jos55 instaslot88 Pusat Togel Online ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ(11) - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ(11)

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ(11)

ผู้เขียน อ.อดุลย์ มานะจิตต์

ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของตนเหนืออียิปต์และเหนือชาวอียิปต์หลงใหลในตนเองของฟาโรห์เหนี่ยวรั้งเขาไว้ไม่ให้ยอมจำนนต่อศาสดามูชาแต่ยังมีความยุ่งยากใจอยู่ในสัญญาณต่างๆ ที่ได้เห็นเหล่านั้น เขาจึงกล่าวกับตนเองขึ้นว่า “จะเป็นอย่างไร! ถ้าหากฉันจะเรียกเขาว่าเป็นมายากรและผู้เสกเป๋าปมเงื่อน” และด้วยกับการกุเรื่องเช่นนี้ที่เขาพูดกับบรรดาผู้ที่หลงใหลได้ปลื้มในตัวเขาที่กำลังตกอยู่ในสภาพงงงวย

 

“จงฟัง! นี่คือมายากรคนหนึ่ง ที่เขาต้องการขับไล่พวกท่านออกไปจากแผ่นดินของพวกท่านเอง และเพื่อที่จะเข้ายึดครองแผ่นดินของพวกท่านพวกท่านจะว่าอย่างไร?”

 

พวกเขาจึงพากันกล่าวว่าองค์ฟาโรห์ควรเชิญบรรดาผู้สังเกตการณ์และบรรดามายากรมา เพื่อว่าพวกเขาจะได้เป็นต่อเหนือมูซา เปิดเผยการใช้เวทมนต์คาถาของเขา และทำให้เขาได้อับอาย

 

องค์ฟาโรห์ทรงเห็นด้วย และจึงมีบัญชาให้เชิญบรรดานักเล่นกลรุ่นเก่าแก่ทั้งหมด ผู้ซึ่งมีความเยี่ยมยอดที่มีอยู่ในสมัยนั้นให้มารวมตัวกัน ณท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ไพศาล องค์ฟาโรห์ทรงสัญญาว่า ถ้าหากพวกเขาเอาชนะมูชาได้ พวกเขาจะเอาอะไรเขาก็จะจัดการให้ตามที่ขอทั้งหมด

 

ด้วยกับความคิดดุจดังเด็กไร้เดียงสาเช่นนี้เอง ที่พวกเขาจะทำให้มูชารู้สึกต่ำต้อย และจะทำให้มูซาถูกมองว่าเป็นตัวร้าย และด้วยวิธีนี้จะทำให้สถานะของเขาเพิ่มพูนขึ้นต่อหน้าองค์ฟาโรห์ เมื่อมีการตกลงกันว่าใครจะเป็นผู้โยนอุปกรณ์ลงไปก่อน มูชาเสนอให้พวกเขาโยนลงไปก่อน เมื่อพวกเขาโยนไม้เท้าและเชือกลงบนพื้นท้องพระโรง ด้วยกับอำนาจมายากลทำให้ไม้เท้าและเชือกเหล่านั้นกลายเป็นงูหลายตัว ดูราวกับว่ามันกำลังเลื้อยไปมาต่อหน้าผู้คนที่กำลังเป็นพยานในวันแห่งการทดสอบนี้ ปากทุกปากของพวกเขาต่างอ้าขึ้นด้วยความพิศวง แต่ศาสดามูซาทรงอยู่กับอัลลอฮ์ แต่จะพูดให้ถูกต้องมากกว่าก็คือ อัลลอฮ์ทรงอยู่กับศาสดามูซา และรอบของท่านก็มาถึง ท่านได้โยนไม้เท้าธรรมดาๆ ของท่านลงไปข้างๆ บรรดามายากรของฟโรห์ที่ใช้เล่ห์กลและเวทย์มนต์คาถาที่ชุมนุมกันอยู่อย่างเนื่องแน่นและทุกคนต่างก็ประจักษ์ว่าไม้เท้าอันนั้นได้กลายเป็นงูที่ดุร้ายตัวหนึ่ง ซึ่งเลื้อยเป็นวงกลม และกลืนกินทุกสิ่งที่เท็จเทียมของพวกที่ใช้คาถาอาคมจนหมดสิ้น ประหนึ่งว่าท่านอาจจะพูดได้ว่ามันไม่เคยมีอะไรมาก่อนหน้านั้นเลย

 

จากนั้นประการแรกต้นเลยทีเดียวก็คือ บรรดามายากรผู้ซึ่งหันมาศรัทธาในนบีมูชาทั้งหมดของพวกเขา ต่างกล่าวออกมาด้วยหัวใจเดียวกันและเป็นเสียงเดียวกันดังว่า

 

“เราศรัทธาในพระผู้อภิบาลแห่งโลกทั้งผอง ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าของมูชาและฮารูน”

 

พวกเขาต่างก้มลงกราบกรานและวิงวอนขออภัยในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไป

 

ความกริ้วโกรธของฟาโรห์เพิ่มขึ้น จึงประกาศคาดโทษจะเอาชีวิตพวกเขา แต่บรรดาผู้ที่เขารู้ถึงความแตกต่างระหว่างมายากลกับความมหัศจรรย์มากกว่าผู้ใดอื่น ย่อมเข้าใจได้อย่างรู้แจ้งแทงตลอดว่าศาสดามูชาไม่ใช่มายากล และอำนาจของเขาเป็นอำนาจจากพระเจ้า และด้วยเหตุผลนี้ที่พวกเขาไม่เกรงกลัวกับคำขู่ขององค์ฟโรห์ “พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรที่ไปศรัทธาในพระเจ้าของมูชาโดยที่ข้ายังไม่อนุญาต ข้าจะฉีกแขนและขาของพวกเจ้า ข้าจะแขวนร่างของพวกเจ้าไว้กับต้นอินทผลัม!”

 

สิ่งถูกสร้างที่ถูกสาปนี้ จินตนาการไปว่าผู้คนต่างมีความเชื่อศรัทธาไปว่า ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรจะต้องได้รับอนุมัติจากเขาเสียก่อน บรรดามายากรต่างกล่าวตอบไปว่า “เราจะไม่ขอเลือกท่นให้อยู่เหนือและสูงส่งไปกว่าพระเจ้าองค์เดียว ผู้ซึ่งทรงสร้างเรามา และเราจะกลับคืนไปสู่พระเจ้าของเรา เราเป็นคนกลุ่มแรกที่เชื่อถือศรัทธาในมูชา เราหวังในการอภัยโทษของพระเจ้า ไม่ว่าท่านจะต้องการทำอะไรก็ตาม ก็จงทำตามนั้นเถิด! เพราะเรารู้อย่างแน่นอนแล้วว่าโลกนี้ไม่จีรัง”

 

แต่คำพูดอันเผ็ดร้อนนี้ผ่านไปอย่างไร้ผลกับหัวใจอันเย็นชาขององค์ฟาโรห์ และบรรดาขุนนางและข้าราชบริพารของเขา พวกเขาต่างถูกสถานะทางโลกของตนหลอกลวงเอาและตลอดจนอำนาจที่พวกเขามีอยู่

 

พวกเขาจับกุมชาวบนีอิสรออีล โดยพวกผู้หญิงที่พวกเขาเห็นว่าไม่มีอันตรายก็จะถูกปล่อยไว้ให้รอดชีวิต และถูกจับตัวมาใช้ให้ทำงาน บรรดาเด็กชายและเยาวชนของพวกเขานั้นถูกฆ่าสังหารสิ้น หลายครั้งด้วยกันที่พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของผู้คนของฟาโรห์ และได้ทำให้พวกเขาเป็นที่น่าชิงชัง เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับบทเรียนของตนเองในทุกคราที่ภัยพิบัติถูกส่งลงมา พวกเขาส่งสาส์นถึงศาสดามูซาดังว่า หากพระเจ้าได้ยกเลิกภัยพิบัตินั้นออกไป พวกเขาก็จะศรัทธาในพระองค์ แต่เมื่อภัยพิบัติยุติลง พวกเขาก็ลืมคำพูดของพวกเขาและเริ่มกระทำอยุติธรรมอื่นๆ ต่อไปอีก

 

ฟาโรห์กล่าวกับผู้คนของเขาว่า “จงอย่าได้กลัวไปเลย! ขอให้ข้าได้สังหารมูชาก่อนเถิด ข้าเกรงว่าหากไม่เช่นนั้นแล้วเขาก็จะริบเอาศาสนาของพวกเจ้าไป และข้าหวั่นเกรงว่าเขาจะก่อการปฏิวัติขึ้นในประเทศนี้ และนำความหายนะมาในที่สุด”

 

ศาสดามูชากล่าวว่า “ฉันขอแสวงหาความคุ้มครองกับพระเจ้าจากผู้ก่อกบฏทุกคน ผู้ซึ่งไม่เชื่อในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ”

 

ท่ามกลางสถานการณ์เหล่านี้ มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ผู้ซึ่งได้ซ่อนเร้นความศรัทธาของเขาไว้เป็นความลับจนถึงบัดนี้ โดยไม่หวั่นเกรงต่อประชาชน เขาจึงตะโกนขึ้นว่า “พวกท่านต้องการจะฆ่าสังหารชายคนหนึ่งผู้ซึ่งกล่าวว่า พระเจ้าคือพระผู้อภิบาลของเขากระนั้นหรือ พวกท่านไม่เห็นสัญญาณต่างๆ นั้นของพระเจ้าซึ่งเขาได้นำมาแสดงดอกหรือ”

 

องค์ฟาโรห์จึงประกาศขึ้นว่า “ให้เป็นไปตามที่ข้าได้บัญชาไปแล้ว”อีกครั้งหนึ่งผู้ศรัทธาที่ถือสันโดษคนหนึ่งได้กล่าวเตือนผู้คนอีกว่า เขาหวั่นเกรงเหลือเกินว่าชะตากรรมของพวกเขาจะเหมือนกันกับผู้คนของนุฮ์หรือของอาดและสะมูด เขายังหวั่นเกรงอีกว่าพวกเขาจะมีจุดจบในนรกที่มีไฟร้อนแรง และจะไม่มีผู้ใดมาช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษของพระเจ้าของพวกเขาได้

 

องค์ฟาโรห์ไม่สนใจกับคำเตือนของชายผู้นั้น จึงคิดแผนการของตนขึ้นอีกและจึงกล่าวเป็นการเย้ยหยันกับ ฮามาน ผู้เป็นมุขมนตรีของเขาดังว่า “จงสร้างหอคอยขนาดใหญ่ให้กับข้า เพื่อว่าข้าจะได้รู้ถึงหนทางที่จะขึ้นสู่พากฟ้าจากยอดสูงของมัน และ ณ ที่นี้ข้าอาจจะจับเอาตัวพระเจ้าของมูชามา”

 

แต่ชายผู้นี้ที่มีความศรัทธาแก่กล้าในพระเจ้า ยังคงกล่าวเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขากล่าวขึ้นว่า “จงตามฉันมา! ฉันจะนำทางพวกท่านไปสู่หนทางที่เที่ยงตรง โอ้ผู้คนของฉัน! ชีวิตในโลกนี้เป็นเพียงของชั่วคราว จงอย่างได้ไปหยิ่งทะนงภูมิอกภูมิใจอะไรกับมันเลย โลกหน้าชิเป็นของนิรันดร์ โลกหน้าชิเป็นอสงขัย กิจกรรมของมนุษย์ทั้งมวลจะต้องถูกสอบสวน กิจกรรมที่เลวจะต้องถูกลงโทษ และกิจกรรมที่ดีงามจะได้รับรางวัลตอบแทนผลรางวัลตอบแทนที่ดีคือสวนสวรรค์อันอมตะ โอ้ประชาชน! ฉันเรียกร้องพวกท่านไปสู่ความจรรโลงใจ ทำไมพวกท่านจึงเชิญชวนฉันไปสู่ไฟนรกเล่า ?!

 

พวกท่านต้องการให้ฉันเป็นผู้ปฏิเสธในพระเจ้าและต่อมาก็ให้ตั้งภากับพระองค์ แต่ฉันเรียกร้องพวกท่านไปสู่พระเจ้า ผู้ซึ่งด้วยความสัตย์จริงแล้วพระองค์คือผู้ทรงเป็นเจ้านายของอำนาจ และทรงเป็นผู้ให้อภัยอย่างที่สุด พระองค์คือพะเจ้าที่จะทรงนำเราทั้งหมดกลับไปหาพระองค์

 

บรรดามวลผู้ที่พวกเขาได้เห็นสัจธรรมแล้วและเข้าใจมันดี แต่ไม่ยอมเชื่อฟังปฏิบัติตาม ย่อมจะต้องเข้าสู่ไฟนรก จะไม่มีการอ้อยอิ่งใดๆ เลยสิ่งทั้งหลายที่ฉันพูดย่อมจะได้เห็นกัน!”

 

ฟาโรห์และบรรดาผู้ที่เคารพกราบไหว้เขา ไม่ยอมละทิ้งแนวทางเดิมของพวกเขา ภายหลังที่ได้รับฟังคำพูดนี้แล้ว พระเจ้าได้นำผู้ศรัทธาที่ไม่หวั่นเกรงในสิ่งใดผู้นี้ไว้ในการปกป้องคุ้มครองของพระองค์ และทรงเพิ่มความยุ่งยากลำบากต่างๆ ให้กับผู้คนของฟาโรห์เอง

 

ในที่สุดพระเจ้าจึงทรงมีพระบัญชาให้นบีมูชานำบรรดาผู้คนที่ถูกกดขี่ออกจากอียิปต์ในยามค่ำคืน ศาสดามูชานำชาวบนีอิสรออีลออกไปท่ามกลางความมืดยามราตรีกาล พวกเขาออกเดินทางมุ่งตรงสู่ทะเลแดง ในหัวใจของพวกเขาต่างหวาดกลัวว่าฟาโรห์จะนำเอากองทหารของเขามาเพื่อไล่ติดตามพวกเขา และจริงๆ มันก็เป็นเช่นนั้น ฟาโรห์เมื่อจัดเตรียมกองทัพเสร็จจึงรีบไล่ตามศาสดามูซามา ชาวบนีอิสรออีลมองเห็นกองทัพอันเกรียงไกรเมื่อใกล้รุ่งและจึงบังเกิดความหวาดหวั่นไม่มีทางออกใดๆ จะมองเห็นได้ ด้านหนึ่งก็เป็นทะเลจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็เป็นกองทัพของฟาโรห์อันเกรียงไกร ศาสดามูซาจึงแสวงหาการช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ และพระองค์ทรงวิวรณ์มายังท่านว่า ให้เขาเอาไม้เท้าตีไปที่ทะเลและยกมันกลับขึ้นมา ไม้เท้านี้กลายเป็นที่สำแดงออกแห่งฤทธานุภาพของอัลลอฮ์ นบีมูซาจึงเอาไม้เท้าฟาดไปที่ทะเล ในบัดดลนั้น ทางเดินอันแห้งและราบเรียบจึงปรากฎเปิดออกให้เห็น ชาวบนีอิสรออีลจึงเดินตามนบีมูชาไป น้ำทะเลทั้งสองข้างยกตัวสูงขึ้นประดุจดังกำแพงสองข้างที่ตั้งฉากสูงขึ้นจากพื้นดินยาวต่อเนื่องกันไปโดยไม่ได้ล้นออกมาตามทางเดิน ชาวบนีอิสรออิลจึงเดินผ่านไปตามกำแพงน้ำทั้งสองด้านนี้ไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่ง และฟาโรห์ก็มาถึงต้นทางพร้อมกับกองกำลังของเขา เขากำลังฉงนอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี เขาจะถอยหลังหรือจะฝากชีวิตของเขาไว้กับทะเลดี ต่อหน้าของเขา เขาเห็นศาสดามูชาและผู้คนของท่าน นั้นคือพวกเขาได้เดินข้ามทะเลไปได้อย่างปลอดภัยได้อย่างไร ? แต่เขาไม่ยอมศรัทธาในสัญญาณของ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *