ไม่แปลกที่คนอเมริกันถือปืนต้าน”ล็อกดาวน์”
สบาย สบาย สไตล์เกษม
เกษม อัชฌาสัย
ไม่แปลกที่คนอเมริกันถือปืนต้าน”ล็อกดาวน์”
งานนี้ผมสบายเลยละครับ ไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรมาก และไม่ต้องเสนอความคิดเห็นอะไรด้วย ไม่ต้องปวดขมอง เดือดร้อนถึงขนาดต้องเอา”ยาหม่อง”มาทาถู
วิธีของผมก็คือ เอาข่าวหรือข้อมูลของสำนักบีบีซี มาตัดต่อเรียบเรียง ตามที่เขาเขียนเล่ามา ใครที่หมั่นไส้ผมอยู่แล้ว(มาแต่ปางบรรพ์) ก็จะได้ถากถางผมได้อีกครั้ง ตามสบายว่า
”มึงก็แค่ไอ้นักลอกข่าว”เท่านั้นแหละครับ….ฮ่า
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อสัปดาห์กว่าๆที่ผ่านมา เกิดกระแสต่อต้านการ”ล็อกดาวน์” หรือ”การปิดเมือง”ขึ้นตามรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาเพื่อแก้ไขการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
มีการออกมาประท้วงตามท้องถนน ในขณะที่ทั่วโลกเขาก็”ล็อกดาวน์”กันหนักบ้าง เบาบ้าง ตามแต่สภาวะแวดล้อม แต่ไม่มีปัญหาถึงกับลุกขึ้นประท้วง เหมือนกับในสหรัฐอเมริกา แดนพ่อแดนแม่นักประชาธิปไตย ผู้คลั่งไล้ลัทธินี้จนเลยธง
แต่ชาวอเมริกันตามเมืองต่างๆ (แค่บางส่วน)แสดงความไม่พอใจต่อการออกมาตรการกวดขัน อย่างชัดเจน ในบางแห่งบางที่กลุ่มขวาตกขอบ ติดอาวุธปืนออกมาโชว์พลังด้วย เหมือนกับจะออกไปทำสงครามกับอริราชศัตรูนั่นเทียว ยังนับว่าดีที่ไม่ยิงกัน
อีกสักครู่จะเล่าถึงรายละเอียดของการประท้วง ที่ว่านี้ ว่ามีภูมิหลังความเป็นมาอย่างไร
ตอนนี้ขอรื้อฟื้นมาตรการต่างๆ ในการป้องกันการแพร่นระบาดของไวรัสมาลำดับ ตามความหนักเบาที่สหรัฐใช้อยู่ในยามนี้ก่อน ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ได้ผิดแผกจากเมืองไทยหรือที่อื่นๆ ในโลก
กล่าวคือตามปกติรัฐต่างๆในสหรัฐ ก็ใช้มาตรการการกักกันตัว ๑๔ วันในกรณีที่สงสัยว่าติดเชื้อมาและอยู่ในสภาวะที่น่าจะเป็นพาหะส่งเชื้อต่อหรือไม่
นอกจากนี้ ก็ใช้มาตรการห้ามออกจากบ้านที่เรียกว่า”เคอร์ฟิว” มาตรการห้ามการชุมนุม มาตรการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล หรือมาตรการใช้หน้ากากอนามัยปิดใบหน้าระหว่างจมูกและปาก
ด้วยแนวปฏิบัติต่างๆ เหล่านี้ จึงส่งผลให้ธุรกิจห้างร้าน หรือโรงงานอุตสาหกรรมหลากหลาย ต้องปิดกิจการหรือลดลงาน ทำให้ขาดรายได้และมีผู้คนตกงาน ๖.๖ ล้านคน (ตัวเลขกระทรวงแรงงานสหรัฐ เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา)
ซึ่งขณะนี้ผ่านพ้นไปแล้วสามสัปดาห์ จำนวนผู้ตกงาน ก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกมาก แต่จะรวมยอดเท่าไร ยังไม่รู้ได้
ที่สำคัญในสหรัฐอเมริกาเวลานี้ ยอดการติดเชื้อและตายมาเป็นอันดับหนึ่งของโลก สมกับเป็นอภิมหาอำนาจอันดับที่ ๑ โดยวันนี้(๒๒ เมษายน) ยอดติดเชื้อสะสมอยู่ที่ ๘๑๙,๑๗๕ ราย ตายที่ ๔๕,๓๔๓ ราย ทั้งสองยอดนี้ทำท่าจะเพิ่มขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
เป็นไปได้ที่ยอดติดเชื้อสะสม อาจเลย ๑ ล้านรายและเสียชีวิตตั้งแต่ ๖๐,๐๐๐ รายขึ้นไป ภายในไม่ช้าไม่นานจากนี้
ถึงแม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ คาดหมายว่า น่าจะถึงจุดสูงสุดแล้ว ซึ่งก็ต้องมาดูกันว่า จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เพราะไม่มีใครอยากจะเชื่อน้ำยา”ทรัมพ์”มาแต่แรกแล้ว ตามที่เคยบอกว่า“ไวรัสนี้ เป็นแค่เพียงไข้หวัดใหญ่ธรรมดา“
เมื่อ”ทรัมพ์”ออกมาตรการ”บรรไดสามขั้น”เป็นแนวทางผ่อนคลายการ”ล็อกดาวน์”หลังโดนกระแสกดดัน โดยมอบหมายให้แต่ละรัฐ พิจารณาเอาเอง ว่าจะทำในระดับใด ในการปลด”ล็อกดาวน์”โดยไม่ต้องคอยฟังคำสั่งของรัฐบาลกลางที่วอชิงตัน ดีซีนั้น ชาวบ้านในบางรัฐที่เจอการแพร่ระบาดหนัก ก็ต้องปิดประตูล็อกตัวอยู่กับบ้าน ไม่กล้าไปไหน เพราะความไร้ระเบียบในการป้องกันตัวของคนอเมริกันทั่วๆ ไป ไม่รู้ว่าสภาพติดคุกในบ้านตัวเองนี้จะไปสิ้นสุดลงเมื่อไร แม้จะอึดอัดใจสักเพียงไหนก็ตาม
แต่ที่สำคัญอย่างยิ่ง หาก”ล็อกดาวน์”นานเกินไป ผลกระทบจะไม่เพียงเกิดกับชาวบ้าน ที่ต้องออกไปทำมาหากินเท่านั้น แต่กระทบกับเศรษฐกิจส่วนรวมของสหรัฐ และจะกระทบไม่แค่เฉพาะกับแต่ละชาติ แต่กับทั้งโลก เช่นที่เคยเกิดมาแล้วในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งก่อนตั้งแต่ ปี ๑๙๓๐
แถมยังกระทบสังคมส่วนรวม ซึ่งเสี่ยงต่อความไม่สงบ โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรม ที่จะติดตามมา จากภาวะไม่พอกินพอใช้
ทีนี้มาดูเรื่องการประท้วง ที่เกิดขึ้นในราว ๑๘ รัฐ โดยแต่ละรัฐมีผู้ว่าการ สังกัดทั้งพรรครีพับลิกันฝ่ายรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านเดโมแครต
การประท้วงออกมาตามท้องถนน ในบางรัฐมีจำนวนคนไม่มากนัก ตั้งแต่ไม่กี่สิบคนที่รัฐเวอร์จิเนีย เป็นนับร้อยในรัฐอื่นๆ เช่นเท็กซัสและแมรีแลนด์กับอินเดียนา จนถึงนับพันคนโดยเฉพาะที่รัฐมิชิแกน ส่วนรัฐวอชิงตันชุมนุมมากที่สุด ราว ๒,๕๐๐ คน ที่เมืองหลวงของรัฐชื่อ”โอลิมเปีย”
ถามว่าใครอยู่เบื้องหลังจากการชุมุนม คำตอบก็คือ พวกอนุรักษ์นิยม กับพวกชื่นชม”ทรัมพ์”และกลุ่มสนับสนุนการครอบครองอาวุธปืนไว้ในสังกัดของ”สมาคมปืนเล็กยาวแห่งชาติอเมริกา”หรือ National American Rifle Association
ปรากฏว่า ในที่ชุมนุม มีการยกชูป้ายต่างๆเรียกร้องสิทธิเสรีภาพว่าจะต้องอยู่เหนือการกดขี่แบบทรราช มีการกล่าวหาผู้ว่าการรัฐ หรือ Governor ทำตัวเป็นกษัตริย์หรือเผด็จการ เช่น ด้วยข้อความที่ว่า”จงให้เสรีภาพแก่ข้า ถ้าไม่ให้ ไปตายเสียดีกว่า” ฯลฯ เป็นต้น
ข้อความในลักษณะนี้ ยังคงถูกนำมาใช้เป็นคำขวัญ เปรียบเสมือนมนตร์ขลัง ที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้ในยุค”ปฏิวัติอเมริกา”คือการยุคที่มีการลุกฮือ เรียกร้องเอกราชจากอังกฤษในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่๑๘
สรุปว่า การประท้วงไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับองค์การอะไรทั้งนั้น แต่เกิดขึ้นเพราะคับข้องใจที่ถูก”ล็อกดาวน์”ทำให้ไม่สามารถออกไปทำมาหากินได้ตามปกติ ไม่สามารถใช้ชีวิตทางสังคมเช่นที่เคย
ดังนั้น ความคาดหวังของผม(ผู้เขียน)ที่อยากจะเห็นความแตกแยกในสังคมอเมริกันระหว่างรัฐต่างๆ จนเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นอีกสักครั้งหนึ่ง คงไม่เป็นความจริงไปได้ (โกรธที่สหรัฐ”กร่าง”เที่ยวแทรกแซงและเอาเปรียบชาติอื่น อย่างไร้คุณธรรม)
แต่เป็นแค่เพียง”การชักว่าวทางปัญญา”ตามที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยกล่าวไว้ ในการถากถางบางผู้คนในอดีตเท่านั้น
ภาพของกลุ่มชาติอนุรักษ์นิยมอเมริกัน ออกมาถือปืนประท้วงในคราวนี้ จึงเป็นแค่เพียงปรากฏการณ์ธรรมดาๆ ตามสันชาติดิบลึกๆแบบคาวบอย ในสมัยพิชิตตะวันตกของคนอเมริกัน ไม่ควรค่าแก่การให้ความสนใจใดๆ ทั้งสิ้น
งานปลด”ล็อกดาวน์”คราวนี้ ขอตั้งข้อสังเกตว่าเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองของ”ทรัมพ์”ที่โยนเผือกร้อนๆไป ให้ผู้ว่าการรัฐแต่ละรัฐ โดยเฉพาะในรัฐที่มีคนของพรรคเดโมแครตเป็นผู้ว่าการรัฐ รับผิดชอบเอง ตัวเขาไม่ต้อง
ขณะเดียวกันก็เป็นการหาเสียง เพราะในขณะที่เขาอนุญาตให้ค่อยๆผ่อนคลาย อันนำไปสู่การเลิก”ล็อกดาวน์”อย่างสมบูรณ์แบบนั้น เขากลับทวีต สนับสนุน”ให้ท้าย”กลุ่มเรียกร้อง”เสรีภาพ”ที่เคยหนุนเขาตลอดมาอย่างหน้าตาเฉย
ช่างเป็นประธานาธิบดี”จอมกะล่อน”ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ผมจะไม่แปลกใจเลยครับ ถ้า”ทรัมพ์”จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง ด้วยสายตาอันมืดบอดของคนอเมริกันเสียงส่วนใหญ่ ในการเลือกตั้ง ซึ่งกำลังจะมีขึ้นปลายปี ๒๐๒๐
จึงใคร่แถลงย้ำซ้ำอีกครั้ง มา ณ ที่นี้