้ถูกบอก พวกเขาสามารถนำบริษัืทของพวกเขาไปสู่ผลการดำเนินงานที่สูง แต่เมื่อเรามองดูแหล่งที่มาของข้อมูล
เราพบว่าโทมัส ปีเตอร์ใช้แหล่งที่มาน่าจะประนีประนอมด้วยผลกระทบการเหมารวม
มันไม่น่าประหลาดใจที่บริษัทดีเด่นถูกพิจารณามีการบริหารบุคคลที่ดี และการรับฟังลูกค้า หรือการมีค่านิยมเข้มแข็ง หรือวัฒนธรรมบริษัทที่ดี มันเป็นอะไรที่ถูกกล่าวเกี่ยวกับซิสโกและเอบีบี และไม่นานมานี้เกี่ยวกับ
เดลล์ มันเป็นอะไรอย่างมากที่เราคาดหวังต่อผลกระทบการเหมารวม


*1994 – Built to Last : Successful Habits of Visionary Companies
จิม คอลลินส์ และเจอร์รี่ พอร์รา มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ดำเนินการศึกษาที่มีอิทธิพลมากที่สุดของผลการดำเนินงานของบริษัทเมื่อ ค.ศ 1990 แต่แทนการมุ่งบริษัทที่บรรลุความสำเร็จของวันนี้ – หลายบริษัทในไม่ช้าได้ตกต่ำลง เหมือนกับบริษัทที่ศึกษาโดยโทมัส ปีเตอร์ พวกเขาได้มุ่งความสนใจไปสู่บริษัทที่บรรลุความสำเร็จในระยะยาว พวกเขาหวังที่จะค้นพบหลักการพื้นฐานไร้กาลเวลา และเเบบแผนที่อาจจะประยุกต์ใช้ได้ข้ามยุคสมัย
จิมส คอลลินส และเจอรรี่ื พอร์รา เริ่มต้นด้วยการระบุบริษัทแนวหน้า 200 บริษัืทจากขอบเขตที่กว้างของอุตสาหกรรม แล้วทำให้ตัวอย่างของพวกเขาเเคบลง ด้วยการรวมบริษัทที่ยั่งยืนและบรรลุความสำเร็จมากที่สุด “ดีที่สุดของดีที่สุด”
จิม คอลลินส์ และเจอร์รี พอร์ราอ้างว่าได้ค้นพบ หลักการไร้เวลาต่อไปนี้
*การมีอุดมการณ์แกนนำทางการตัดสินใจและพฤติกรรมของบริษัท
*การสร้างวัฒนธรรมบริษัทที่เข้มแข็ง
*การกำหนดเป้าหมายที่กล้าหาญบันดาลใจบุคคล
*การพัฒนาบุคคลเเละการเลื่อนตำแหน่งพวกเขาจากภายใน
*การสร้างจิตวิญญานของการทดลองและการรับความเสี่ยงภัย
*การขับเคลื่อนเพื่อความเป็นเลิศ
ในขณะที่ Built to Last มองที่บริษัทบรรลุความสำเร็จหลายปี การศึกษาต่อไปของจิม คอลลินส์ถามคำถามแตกต่างกัน ทำไมบริษัท
ธรรมดาบางบริษัทสร้างการเปลี่ยนแปลงไปสู่ผลการดำเนินงานที่
ดีเด่น แต่บริษัทอื่นไม่


*2001 – Good to Great : Why Some Companies Make the Leap…..
and Others Don’t
จิม คอลลินส์ และนักวิจัยของเขาอีกครั้งหนึ่งได้เริ่มต้นด้วยตัวอย่าง
จำนวนมาก พวกเขาพิจารณาทุกบริษัทบนฟอร์จูน 500 ระหว่าง ค.ศ 1965
และ ค.ศ 1995 การเริ่มต้นด้วย 1435 บริษัทโดยพิจารณาผลการดำเนินงานของพวกเขาตลอด 40 ปี พวกเขาได้ระบุ 11 บริษัทได้ใช้ 15 ปี ณ หรือต่ำกว่า ระดับโดยทั่วไปของตลาดหุ้น แล้วได้ดำเนินผ่านการปฏิรูป การมองเห็นพวกเขาได้ผลตอบแทนอย่างน้อยที่สุดสามเท่าของระดับตลาดหุ้นตลอด 15 ปีต่อมา ต่อไปจิม คอลลินส์ และทีมของเขาได้ระบุบริษัท
เปรียบเทียบอยู่ภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่ไม่ได้กระโดดจากดีไปสู่ยิ่งใหญ่
บนพื้นฐานข้อมูลเหล่านี้ จิม คอลลินส์ ได้พบว่าผลการดำเนินงานเฉลี่ย
15 ปี ได้ถูกอธิบายเป็นระยะการสร้าง การแสดงคุณลักษณะโดยความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งแต่ถ่อมตัว – รู้จักกันเป็นความเป็นผู้นำระดับห้า การได้บุคคลที่เหมาะสมขึ้นรถโดยสาร – ใครก่อน แล้วอะไร และการเผชิญ
ความเป็นจริงโดยตรงและกล้าหาญ – การเผชิญความเป็นจริงที่โหดร้าย
15 ปีของการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วถูกเรียกว่าระยะความก้าวหน้า
และแสดงคุณลักษณะโดยการมุ่ง – แนวคิดของเม่น การดำเนินการ – วัฒนธรรมของระเบียบวินัย และการใช้เทคโนโลยีเสริมแรงความก้าวหน้า
– ตัวเร่งเทคโนโลยี
ผลลัพธ์ได้ถูกนำเสนอเป็นการวิจัยที่ถูกต้อง การดำเนินการอย่างรอบ
ครอบตลอดหลายปีของการทำงานหนัก จิม คอลลินส์ ยืนยันเป็นการ
ค้นหาเพื่อกฏที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ของผลการดำเนินงานของ
บริษัท สิ่งเหล่านี้จะยังคงถูกต้องและมีประโยชน์ทุกเวลาและสถานที่
การเทียบเท่ากับฟิสิกส์
แต่กระนั้นอีกครั้งหนึ่งเรามีปัญหาที่สำคัญกับข้อมูล ข้อมูลบางอย่าง
ปรากฏปลอดผลกระทบการเหมารวม เช่น การวัดการหมุนเวียนเข้าออกของผู้บริหารระดับสูง ระดับความเป็นเจ้าของของคณะกรรมการบริษัท
และบลอกการถือหุ้นของสถาบัน ทุกเรื่องเป็นสถิติสาธารณะ และไม่น่า
จะถูกสร้างโดยการรับรู้ ไม่ว่าโดยนักข่าว โฆษกของบริษัท หรือการรวบ
รวมใหม่ของผู้บริหาร แต่ข้อมูลจำนวนมากเป็นปัญหา ข้อมูลส่วนใหญ่
มาจากบทความวารสารและหนังสือพิมพ์ แหล่งที่มาได้ถูกลำเอียงโดย
ผลกระทบการเหมารวม
ข้อมูลอื่นมาจากการสัมภาษณ์มองอดีตกับผู้บริหาร พวกเขาถูกขอให้มองกลับ และอธิบายปัจจัยที่สร้างความยิ่งใหญ่ การสัมภาษณ์เหล่านี้
ในขณะที่มักจะสร้างการพูดอ้างอิงที่เป็นสีสัน และเรื่องราวที่บันดาลใจ
ได้ถูกลำเอียงโดยความเข้าใจผลการดำเนินงานสุดท้าย ด้วยความสนใจทุกอย่างไปสูข้อมูลจำนวนมาก มันไม่มีความพยายามที่ปรากฏยืนยันว่าข้อมูลมีคุนภาพสูง แม้แต่ไม่ได้สนใจว่าข้อมูลจำนวนมากมาจากเเหล่งที่น่าสงสัย
จิม คอลลินส์ ได้กระตุ้นผู้อ่านของเขา “เผชิญข้อเท็จจริงที่โหดร้าย” แต่
ข้อเท็จจริงที่สำคัญอย่างหนึ่งไม่ได้เผชิญ ถ้านักวิจัยเริ่มต้นด้วยการเลือก
บริษัทบนพื้นฐานผลลัพธ์ แล้วรวบรวมข้อมูลด้วยการรวบรวมบทความ
จากสื่อธุรกิจ และทำการสัมภาษณ์มองย้อนหลัง มันไม่น่าจะค้นพบอะไร
นำไปสู่บริษัทกลายเป็นยิ่งใหญ่ได้

บุคคลมักจะให้น้ำหนักมากเกินไปต่อผลการดำเนินงานที่แล้วของบริษัท
เมื่อประเมินโอกาสในอนาคตของบริษัท รู้จักกันเป็นผลกระทบการเหมารวม ผลกระทบการเหมารวมสามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ลำเอียง เมื่อบุคคลมองข้ามด้านลบของบริษัท และมุ่งที่ชื่อเสียงทางบวกของบริษัทเท่านั้น
ฟิล โรเซนซ์ไวจ์ ยืนยันว่าบริษัทควรจะประเมินความสามารถของพวกเขา
เอง ไม่ใช่อาศัยความสำเร็จที่ผ่านมาและชื่อเสียงของพวกเขาเท่านั้น
ฟิล โรเซนซ์ไวท์ ได้ให้ตัวอย่างจำนวนมากของผลกระทบการเหมารวมภายในการกระทำมีทั้งการลุกขึ้นและการตกลงของเอนรอน บริษัทพลังงาน เขาได้อธิบายชื่อเสียงของเอนรอนต่อความสำเร็จทางนวัตกรรมและการเงินนำบุคคลไปสู่การมองข้ามสัญญานตือนของการทุจริตและการบริหารที่ผิดอย่างไร ผู้เขียนได้อภิปรายกรณีของโนเกียด้วย บริษัทที่ครั้งหนึ่งเป็นผู้นำภายในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือ แต่ล้มเหลวที่จะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาด ฟิลโรเซนซ์ไวท์ ยืนยันว่าความสำเร็จที่ผ่านมาของโนเกียนำบุคคลที่จะเชื่อว่ามันจะเจริญเติบโตอยู่ต่อไป ทั้งที่มีหลักฐานต่อตรงกันข้าม
ฟิล โรเซนซ์ไวจ์ ย้ำความสำคัญของการพิจารณาสภาพแวดล้อมเมื่อประเมินผลการดำเนินงานของบริษัท เขายืนยันว่าปัจจัยภายนอก เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาวะการแข่งขัน หรือพฤติกรรมของลูกค้า สามารถมีผลกระทบอย่างสำคัญต่อความสำเร็จ หรือความล้มเหลวของบริษัท ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างของบอร์เดอร์ กรุ้ป ลูกโซ่ร้านหนังสือล้มเหลวที่จะปรับตัวต่อการเกิดขึ้นของอี คอมเมิรช เขามองว่าความหายนะของบอร์เดอร์ไม่ใช่เนื่องจากความผิดพลาดของพวกเขาเองเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากภายในอุตสาหกรรมด้วย
เคน เลย์ ซีอีโอที่นำเอ็นรอนไปสู่การล่มสลายภายในเรื่องอื้อฉาวของการทุจริตอย่างมโหฬารเมื่อ ค.ศ 2001
เรื่องราวของเอ็นรอน คอรปอเรชั่น ได้แสดงบริษัทที่ถึงจุดสูงสุดอย่างน่าทึ่ง
และล้มละลายอย่างไม่น่าเชื่อ การพังทลายของบริษัทโดยโชคชะตากระทบบุคคลของบริษัทหลายพันคน และการตกตะลึงของวอลล์ สตรีท ณ จุดสูงสุดของเอ็นรอน หุ้นของพวกเขามูลค่า 90.75 เหรียญ เพียงแค่ก่อนที่จะประกาศการล้มละลายเมื่อ ค.ศ 2001 หุ้นได้ถูกซื้อขาย ณ 0.26 เหรียญ
เอ็นรอน ได้เริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตพลังงาน พวกเขาได้กลายเป็นบริษัท
พลังงานที่ยิ่งใหญ่ของตลาดซื้อขายพลังงานที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อ ค.ศ 2000 บริษัทได้เพิ่มรายได้สูงถึง 201 พันล้านเหรียญ มูลค่าตลาดของหุ้น 63 พันล้านเหรียญ เคนเนธ เลย์ ซีอีโอ เป็นที่ปรึกษาสำคัญของประธานาธิบดีจอร์จ บุช เอ็นรอนเชื่อว่าพวกเขาสามารถใช้พลังของอินเตอร์เนตสร้างตลาดออนไลน์ได้เกือบทุกสิ่งทุกอย่าง วารสารฟอร์จูนได้ยกย่องเอ็นรอนเป็น บริษัทสร้างสรรค์มากที่สุดแห่งปี เดอะ อีโคโนมิสท์ ได้เขียนว่า เอ็นรอน ได้สร้างสิ่งที่อาจจะเป็นการลงทุนทางอินเตอร์เนตที่บรรลุความสำเร็จของอุตสาหกรรม
ภายหลังจากถ้อยคำเหล่านึ้ถูกเขียนไม่กี่เดือน เอ็นรอน ได้หยุดการดำเนินงานและล้มละลายในที่สุด
เคนเนธ เลย์ ซีอีโอก่อนหน้านี้ของเอ็นรอน ที่ได้กลายเป็นล้มละลาย ได้ถูกอธิบายเป็น “ผู้ให้ภายในเสื้อผ้าของผู้รับ” คลาสสิค เขาเป็นผู้รับที่ปิดบัง
ผู้สร้างเครือข่ายสำคัญที่รักษาความไว้วางใจของประธานาธิบดีอเมริกาและบุคคลมีอิทธิพลอื่น ผ่านทางความช่วยเหลือและการมีส่วนช่วยการกุศล เคนเนธ เลย์ ได้เอากำไรบริษัทเข้ากระเป๋า และปฏิบัติที่ไม่ดีต่อบุคคลของบริํษัท การขอให้พวกเขายินยอมความซื่อสัตย์ของพวกเขาที่จะส่งเสริมแผนของเขาเอง เอ็นรอนได้สิ้นสุดลงปล่อยทิ้งบุคคล 20,000 คนต้องไร้งาน ส่วนใหญ่ได้สูญเสียการออมของชีวิตของพวกเขา เนื่องจากผลลัพธ์ของผู้นำของบริษัทรายงานกำไรที่ผิดและหลบซ่อนหนี้สินมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญ

นักข่าวและนักวิจัยยืนยันในขณะนี้ซิสโกมีกลยุทธ์ที่ผิดพลาด การบริหารการซื้อบริษัทอย่างมักง่าย และความสัมพันธ์ลูกค้าที่ไม่ดี เมื่อการพิจารณาอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ซิสโกไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงมาก การตกต่ำของผลการดำเนินงานนำบุคคลที่จะมองบริษัทแตกต่างกัน แต่ที่จริงแลัว
ซิสโกได้แสดงการฟื้นฟูอย่างน่าทึ่ง และวันนี้ยังคงเป็นบริษัทเทคแนวหน้า
สิ่งเดียวกันได้เกิดขึ้น ณ เอบีบี ยักษ์ใหญ่วิศวกรรมสวิส-สวีเดน เมื่อ ค.ศ
1990 ผลการดำเนินงานของบริษัทเข้มแข็ง เอบีบีได้ถูกยกย่่องต่อ
การออกแบบเเมทริกซ์ที่งดงาม วัฒนธรรรมที่รับความเสี่ยงภัย และ
ซีอีโอที่มีบารมี เพอร์ซี บาร์เนวิค เมื่อผลการดำเนิยงานของบริษัท
ตกต่ำลง เอบีบีได้ถูกวิจารณ์ต่อการมีองค์การทำหน้าที่ผิดปรกติ
วัฒนธรรมที่วุ่นวาย และซีอีโอที่หยิ่งยะโส แต่อีกครั้งหนึ่ง บริษัทไม่
ได้เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงมาก
ข้อเท็จจริงคือแนวคิดทุกวันหลายอย่างภายในธุรกิจ – รวมทั้งความเป็น
ผู้นำ วัฒนธรรมบริษัท ความสามารถแกน และการมุ่งลูกค้า – คลุมเครีอ
และระบุได้ยาก เรามักจะลงความเห็นจากการรับรู้ของมันจากสิ่งอื่น
ปรากฏเป็นตัวตนและมองเห็นได้มากขึ้นคือ ผลการดำเนินงานการเงิน
ผู้บริหารที่ฉลาดจะระมัดระวังผลกระทบเหมารวม พวกเขาได้มองหลักฐานอิสระ ไม่ใช่เพียงแค่ยอมรับความคิดว่าบริษัทที่บรรลุความสำเร็จมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และการมุ่งลูกค้าที่ดีเยี่ยม หรือบริษัืทที่ตกต่ำมีกลยุทธ์
ที่ไม่ดี และการดำเนินการที่อ่อนแอ พวกเขาถามตัวพวกเขาเอง ถ้าผมไม่รู้บริษัทกำลังดำเนินงานอย่างไร อะไรที่ผมจะคิดวัฒนธรรม การดำเนินการ หรือการมุ่งลูกค้าของมันหรือ พวกเขารู้ว่าตราบเท่าที่การประเมินของพวกเขาเป็นเพียงแค่การกล่าวอ้างสะท้อนผลการดำเนินงานของบริษัท เหตุผลของพวกเขาจะหมุนเวียน
ผลกระทบการเหมารวมทำให้เสียหาย เพราะว่ามันมักจะประนีประนอมคุณภาพของข้อมูลใช้ภายในการวิจัย ที่จริงแล้วการศึกษาผลการดำเนินงานธุรกิจหลายอย่าง – และบางบทความที่ปรากฏภายในวารสาร เช่น
ฮาวารด บิสซิเนส รีวิว และเดอะ แมคคินซี่ย์ ควอเตอร์รี ใช้ข้อมูลเจือปนโดยผลกระทบการเหมารวม การศึกษาเหล่านี้ยกย่องตัวมันเองด้วยข้อมูล
จำนวนมาก แต่ได้มองข้ามความจริงว่าถ้าข้อมูลไม่ถูกต้อง มันไม่มีความ
หมายข้อมูลได้ถูกรวบรวมอย่างไร หรือการวิเคราะห์ล้ำหน้าอย่างไร
การใช้ข้อมูลที่น่าสงสัยเหล่านี้ทำให้เกิดข้อผิดพลาดภายในเหตุผลต่อไป – ความหลงเชื่อสองอย่างของผลการดำเนินงานที่แน่นอนและความสำเร็จที่ยั่งยืนมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อกลยุทธ์ธุรกิจ การยืนยันที่ล่อใจอย่างหนึ่งของหนังสือธุรกิจขายดีที่สุดคือ บริษัทสามารถบรรลุความสำเร็จ ถ้ามันเดินตามขั้นตอนที่เฉพาะ การตรวจสอบอย่างใกล้ชิดพบว่า การศึกษาเหล่านี้ใช้แหล่งข้อมูลที่ถูกทำลายโดยผลกระทบเหมารวม
บริษัทมักจะถูกอธิบายเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวบนความสามารถของการกระทำของพวกเขา ราวกับว่าผลการดำเนินงานสมบูรณ์
แต่ภายในตลาดการแข่งขัน ผลการดำเนินงานของบริษัทหนึ่งถูกกระทบโดยผลการดำเนินของบริษัทอื่นอยู่เสมอ มันเป็นการเทียบเคียง
เคมาร์ท เป็นการแสดงที่ดีของจุดนี้ เคมาร์ท ได้ไปสู่การตกต่ำอย่างมาก
ระหว่าง ค.ศ 1990 และได้ประกาศการล้มละลายเมื่อ ค.ศ
2002 แม้ว่าเคมาร์ทได้ปรับปรุงการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือจาก 3.45 เป็น 4.56 ความประทับใจของการปรับปรุง 32% เคมาร์ท ได้ปรับปรุงอย่างแท้จริงระหว่าง ค.ศ 1990 แล้วทำไมกำไรและส่วนแบ่งตลาดของพวกเขาได้ตกต่าลง เพราะว่าตลอดแปดปีเดียวกัน การหมุนเวียนสินค้าคงเหลือของวอลมาร์ทเพิ่มขึ้นจาก 5.14 เป็น 8.08 เพิ่มขึ้น 63% วอลมาร์ทมีอัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือสูงกว่าเคมาร์ท เคมาร์ทดีขึ้นด้วยค่าสมบูรณ์ แต่ได้ล้าหลัง ณ เวลาเดียวกัน ความล้มเหลวของเคมาร์ทเป็นความล้มเหลวเทียบเคียง ไม่ใช่ความล้มเหลวสมบูรณ์
การเดินตามสูตรที่กำหนดให้ไม่สามารถรับรองผลการดำเนินงานที่สูง
ภายในตลาดที่แข่งขัน ภายในความเป็นจริง สูตรไม่สามารถประยุกต์
ใช้กับธุรกิจ เราไม่สามารถทำซ้ำหรือคาดคะเนขั้นตอนบนอะไรที่บริษัท
บรรลุความสำเร็จทำ เศรษฐกิจ พลังตลาด ลูกค้า การศึกษา เทคโนโลยี มันทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ผลการดำเนินงานจะเทียบเคียงไม่ใช่แน่นอน ความสำเร็จและความล้มเหลวขึ้นอยู่กับ ไม่เพียงแต่การกระทำ
ของบริษัทเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับคู่แข่งขันของพวกเขาด้วย บริษัทสามารถปรับปรุงการดำเนินงานภายในหลายทาง – คุณภาพดีขึ้น ต้นทุนต่ำลง และอย่างอื่น แต่ถ้าคู่แข่งขันสามารถปรับปรุงได้รวดเร็วกว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทอาจจะเสียหายได้ เมื่อคุณคาดคะเนผลการดำเนินงานของ
บริษัทของคุณ เราต้องมั่นใจว่ามันได้สัมพันธ์กันต่อคู่เเข่งขันภายในอุตสาหกรรมของคุณ เราต้องระวังไม่มองมันเป็นค่าสมบูรณ์
ภายในตลาดการแข่งขัน กำไรที่สูงโน้มเอียงที่จะตกต่ำลง เนื่องจากสิ่ง
ที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า พลังกัดกร่อนของการเลียนแบบ คู่เเข่งขัน
ลอกเลียนแบบวิถีทางชนะของผู้นำ คู่แข่งขันรายใหม่เข้ามา บริษัทที่ปรึกษาเผยแพร่การปฏิบัติที่ดีที่สุด และบุคคลย้ายจากบริษัทไปสู่บริษัทอื่น

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *