โฮวาร์ด ชูลท์ “Pour Your Heart Into It”

โฮวาร์ด ชูลท์ “Pour Your Heart Into It”
ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ ลาเยน ได้ปฏิญานที่จะมีความอดทนเป็นศูนย์ต่อแรงงานเด็ก ภายในนโยการค้าของอียู เป็นการก้าวไปของคำสัญญา เด็กจำนวนมากทั่วโลกไม่โชคดี เด็กประมาณ 152 ล้านคนทั่วโลกถูกบังคับให้เป็นแรงงาน ครึ่งหนึ่งของเด็กทำงานเหล่านี้ติดกับดักภายในรูปแบบเลวร้ายที่สุดของเเรงงานเด็ก – งานที่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกายของเด็ก
ความเป็นอยู่ และการพัฒนาของชีวิต เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าถึงการศึกษา และถูกละเมิดและใช้หาประโยชน์ และเจ็บปวดทั้งร่างกาย และจิตใจ นี่เป็นการฝ่าฝืนโดยตรงต่อสิทธิของเด็กโดยทั่วไป
แรงงานเด็กคืออะไร แรงงานเด็กได้ถูกระบุโดยมาตรฐานระหว่างประเทศเป็นงานที่อันอันตราย ต้องการหลายชั่วโมงเกินไป หรือทำโดยเด็กเก็นไป
No Child For Sale : Marco Story ของเวิรลด วิชั่น คานาดา เรามีเรื่องราวหลายเรื่องของแรงงานเด็กบนไร่กาแฟที่บริษัทเหมือนเช่นสตาร์บัค หรือเนสเพรสโซ
ได้เมล็ดกาแฟของพวกเขามา มันเป็นการเกิดขึ้นโดยทั่วไป แต่มักจะไม่เป็นทางเลือกของหลายครอบครัว ดังที่สามารถมองเห็นได้ภายในวีดีโอเกี่ยวกับมาร์โค มาร์โค เป็นแรงงานเด็กอายุ 9 ปี จากกัวเตมาลาเก็บเมล็ดกาแฟ เขาใช้วันละ 14 ชั่วโมงภายในไร่กาแฟ เริ่มต้นตั้งตีห้าจนถึงหนึ่งทุ่ม ภายในหลายประเทศ แรงงานเด็กเป็นปัญหาอย่างหนึ่งภายในอุตสาหกรรมกาแฟ เพราะว่าบริษัทใหญ่เหล่านี้อาจจะไม่จ่ายเงินเเก่เกษตรกรเพียงพอสามารถสนับสนุนครอบครัวของพวกเขา ดังนั้นพ่อแม่ไม่มีทางเลือกที่ต้องให้ลูกของพวกเขาไปทำงานตั้งแต่เด็ก ภายในประเทศ เช่น เม็กซิโก หรือกัวเตมาลา ไม่มีมาตรฐานเพียงพอจากรัฐบาลที่จะควบคุมสภาวะการทำงานของทุกไร่กาแฟ และมั่นใจว่าไม่มีแรงงานเด็ก
เมื่อเจ้าของไร่กาแฟพยายามหยุดแรงงานเด็ก เกษตรกรได้ข่มขู่ที่จะเดินออกไป และหางานที่อื่น ทำให้อุปทานลดลง และพืชกาแฟจะเน่าและขายไม่ได้
พ่อเเม่รู้สึกว่าลูกของพวกเขาปลอดภัยมากขึ้น เมื่ออยู่กับพวกเขาภายในไร่

โฮวาร์ด ชูลท์ กล่าวว่าเขากำลังพิจารณาอย่างจริงจังเพื่อไวท์เฮ้าส์ และเขามีความมั่งคั่งและวิถีทางที่จะกระทำ เขาเป็นซีอีโอตั้งแต่ ค.ศ 1987 ถึง ค.ศ 2000 และกลับมาอีกครั้งหนึ่งเมื่อ ค.ศ 2008 ในขณะนี้เขามีความมั่งคั่งสุทธิ 3.3 พันล้านเหรียญตามวารสารฟอร์บ การรวมกันของความตั้งใจและการคิดอย่างอิสระ และจริยธรรมการทำงานไดันำเขาไปไกลมาก โฮวาร์ด ชูลท์ อาจจะไม่ใช่ชื่อครัวเรือน แต่มันดูเหมือนเราไม่สามารถเดินกับหมาของเราโดยไม่ผ่านโลโก้ขาวและเขียวของสตาร์บัคส์
โฮวาร์ด ชูลท์ เข้ามาสู่ธุรกิจกาแฟด้วยเป้าหมายอย่างเดียวภายในใจคือ การยกระดับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างบุคคลและกาแฟของพวกเขา แต่ชูลท์
ไม่ได้มุ่งอย่างสำคัญที่บรรทัดสุดท้ายสมัยเดิม เขาเป็นโมเดลพลวัตรของซีอีโอที่ก้าวหน้า บุคคลที่มีชีวิตชีวาโดยปัญหาทางสังคมและสวัสดิการของบุคคล
แม้ว่ากำไรของบริษัทดูเหมือนไม่สอดคล้องกับการทำดีทางสังคม โฮวาร์ด ชูลท์ ซีอีโอของสตาร์บัคส์ ต่อต้านกับมุมมองนี้ เรามีความต้องการยิ่งใหญ่ที่จะบรรลุความสมดุลที่เปราะบางระหว่างการทำกำไร ผลกระทบทางสังคม และความผูกพันทางศีลธรรม ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปได้ ยกระดับชีวิตของบุคคลของเราและชุมชนที่เราบริการ
สตาร์บัคส์เป็นบริษัทอเมริกันรายแรกให้ความเป็นเจ้าหุ้นแก่บุคคลของพวกเขา และการประกันสุขภาพแก่บุคคลทำงานไม่เต็มเวลา แรงจูงใจของชูลท์
ต่อการให้ทรัพยากรเหล่านี้ได้รับอิทธพลอย่างมากโดยประสบการณ์ตอนเป็นเด็กของเขา เขาเจริญเติบโตจากความยากจนภายในบรุคลิน นิวยอร์ค
พ่อของเขา เฟรดไม่เคยจบโรงเรียนมัธยมปลาย และทำงานเสื้อปกสีน้ำเงินมาตลอด คนขับรถบรรทุก คนงานโรงงาน และคนขับแทกซี่ เขาไม่เคยทำรายได้มากกว่า 20,000 เหรียญต่อปี และด้วยลูกสามคนที่เลี้ยงดู เฟรดไม่เคยสามารถรับภาระที่จะซื้อบ้านได้
โฮวาร์ด ชูลท์ ได้กล่าวถึงความรักใคร่เกี่ยวกับพ่อของเขาภายในหนังสือของเขา “Pour Your Heart Into It” เฟรดเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ ทำงานหนัก เล่นบอลล์กับลูกของเขาวันสุดสัปดาห์
แม้ว่าทั้งพ่อแม่ของเขาทำงาน ไม่มีใครเลยมีการประกันสุขภาพ และพ่อของชูลท์ได้สูญเสียงานของเขาภายหลังหัวเข่าแตก นี่เป็นช่วงเวลาลำบากต่อครอบครัวของชูลท์ ยากจนเกินไปที่จะวางอาหารบนโต๊ะ เมื่อพ่อของเขาเข่าแตกตอนทำงานเมื่อ ค.ศ 1961 เฟรดไม่ได้ไปทำงาน นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้รับรายได้ แม่ของเขาท้องเจ็ดเดิือน และไม่สามารถทำงานด้วย เมื่อผู้เก็บเงินโทรศัพท์มา ชูลท์หรือพี่น้องของเขาได้ถูกบอกให้รับโทรศัพท์ และหลอกว่าพ่อเเม่ของพวกเขาไม่อยู่บ้าน ชูลท์ ได้เขียนว่า ครอบครัวของเขาไม่มีรายได้ ไม่มีการประกันสุขภาพ ไม่มีอะไรช่วยยามคับขัน
เขาไม่รู้ว่าจากนั้นเขาได้กลายเป็นนักธุรกิจและผู้สร้างงาน แต่เขาได้เขียนว่า
“ผมรู้ภายในใจของผมว่าถ้าผมอยู่ภายในตำแหน่งที่ผมสามารถสร้างความแตกต่างได้ ผมจะไม่ทิ้งบุคคลไว้ข้างหลัง”
Pour Your Heart Into It เป็นเรี่องราวส่วนบุคคลของผู้ก่อตั้งสตาร์บัคส์
โฮวาร์ด ชูลท์ สร้างตราสินค้าผู้บริโภคที่สำคัญและโมเดลธุรกิจดารายึดเหนี่ยวภายในความลุ่มหลงและค่านิยมอย่างไร เขาได้ประกาศว่า ความสำเร็จไม่ควรจะถูกวัดด้วยเงิน มันเกี่ยวกับเราทำการเดินทางอย่างไร และหัวใจของเราเมื่อสิ้นสุดยิ่งใหญ่แค่ไหน
ถ้าเรานิยามใหม่ตลาด เราต้องนิยามใหม่ผลิตภัณฑ์ของเรา สตารบัคสได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดหลายครั้ง เมื่อพวกเขาได้เริ่มต้นโดยการขายเมล็ดกาแฟ และจากนั้นก้าวไปสู่เครื่องดื่ม เราสามารถทดลองกับตราสินค้า เมื่อมันมั่นคงแล้ว มันเป็นไปได้ที่จะนิยามใหม่ผลิตภัณฑ์ของเราโดยไม่ประนีประนอมกับความสมบูรณ์ของมัน นี่เป็นเส้นทางยากที่จะเดิน ดังที่
สตารบัคสปฏิเสธที่จะยอมรับหุ้นส่วน ถ้าพวกเขาไม่เต็มใจจะผูกพันกับอุดมคติของความเป็นเลิศ เมื่อเราทำข้อเสนอกับลูกค้าของเรา เมื่อเราสัญญาพวกเขาต่อระดับของคุณภาพเฉพาะ เราไม่สามารถกลับคำมันได้ ถ้ายูไนเต็ด แอร์ไลน์
ไม่สามารถจัดหากาแฟคุณภาพเดียวกับของสตาร์บัคส์ พวกเขาจะสูญเสียลูกค้า ถ้าเราต้องการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ณ อัตราที่รวดเร็ว เราต้องการผู้บริหาร ระบบ และกระบวนการที่สามารถจัดการมันได้ เราควรจะลงทุนภายในโครงสร้างพื้นฐานของเราเพื่ออนาคต นั่นหมายถึงการลงทุนที่ยิ่งใหญ่กว่าที่จำเป็นต่อวันนี้
มันเป็นสิ่งที่ดีอยู่เสมอที่จะระมัดระวังเงินของเรา เพราะว่าเราไม่ต้องการใช้มากเกินไป แต่กระนั้นภายในธุรกิจ มันมักจะจำเป็นต้องเสี่ยงภัยและลงทุนมากกว่าที่เราสามารถรับภาระได้ สตาร์บัคส์ได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มันเป็นไปไม่ได้โดยไม่ลงทุนภายในตัวมันเองก่อน บริษัทส่วนใหญ่ขาดทุนเมื่อพวกเขาเริ่มต้นตอนแรก แต่กระนั้นถ้าเราลงทุนมากกว่าเส้นโค้งการเจริญเติบโต เราสามารถมั่นใจว่าบริษัทของเราจะทำกำไรในอนาคต
ถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างที่บุคคลคุ้นเคย หรือเราพยายามสร้างบางสิ่งบางอย่างใหม่ มันสำคัญที่จะนำด้วยหัวใจของเรา ถ้าเราพยายยามเปลี่ยนแปลงจิตใจของบุคคลบางคนด้วยการดึงดูดด้วยเหตุผลเท่านั้น พวกเขาจะต่อต้านความพยายามของเรา
โฮวาร์ด ชูลท์ได้ตัดสินใจที่จะสร้างชีวิตที่ดีขึ้น ชูลท์ ได้กล่าวว่าเขาต้องการสร้างบริษัทที่พ่อของเขาไม่เคยมีโอกาสทำงานอยู่เสมอ นั่นคือเขาต้องการที่จะสร้างบริษัทที่ปฏิบัติบุคคลทุกคนด้วยศักดิ์ศรีผ่านทางประโยชน์ที่มองเห็นได้
โฮวาร์ด ชูลท์ สร้างสตาร์บัคส์เป็นตราสินค้าที่ยิ่งใหญ่ด้วยวิถึทางของเขาเอง เขาทำมันโดยการมุ่งที่ความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัท และความต้องการของลูกค้า ไม่ใช่เดินตามตำราของคณะบริหารธุรกิจ
สตาร์บัคส์ ได้ทำงานหนักที่จะสร้างความไว้วางใจกับบุคคลและลูกค้าของพวกเขา สุภาษิตของบริษัทสะท้อนว่า ปฏิบัติต่อบุคคลเหมือนกับครอบครัว และพวกเขาจะจงรักภักดี สตาร์บัคส์นำเสนอประโยชนที่ยิ่งใหญ่แก่บุคคลทำงานเต็มเวลา ไม่เต็มเวลามีสิทธิต่อความเป็นเจ้าของหุ้นด้วย ดังนั้นบุคคลทุกคนเป็นหุ้นส่วน เรามีพันธะที่ยิ่งใหญ่ระหว่างสตาร์บัคส์และบุคคลของเรา พวกเขาไว้วางใจผู้บริหาร ดังนั้นพวกเขาได้ปฏิเสธที่จะมีสหภาพเมื่อ ค.ศ 1992
สตาร์บัคส์มีลูกค้าจงรักภักดีจำนวนมาก พวกเขาเต็มใจจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเครื่องดื่มของพวกเขา บริษัทสร้างตราสินค้ารอบความไว้วางใจที่สร้างกับลูกค้า การทักทายพวกเขาส่วนบุคคล และจดจำคำสั่งซื้อของพวกเขา
สตาร์บัคส์รับรู้ว่าความไว้วางใจเป็นทรัพย์สินที่สำคัญต่อธุรกิจทุกอย่าง ดังนั้นมันต้องมั่นใจว่าลูกค้าทุกคนรู้สึกการต้อนรับที่ดีภายในร้าน
บุคคลบางคนเปลี่ยนแปลงค่านิยมของพวกเขาตามสถานการณ์ แต่มันไม่ดีต่อธุรกิจ บุคคลและลูกค้าของเราจะรำคาญ ถ้าพวกเขารู้ว่าเรากำลังเปลี่ยนแปลงค่านิยมของเราตลอดเวลา มันสำคัญที่จะยืนหยัดหลักการแกนของเรา ดังนั้นบุคคลและลูกค้ารู้สิ่งที่คาดหวังจากเรา ค่านิยมแกนของสตาร์บัคส์คือ ความน่าเชื่อถีอ ดังนั้นพวกเขาจะปฏิเสธคำร้องขอของลูกค้าที่จะสนับสนุนหลักการนั้น
เช่น เมื่อเมล็ดกาแฟกลายเป็นหามาได้จากร้านอื่น ลูกค้าหลายคนได้ถามมัน ณ สตาร์บัคส์ แต่กระนั้นเนื่องจากเมล็ดกาแฟเหล่านั้นมีสารเคมี สตาร์บัคส์ไม่ได้ผลิตมันนับแต่นั้นมา สตาร์บัคส์ได้บดเมล็ดกาแฟของบริษัทอื่นแก่เรา

กลยุทธ์ความรับผิดชอบทางสังคมของสตาร์บัคส์อยู่บนพื้นฐานของเสาสามเสา การบริการชุมชน การจัดหาอย่างมีจริยธรรม และสิ่งแวดล้อม
1 การบริการชุมชน
สตาร์บัคส์ได้พยายามคืนกลับแก่ชุมชนที่ได้ดำเนินธุรกิจอยู่ พวกเขาได้พัฒนาร้านชุมชน ด้วยการสนับสนุนโรงเรียนท้องที่ และการรักษาสิ่งแวดล้อม
ตั้งแต่เพื่อนบ้านตรงที่ร้านของเราได้ตั้งอยู่ ไปสู่ตรงที่กาแฟของเราได้ถูกปลูก
เราเชื่อต่อการมีส่วนร่วมภายในชุมชนที่เราเป็นส่วนหนึ่ง การรวมบุคคลเข้าด้วยกัน การบันดาลใจการเปลี่ยนแปลง และการสร้างความแตกต่างชีวิตของบุคคล
มันเป็นทุกส่วนของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และมันเป็นความผูกพันบนรากฐานความเชื่อว่าเราสามารถใช้ขนาดของเราที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางบวก
เราเชื่อว่าการมีส่วนร่วมภายในชุมชนของเราไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องทำเท่านั้น มันเป็นธุรกิจที่ดีด้วย สตาร์บัคส์ กำลังทำงานเชื่อมโยงบุคคลวัยหนุ่มสาวกับทักษะ
และฝึกอบรมที่พวกเขาต้องการบรรลุความสำเร็จภายในเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ร้านของเราและความสัมพันธ์ของเรากับองค์การไม่แสวงหากำไรท้องที่ กำลังช่วยสร้างเส้นทางใหม่ไปสู่โอกาสเพื่อบุคคลวัยหนุ่มสาวภายในชุมชนทั่วโลก ด้วยการสร้างความผูกพันกับชุมชนต่อไปของเรา
มูลนิธิสตาร์บัคส์สนับสนุนโครงการที่กระทบเยาวชนและชุมชนต้นกำเนิด มากขึ้นกว่าเดิม ชุมชนกำลังมองหาภาคเอกชนที่จะร่วมทรัพยากร และสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เราได้ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของบุคคลที่ลุ่มหลงสร้างผลกระทบทางบวกภายในชุมชนของพวกเขา การบริการชุมชนตอบคำถาม เราสามารถเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และสร้างสถานที่ของการเป็นส่วนหนึ่งภายในความเป็นเพื่อนบ้านของเราอย่างไร เรามุ่งหมายที่จะเกี่ยวพันผ่านทางหุ้นส่วนของเรา – บุคคลของสตาร์บัคส์ ความฝันที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับเราสามารถบรรลุความสำเร็จอะไร และเฉลิมฉลองเหตุการณ์และโครงการ
ณ สตาร์บัคส์ เราเชื่อว่าหุ้นส่วนร้านของเราเป็นจุดศูนย์กลางของชุมชนของเรา พวกเขาได้บริการอย่างเข้มแข็งภายในชุมชนของพวกเขา นับตั้งแต่การก่อตั้งสตาร์บัคส์ เราพยายามทำให้ง่ายขึ้นต่อหุ้นส่วนของเราที่จะสร้างโครงการ
และความสัมพันธ์กับองค์การท้องที่
2 การจัดหาอย่างมีจริยธรรม
การจัดหาอย่างมีจริยธรรมกำหนดวิถีทางที่สตาร์บัคส์ซื้อผลิตภัณฑ์ของพวกเขา บริษัทผูกพันที่จะมั่นใจว่ากาแฟ ชา โกโก้ ของพวกเขาถูกผลิตและซื้ออย่างมีจริยธรรมและรับผิดชอบ สตาร์บัคส์ ได้กล่าวว่าความสำเร็จของเราในฐานะของบริษัทได้ถูกเชื่อมโยงอยู่เสมอกับความสำเร็จของเกษตรกรและซัพพลายเออร์หลายพันคนที่ปลูกและผลิตผลิตภัณฑ์ของเรา ดังนั้นพวกเขา
ซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากไร่และผู้ผลิตที่ยึดมั่นต่อมาตรฐานของการปฏิบัติอย่างมีจริยธรรมเท่านั้น และมันเป็นเป้าหมายของเราต่อกาแฟของเราที่จะเจริญเติบโตภายใต้มาตรฐานคุณภาพสูงสุด
การใช้การค้าอย่างมีจริยธรรม และการเจริญเติบโตอย่างรับผิดชอบ เราคิดว่ามันเป็นถ้วยกาแฟที่ดีขึ้นที่ช่วยสร้างอนาคตที่ดีขึ้นต่อเกษตรกร และบรรยากาศที่เสถียรต่อโลกด้วย การเจริญเติบโตอย่างรับผิดชอบและการค้ากาแฟอย่างมีจริยธรรมหมายถึงการทำงานกับเกษตรที่จะผลิตกาแฟภายในวิถีทางที่ให้ประโยชน์แก่ธุรกิจของเรา ชุมชนและสิ่งแวดล้อมของเรา เราผูกพันทำงานกับเกษตรกรกาแฟ ชา และโกโก้ที่จะพัฒนาการปฏิบัติปฐพีศาสตร์อย่างรับผิดชอบ เราได้ลงทุนภายในชุมชนของพวกเขาที่จะช่วยปรับปรุงชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรและชุมชนของพวกเขา
การให้รางวัลแก่ผู้ปลูกกาแฟที่ได้รักษาสิ่งแวดล้อม บริษัทได้เรียกการปฏิบัตินี้ว่าการจัดหาอย่างยั่งยืน ผู้บริหารบริษัทเชื่อว่าการจัดหาอย่างยั่งยินเป็นหลักการที่สำคัญของกลยุทธ์การเจริญเติบโตทั่วโลก การช่วยสร้างตราสินค้าสินค้าสตาร์บัคส์ การริเริ่มความรับผิดชอบทางสังคมแก่ผู้ปลูกกาแฟ เป็นวิถีทางอย่างหนึ่งที่สตาร์บัคส์ตอบสนองต่อข้อวิจารณ์จากขบวนการ “การค้าที่ยุติธรรม” เพื่อที่จะสนับสนุนการให้รายได้ที่เป็นธรรมแก่เกษตรกรภายในประเทศที่กำลังพัฒนา เนื่องจากข้อกล่าวหาสตาร์บัคส์จากการให้รายได้ที่ต่ำแก่ผู้ปลูกกาแฟ สตาร์บัคส์ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
สตาร์บัคส์มีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ดีต่อความรับผิดชอบทางสังคม ภายใต้อัตราการเจริญเติบโตของบริษัท 20% ต่อปี บริษัทต้องการความมั่นใจว่าอุปทานในอนาคตของเมล็ดกาแฟต้องคาดคะเนได้และไว้วางใจได้แก่ลูกค้า ถ้าอุปทานเมล็ดกาแฟของสตาร์บัคส์ได้ถูกทำลายลงไป การเจริญเติบโตและคุณภาพกาแฟของบริษัทจะเผชิญกับความเสี่ยงภัยสูง เพื่อการป้องกันอุปทานเมล็ดกาแฟ สตาร์บัคส์เชื่อว่าการเลี้ยงดูหุ้นส่วนผู้ปลูกกาแฟมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
ณ เวลาเดียวกันเพื่อที่จะป้องกันตราสินค้าสตาร์บัคส์ไว้ด้วย บริษัทต้องแน่ใจว่าผูู้ปลูกกาแฟได้ร่วมความผูกพันต่อการรักษาคุณภาพของกาแฟสตาร์บัคส์ ดังนั้นบริษัทได้มีโครงการดึงดูดและให้รางวัลแก่ผู้ปลูกกาแฟที่ผูกพันต่อความรับผิดชอบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม บริษัทเชื่อว่าผู้ปลูกกาแฟที่ดูแลคนงานและที่ดินอย่างดีที่สุด ย่อมจะเป็นซัพพลายเออร์ที่มีประสิทธิภาพและรับผิดชอบมากที่สุด – หุ้นส่วนที่สตาร์บัคส์ต้องการมากที่สุด
ผู้ปลูกกาแฟที่กลายเป็นซัพพลายเออร์ของสตาร์บัคส์ต้องสมัครเข้าโครงการของบริษัท ผู้ตรวจสอบจะประเมินผู้สมัครด้วยเครื่องวัด 20 ตัว เพื่อที่จะพิจารณาว่าผู้ปลูกกาแฟ ยึดมั่นกับการรักษาสิ่งแวดล้อม : วิธีการรักษาดินที่หายากปลูกกาแฟคุณภาพสูง และความรับผิดชอบทางสังคมยั่งยืนแค่ไหน การลดความเสี่ยงภัยที่ซัพพลายเออร์จะทำผิดกฏหมาย
ซัพพลายเออร์ที่ถูกยอมรับเข้าโครงการต้องได้คะแนนตามเกณฑ์ของสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ผู้ปลูกกาแฟยิ่งได้คะแนนสูงเท่าไร สตาร์บัคส์ยิ่งให้รายได้แก่พวกเขาสูงขึ้นเท่านั้น ผู้ปลูกกาแฟจะได้รับเงินเพิ่มขึ้น 5% จากเมล็ดกาแฟแต่ละปอนด์ที่ขาย พวกเขาได้รับสัญญาระะยะยาว เพื่อที่จะลดความเสี่ยงภัยทางตลาด และได้รับสินเชื่อที่จะลงทุนส่งเสริมความยั่งยืนด้วย
สตาร์บัคส์มีเป้าหมายระยะยาว 60% ของกาแฟต้องได้มาจากผู้ปลูกกาแฟเหล่านี้

3 การรักษาสิ่งเเวดล้อม
เราเชื่อต่อความสำคัญของการดูแลโลกของเรา และการทำงานกับและการ
กระตุ้นบุคคลอื่นทำอย่างเดียวกัน ด้วยบริษัทที่ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์เกษตร มันเป็นเหตุผลทางธุรกิจที่ดี และในฐานะของบุคคลมีชีวิตอยู่ภายในโลก มันเป็นเพียงแค่สิ่งต้องทำ เราผูกพันต่อการทำให้รอยเท้าทางสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด การลดของเสียที่ร้านของเราได้สร้าง สตาร์บัคส์อ้างว่าโลกเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจสำคัญที่สุดของพวกเขา และใช้วิถีทางที่ครอบคลุมที่จะลดผล
กระทบทางสิ่งเเวดล้อม เพื่อการกระทำสิ่งนี้ พวกเขาได้สร้างร้านการรับรองของลีด ความผูกพันต่อการรีไซเคิล และการรักษาน้ำและพลังงาน และการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของโลก โดยทั่วไปสตารบัคสได้พยายามเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเท่าที่เป็นไปได้ภายในทุกด้านของการทำธุรกิจของพวกเขา
การรักษาสิ่งแวดล้อมของสตาร์บัคส์ เป็นตัวอย่างที่ดีของความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัท สตาร์บัคส์ได้ใช้ถ้วยกระดาษและที่สวมแก้วกระดาษด้วยการใช้กระดาษรีไซเคิลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานของสตาร์บัคส์ สตาร์บัคส์
บริการกาแฟสดต้มแก่ลูกค้าหลายล้านคนแตละวัน แต่บุคคลหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าพวกเขาสามารถหยิบถุงกากกาแฟฟรีที่จะใช้เป็นปุ๋ยปลูกต้นไม้ภายในสวนของพวกเขาได้ สตาร์บัคส์ได้เริ่มต้นโครงการของพวกเขา “Grounds for Your Garden” เมื่อ ค.ศ 1995 บนพื้นฐานของการบริการมาก่อนได้ก่อนภายในร้าน แม้ว่าบรรจุภัณฑ์ได้ถูกนำมาใช้ใหม่ บาริสต้าได้ตักกากกาแฟใส่ถุงเปล่าเริ่มแรกถูกใช้ส่งเมล็ดเอสเพรสโซไปยังร้าน โครงการนี้เป็นชนะ ชนะ ต่อทั้งสตาร์บัคส์และลูกค้าของเรา เราสามารถเอาวัตถุที่มีคุณค่าออกจากพื้นที่ทิ้งขยะ และนำมันมาใช้ประโยชน์
ภายใน 20 ปีของพวกเขา Ground for Your Garden ได้วิวัฒนาการกลายเป็นส่วนที่สำคัญของความพยายามของสตาร์บัคส์ที่จะลดผลกระทบทางสิ่งเเวด
ล้อมต่อร้านของพวกเขา แม้ว่าการทำปุ๋ยหมักอาจจะหามาไม่ได้ทางการค้าภายในท้องที่ โครงการได้ถูกใช้เป็นวิถีทางอย่างหนึ่งที่จะใช้ใหม่กากกาแฟ
วิสัยทัศน์ของเราคือ การรีไซเคิลและการลดของเสียภายในร้านของเราเท่าที่เป็นไปได้ นี่เป็นวิถีทางอย่างหนึ่งที่เราสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ในขณะที่จัดหาบางสิ่งบางอย่างแก่ลูกค้าของเราในเวลาเดียวกัน
ผู้ทำสวนได้ถูกกระตุ้นขอความช่วยเหลือของร้านสตาร์บัคส์ท้องที่ของพวกเขา และหยิบถุงกากกาแฟฟรีของร้านที่จะช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของพืช
สภาจัดสรรและสวนของอังกฤษได้ร่วมประโยชน์ของกากกาแฟบนการเพาะปลูกกับสมาชิกของพวกเขา พวกเขาสามารถไปเยี่ยมร้านสตาร์บัคส์ท้องที่
และหยิบถุงกากกาแฟ
เมื่อมองดู ณ ของเสียที่สร้าง ณ ร้านสตาร์บัคส์ ส่วนใหญ่มันจะถูกพบข้างหลังคาวเตอร์ หรือภายในห้องข้างหลัง ด้วยรูปแบบของกล่องกระดาษแข็ง
เหยือกนม ขวดไซรัป และกากกาแฟ ร้านหลายแห่งของเรารีไซเคิลรายการเหล่านี้ แต่เพราะว่ามันได้ถูกทำข้างหลังคาวเตอร์และห้องข้างหลัง มันไม่ได้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ลูกค้าของเรามองเห็น อะไรที่พวกเขามองเห็นคือสิ่งที่ปรากฏภายในบริเวณร้านกาแฟ
ร้านกาแฟที่ตกแต่งด้วยโต๊ะและตะเกียงทำจากของเสียกาแฟกำลังได้รับการตอบสนองทางบวกจากลูกค้า สตาร์บัคส์เกาหลีได้เปิดร้านประดับด้วยเครื่องตกแต่งทำจากกากกาแฟ บริษัทได้ประกาศที่จะเพิ่มจำนวนร้านประดับเครื่องตกแต่งทำจากกาแฟรีไซเคิล เมื่ออัดด้วยสารยึดติด ของเสียกาแฟ กากกาแฟที่ใช้แล้ว สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นชิ้นส่วนที่หลากหลายของเครื่องตกแต่งและการตกแต่งภายในได้ โต๊ะกาแฟ ณ ร้าน ทำจากของเสียกาแฟอัด
เข้าด้วยกันด้วย

เมื่อ ค.ศ 1950 ยุคสมัยใหม่ของความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัท ได้ถูกกระตุ้นจากหนังสือของโฮวาร์ด โบเว็น เมื่อ ค.ศ 1953 โฮวาร์ด โบเว็น อธิการบดีของมหาวิทยาลัยกรินเนลล์ ตั้งแต่ ค.ศ 1955 ถึง ค.ศ 1964
ได้พิมพ์หนังสือของเขาชื่อ Social Responsibilities of the Businessman เขาได้ถูกยกย่องว่าเป็นผู้สร้างถ้อยคำ ความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัท : ซีเอสอาร์ และบางทีเป็นบิดาของความรับผิดชอบทางสังคม หนังสือเล่มนี้ได้ถูกพิจารณาว่าเป็นรากฐานของการศึกษาความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัท
โฮวาร์ด โบเว็น ได้ถามว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมอะไรบ้างที่นักธุรกิจได้ถูกคาดหวังอย่างมีเหตุผลให้รับผิดชอบ เขาได้ให้คำนิยามความรับผิดชอบทางสังคมว่าหมายถึงข้อผูกพันของนักธุรกิจ เพื่อที่จะมุ่งนโยบาย ทำการตัดสินใจ หรือดำเนินการกระทำ ตามความปราถนา ในแง่ของวัตถุประสงค์และค่านิยมทางสังคมของเรา ผลงานของโฮวาร์ด โบเว็น ได้ดำเนินตามความเชื่อว่าธุรกิจขนาดใหญ่ที่สุดหลายร้อยอย่างภายในอเมริกาเป็นจุดศูนย์กลาของอำนาจ
และการตัดสินใจและการกระทำของบริษัทเหล่านี้สัมผัสชีวิตของประชาชนภายในหลายทาง
โฮวาร์ด โบเว็นได้มีคำถามที่สำคัญที่ปัจจุบันยังคงถามอยู่คือ ความรับผิดชอบอะไรต่อสังคมที่นักธุรกิจชายได้ถูกคาดหวังให้รับผิดชอบ ตามชื่อหนังสือของโฮวาร์ด โบเว็น นี่คือช่วงเวลาที่เราไม่มีนักธุรกิจหญิง หรือมีจำนวนน้อยมาก และไม่ได้ถูกยอมรับภายในข้อเขียนอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่นั้นมาเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ เรามีนักธุรกิจหญิงจำนวนมากได้ยุ่งเกี่ยวกับความรับผิดชอบทางสังคมอย่างเข้มแข็ง
ประวัติของความรับผิดชอบทางสังคมสามารถย้อนร้อยกลับไปยังบทความที่เสียชื่อเสียงในขณะนี้ของมิลตัน ฟรีดแมน ชื่อ The Social Responsibility of Business is to Increase Its Profit วารสารนิวยอร์คไทม์ เมื่อ ค.ศ 1970 มิลตัน ฟรี ดแมน ได้เขียนไว้ 35 ปีที่แล้ว และไม่ได้เป็นเอกสารทางวิชาการ เนื่องจากพิมพ์ภายในวารสารนิวยอร์ค ไทม์ แต่กระนั้นวงการวิชาการได้มีการพิมพ์และใช้ภายในห้องเรียน มิลตัน ฟรีดแมน ได้เขียนว่า ความรับผิดชอบทางสังคม เป็นความเชื่อที่ทำลายโดยพื้นฐานภายในสังคมเสรี เขาเชื่อว่าบริษัทมีความรับผิดชอบทางสังคมอย่างเดียวเท่านั้นคือ ผู้ถือหุ้น ยิ่งกว่านั้นเขายืนยันว่าบริษัทที่รับเอาทัศนคติรับผิดชอบเผชิญกับข้อจำก้ดที่ผูกพันมากกว่าบริษัททีไม่ไดรับเอาไว้ การทำให้พวกเขาสามารถแข่งขันได้น้อยลง
มิลตัน ฟรีดแมน ไม่ได้พูดว่าองค์การไม่อาจจะมีความรับผิดชอบทางสังคม
แต่เขาคิดว่าบริษัทควรจะมีความรับผิดชอบทางสังคม แต่เป็นความรับผิดชอบทางสังคมที่เป็นการทำกำไรสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้น
เรามีมุมมองของความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัทเกิดขึ้นจำนวนมาก แต่เรามีมุมมองหนึ่งที่ได้ถูกใช้ภายในสิ่งตีพิมพ์และการปฏิบัติอยู่หลายทศวรรษคือ พีระมิดของความรับผอดชอบทางสังคมของอาชี แคร์รอลล์ นักวิชาการ มหาวิทยาลัยจอร์เจีย
เขาได้เขียนบทความเรื่อง The Pyramid of Corporate Social Responsibility : Toward the Moral Management of Organizational Stakeholders ภายในวารสารบิสซิเนส โฮไรซอนส์ ค.ศ 1991 อาชี แคร์รอลล์ ได้สร้างคำอธิบายความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัทเป็นรูปพีระมิดสี่ส่วน
เวย์น วิสเซอร์ ได้กล่าวว่า พีระมิดของความรับผิดชอบทางสังคมของอาร์ชี แคร์รอลล์ น่าจะเป็นโมเดลของ ความรับผิดชอบทางสังคมที่รู้จักกันมากที่สุด
อาร์ชี แคร์รอลล์ ได้นำเสนโมเดลการปฏิบัติงานทางสังคมแบบสามมิติ ภายในบทความเรื่อง A Three Dimensional Conceptual Model of Social Performance ภายในวารสาร อคาเดมี ออฟ แมเนจเม้นท์ รีวิว ค.ศ 1979
โมเดลการปฎิบัติงานทางสังคมของบริษัทของอาร์ชี แครร์ออลล์ อยู่บนพื้นฐานของมิติสามมิติคือ พีระมิดของความรับผิดชอบทางสังคม ปรัชญาของการตอบสนองทางสังคม และประเด็นสังคม – ผู้มีส่วนได้เสีย
มิติแรกของโมเดลคิอ การแบ่งความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัทเเป็นสี่ด้าน เศรษฐกิจ กฏหมาย จริยธรรม และเพื่อนมนุษย์ ความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจ ได้ถูกวางเป็นรากฐานของพีระมิด เพราะว่ามันเป็นความต้องการรากฐานของธุรกิจ เหมือนกับรากฐานของอาคาร ต้องแข็งแรงที่จะสนับสนุนทั้งอาคารได้ การทำกำไรที่ยั่งยืนต้องเข้มแข็ง เพื่อที่จะสนับสนุนความคาดหวังอย่างอื่นของสังคม ประเด็นคือ โครงสร้างพื้นฐานของความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัท ได้ถูกสร้างขึ้นมาบนสมมุติฐานของธุรกิจที่ดี ณ เวลาเดียวกันสังคมได้ถ่ายทอดข่าวสารไปยังธุกิจว่า ธุรกิจได้ถูกคาดหวังให้ทำตามกฏหมายและข้องบังคับ เพราะว่ากฏหมายและข้อบังคับเป็นกฏทางสังคม นอกจากนี้ธุรกิจได้ถูกคาดหวังให้ดำเนินงานด้วยวิถีทางทางจริยธรรม หมายความว่าธุรกิจต้องมีข้อผูกพันที่จะต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง และหลีกเลี่ยงหรือทำให้เสียหายน้อยที่สุดต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ประการสุดท้ายธุรกิจได้ถูกคาดหว้งให้เป็นพลเมืองบริษัทที่ดี นั่นคือการคืนกลับและการมีส่วนช่วยทางเพื่อนมนุษย์แก่สังคม
มิติที่สองของโมเดลคือ การพิจารณาปรัชญา วิถึทาง หรือกลยุทธ์เบื้องหลังที่ธุรกิจตอบสนองต่อความรับผิดชอบทางสังคมและประเด็นสังคม โดยทั่วไป
ถ้อยคำที่ถูกใช้อธิบายมิตินี้คือ การตอบสนองทางสังคม การตอบสนองทางสังคสามารถลำดับบนแนวต่อเนื่องตั้งแต่ไม่ตอบสนอง – ไม่ทำอะไรเลย ไปจนถึงการตอบสนองเชิงรุก – ทำมาก สมมุติฐานคือธุรกิจมีความรับผิดชอบทางสังคม และจุดมุ่งไม่ได้อยู่ที่การยอมรับของผู้บริหารต่อพันธะทางศีลธรรม แต่อยู่ที่ระดับและประเภทของการกระทำทางการบริหาร ภายในการเชื่อมโยงนี้
วิลเลียม เฟดเดอริค ได้แสดงมุมมองการตอบสนองทางสังคมด้วยถ้อยคำ
ซีเอสอาร์ 2 การตอบสนองทางสังคมของบริษัทอ้างถึงความสามารถของ
บริษัทที่จะตอบสนองต่อเเรงกดดันทางสังคม นักเขียนหลายคนได้ให้
กรอบข่ายความคิดที่อธิบายแนวต่อเนื่องของการตอบสนองด้วย เช่น เอียน
วิลสัน ยืนยันว่าเรามีกลยุทธ์ทางธุรกิจเป็นไปได้สี่อย่่าง – การตอบโต้ การป้องกัน การทำตาม การกระทำเชิงรุก เทอร์รี แมคอดาม ได้อธิบายปรัชญาความรับผิดชอบทางสังคมสี่อย่างที่เข้ากันได้ดีกับกลยุทธ์ของวิลสัน
อาร์ชี แครร์อลล์ ได้ให้ภาพรวมที่อธิบายการปฏิบัติงานของบริษัทตั้งแต่ ไม่ทำอะไรเลย ไปถึงทำมาก อาร์ชี เเคร์รอลล์ ได้อ้างถึงโมเดล
Philosophy of Social Responsiveness ของเอียน วิลสัน ต้นกำเนิดนำเสนอโดยเอียน วิลสันภายในหนังสือ 1975 ของเขา Changing Business-Society Interrelationship โมเดลอยู่บนพื้นฐานของปรัชญาหรือการตอบสนองทางสังคมสี่อย่างคือ การต่อต่าน การป้องกัน การทำตาม และการกระทำเชิงรุก
แต่ทั้งวิลสันและเเคร์รอลล์ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดบนการตอบสนองทางสังคมสี่อย่่าง
มิติที่สามของโมเดลคือ ประเด็นสังคมที่เกี่ยวพัน ภายในการพัฒนาโมเดลการปฎิบัติงานทางสังคมของบริษัท เราไม่เพียงแต่ต้องระบุประเภทของความรับผิดชอบทางสังคมเท่านั้น แต่เราต้องระบุประเด็นทางสังคมที่ความรับผิดชอบเหล่านี้ผูกอยู่ด้วย เเต่ไม่ได้ระบุอย่างละเอียดประเด็นทางสังคมที่บริษัทต้องจัดการ ปัญหาที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงประเด็นสังคม และมันแตกต่างกันต่ออุตสาหกรรทที่แตกต่างกัน บุคคลไม่ต้องประหลาดใจ
ประเด็นสังคมวิวัฒนาการภายใต้ข้อควรประพฤติของความรับผิดชอบทางสังคม การรับรู้มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างไร เช่น ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ สุขภาพทางอาชีพ และจริยธรรมธุรกิจไม่ได้เป็นความสนใจที่สำคัญเมื่อไม่นานมานี้เท่ากับทศวรรษที่แล้ ขอบเขตของประเด็นสังคม
หมายถึง สิ่งแวดล้อมทางสังคมที่บริษัทจะต้องรับผิดชอบ เช่น ผู้บริโภคนิยม สิ่งแวดล้อม และความยากจนของสังคม

เริ่มแรกเรามีแนวคิดของความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัท ต่อมาแนวคิดอย่างเดียวกันได้ปรกกฏขึ้น การตอบสนองทางสังคมของบริษัทที่ได้กลายเป็นแนวคิดทางเลือกที่สำคัญ : ซีเอสอาร์ 2 ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างความรับผิดชอบทางสังคมและการตอบสนองทางสังคมคือ ความรับผิดชอบทางสังคมเป็นข้อผูกพันทางจริยธรรมและศีลธรรมของบุคคลหรือองค์การต่อสังคม ในขณะที่การตอบสนองทางสังคมเป็นวิถีทางที่บุคคลหรือองค์การตอบสนองต่อความต้องการของสังคม
ถ้อยคำความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัทได้ถูกสร้างอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ 1953 โดยนักเศรษฐศาสตร์อเมริกัน โฮวาร์ด โบเวนภายในสิ่งพิมพฺ์ของเขา
Social Responsibities of the Businessman ด้งนั้นโฮวาร์ด โบเวน มักจะถูกอ้างเป็นบิดาของซีเอสอาร์
ซีเอสอาร์ 2 สามารถถูกรับรู้เป็นทางเลือกหนึ่งของซีเอสอาร์ หรือมันสามารถ
ถูกมองเป็นปรัชญา สไตล์ หรือกลยุทธ์ของการตอบสนองที่บริษัทใช้กับปัญหาทางสังคมที่มีตัวตน นับตั้งแต่ ค.ศ1970 เรามีการอภิปรายเกี่ยวกับการตอบสนองทางสังคมของบริษัทโดย เซธี มองว่าซีเอสอาร์ 2 เป็นการปรับตัวของพฤติกรรมของบริษัทต่อความต้องการทางสังคม เขาได้เสนอแนะโครงสร้างสามขั้นตอนต่อการแยกประเภทพฤติกรรมบริษัทภายในการตอบสนองความต้องการทางสังคม : พันธะทางสังคม ความรับผิดชอบทางสังคม และการตอบสนองทางสังคม
เมื่อเปรียบเทียบกับซีเอสอาร์ มันเป็นไปได้ที่จะกล่าวว่าซีเอสอาร์ 2 ไม่ได้อภิปรายความรับผิดชอบทางจริยธรรมและสังคม มันจะสร้างการตอบสนองที่เป็นตัวตนต่อความรับผิดชอบทางสังคม มันสามารถเป็นช่วงห่างตั้งแต่การตอบสนองเป็นศูนย์ – ไม่ทำอะไรเลย ไปถึงการตอบสนองเชิงลึก – ทำเต็มที่
วอร์ทิค ได้ค้นหาความแตกต่างที่สำคัญระหว่างซีเอสอาร์ และซีเอสอาร์ 2 และพวกเขาได้สรุปผลลัพธฺ์ด้วยหกด้านของความแตกต่าง โมเดลการตอบสนองของเอียน วิลสัน “Philosophy of Social Responsiveness” ได้เสนอแนะการตอบสนองของบริษัทสี่อย่างคือ การต่อต้าน การป้องกัน การทำตาม และการ
กระทำเชิงรุก การแยกประเภทขอเอียน วิลสันได้กลายเป็นโมโดลการแยกประเภทที่นิยมแพร่หลายที่สุด ต่อมาได้ถูกเรียกว่ามาตราส่วนอารดีเอพี
บริษัทแต่ละบริษัทใช้วิถีทางที่แตกต่างกันของความรับผิดชอบทางสังคม บริษัทบางบริษัทจะมีความรับผิดชอบทางสังคมน้อย เพื่อที่จะมุ่งการทำกำไรแก่่ผู้ถือหุ้นของพวกเขา ในขณะที่บริษัทบางบริษัทจะมีความรับผิดชอบทางสังคมมาก ด้วยการมุ่งไปข้างหนัาและเชิงรุก เอียน เอข วิลสัน ได้เสนอแนะเเนวต่อเนื่องของกลยุทธ์ความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัท เขาได้กำหนดจุดแตกต่างกันสี่จุดบนแนวต่อเนื่อง การแยกประเภทของเอียน วิลสัน ได้กลายเป็นโมเดลการแนกประเภทที่นิยมแพร่หลายมากที่สุด เราสามารถใช้แนวต่อเนื่อง เพื่อที่จะพิจารณากลยุทธ์ความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัทตั้งแต่น้อยไปหามากได้
1 การขัดขวาง
บริษัทที่ใช้กลยุทธ์การขัดขวางความรับผิดชอบทางสังคม จะไม่เลิอกการกระทำอย่างมีความรับผิดชอบทางสังคม พวกเขาป้องกันการทำกำไร ด้วยการปิดกั้นการชี้ให้เห็นการขาดความรัยผิดชอบทางสังคมของบริษัท
เรามีตัวอย่างคลาสสิคของแมนวิลล์ คอรปอเรชั่น แผนกแพทย์ของบริษัท ได้พบว่าการสูดสารเยื่อใยหินภายในโรงงานทำให้เป็นโรคปอด แทนที่จะค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหา ผู้บริหารได้พยายามปกปิดข้อเท็จจริงไว้ พวกเขาจะมุ่งการทำกำไรมากกว่าสุขภาพและความปลอดภัย ในที่สุดเมื่อข้อเท็จจริงได้ถูกเปิดเผย บริษัทได้ถูกฟ้องร้องต้องชดใช้ค่าเสียหาย 2.6 พันล้านเหรียญ
บริษัทมักจะทำผิดกฏหมายและจริยธรรม และทำอะไรก็ตามด้วยอำนาจของพวกเขาที่จะหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษจากความผิดของพวกเขา บริษัทได้หลีกเลียงความรับผิดชอบทางสังคม ผู้บริหารจะมีพฤติกรรมที่ขาดจริยธรรมและ
ผิดกฏหมาย พวกเขาพยายามจะหลบซ่อนผู้มีส่วนได้เสียหรือสังคม
2 การป้องกัน
บริษัทที่ใช้กลยุทธ์การป้องกันของความรับผิดชอบทางสังคม จะทำทุกสิ่งทุกอย่างตามกฏหมายอย่างเคร่งครัดเท่านั้น ไม่มีการกระทำอะไรที่มากว่ากฏหมาย ในขณะที่ผู้บริหารจะพยายามแสวงหาการป้องกันด้วยการทำตามกฏหมายให้น้อยที่สุดด้วย และไม่พยายามเลยพ้นไปจากที่กฏหมายได้ระบุไว้
เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ได้สร้างหมอกควันจำนวนมากภายในอากาศ ผู้ผลิตรถยนต์ได้โต้แย้งว่าหมอกควันเกิดขึ้นจากการบำรักษารถยนต์ไม่ดี เมื่อมีการเรียกร้องความปลอดภัยของรถยนต์ภายในสังคม ผู้ผลิตรถยนต์จะโด้แย้งว่าความไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นจากผู้ขับรถยนต์ไม่ดี
3 การทำตาม
บริษัทที่ใช้กลยุทธ์การทำตามของความรับผิดชอบทางสังคม จะยอมรับว่าความรับผิดชอบทางสังคมมีความสำคัญ บางทีสำคัญเท่ากับการทำกำไร บริษัทจะทำตามกฏหมาย และมาตรฐานทางจริยธรรม ผํูบริหารจะทำตามการเรียกร้องทางสังคมทุกอย่าง พวกเขาจะพยายามรักษาความสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และเลือกการกระทำที่มีเหตุผลตามสายตาทางสังคม การทำความสะอาดคราบน้ำมัน ณ อ่าวพริ้น วิลเลี่ยม ซาวด์ อลาสก้า ของเอ็กซ์ซอน
เกิดขึ้นจากการประท้วงอย่างรุนแรงของประชาชน บริษัทยินยอมจะมีส่วนร่วมทางสังคม แต่บุคคลจะต้องจูงใจว่าบริษัทมีคุณค่าต่อการสนับสนุน บริษัทจะตอบสนองต่อการร้องขอการบริจาคเงินเพื่อการกุศล จุดสำคัญคือเราต้องเคาะประตูและเรียกร้อง บริษัทจะไม่ยอมแสวงหาวิถีทางเพื่อการมีส่วนช่วยทางสังคมเลย
4 การกระทำเชิงรุก
บริษัทที่ใช้การกระทำเชิงรุกของความรับผิดชอบทางสังคม จะให้ความรับผิดชอบทางสังคมมาก่อน แม้ว่าอาจจะทำให้กำไรของบริษัทต้องลดลง บริษัทมักจะทำเลยพ้นไปจากความคาดหวังของสังคม พวกเขาจะมุ่งการกระทำเชิงรุกปรับปรุงสังคมอย่างเข้มแข็ง การออกไปจากวิถีทางของบริษัท เพื่อที่จะเรียนรู้ความต้องการของกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียที่แตกต่างกัน และเต็มใจจะใช้ทรัพยากรของบริษัทส่งเสริมผลประโชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ฮิวเลตต์-แพคการ์ด บอดี้ ช้อป แมคโดนัลด์ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และสตาร์บัค คอฟฟี่ จะอยู่แนวหน้าของการรณรงค์การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดมลภาวะ การนำกลับมาใช้ใหม่ และการรักษาทรัพยากร การหลีกเลี่ยงการใช้สัตว์ทดสอบยาและเครื่องสำอาง การลดอาชญากรรม การไม่รู้หนังสือ และความยากจน
Cr : รศ สมยศ นาวีการ







