ศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ (ICC) มี 2 มาตรฐานจริงหรือ
ศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ (ICC) มี 2 มาตรฐานจริงหรือ
ศ.พล.ท ดร.สมชาย วิรุฬหผล
จากประเด็นที่เป็นข่าว นั่นคือ (ICC) ที่กรุงเฮก มีคำวินิจฉัยว่าประธานาธิบดีปูตินมีการกระทำอันเข้าข่ายตามข้อกล่าวหา คือเป็นอาชญากรสงครามที่ทำให้มีคนล้มตายจำนวนมากในการปฏิบัติการพิเศษทางทหารที่ยูเครน ตลอดจนยังมีข้อกล่าวหาว่ามีการบังคับขืนใจเด็กให้เคลื่อนย้ายไปอยู่ในรัสเซีย
ศาลจึงมีหมายจับให้ไปเข้ากระบวนการไต่สวนวินิจฉัยเพื่อตัดสินคดี
เพียงข่าวกระจายออกไปฝ่ายโปรตะวันตกก็กระหึ่มกึกก้องยินดีปรีดา บางรายก็ด่าทอแถมพก ในขณะที่ รมต. ต่างประเทศจีนได้ออกมาติงว่าศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศมี 2 มาตรฐาน
แต่ก่อนจะไปพิจารณาว่าศาลฯมี 2 มาตรฐานจริงหรือไม่ เรามาพิจารณาในทางปฏิบัติดูว่าจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด
ประการแรก รัสเซียไม่ได้ร่วมลงนามในสัตยาบันว่าด้วยศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ ดังนั้นคำวินิจฉัยหรือแม้แต่คำตัดสิน จึงไม่มีข้อผูกพันกับชาวรัสเซียทั้งปวง
ประการต่อมา คือการจะนำประธานาธิบดีปูตินมาขึ้นศาล ก็จะต้องส่งกำลังไปจับตัวมา ซึ่งก็คงเกิดสงครามใหญ่แน่
ประการที่สามถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรัสเซียและ รัฐบาลใหม่ของรัสเซียจับตัวปูตินมาส่งศาล ซึ่งโอกาสเป็นศูนย์
พิจารณาเพียงแค่นี้ก็คงพอมองเห็นได้ว่าโอกาศที่จะเกิดขึ้น เป็นไปได้ยากมากๆ
ประเด็นคำถามก็คือ แล้วทำกันไปทำไม ก่อนตอบก็ต้องมองย้อนกลับไปดูว่าศาล ICC เกิดขึ้นได้อย่างไร
ศาล ICC นี้ก่อตั้งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อดำเนินคดีต่อผู้นำนาซี ในฐานะอาชญากรสงคราม ที่ได้เข่นฆ่าชาวยิวในค่ายกักกันเป็นจำนวนมาก โดยมีการดำเนินคดีกันที่เมืองนูแรมเบิร์ก ผลคือจำเลยถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ
ข้อพิจารณาต่อมาคือศาลนี้เกิดขึ้นเพราะแรงกดดันทางการเมือง จากสหรัฐและอังกฤษที่เป็นผู้ชนะสงคราม ภายใต้อิทธิผลของชาวยิว
ไซออนิสต์
ถ้านาซีเยอรมันชนะสงคราม จะมีการตั้งศาลแบบนี้ไหม คำตอบคือคงไม่มี ชาวยิวก็จะตายฟรี ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการจัดตั้งศาลฯและแนวทาง มันคือวิถีทางการเมืองของผู้ชนะ สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า “ผู้มีกำลังคือผู้ที่ถูกต้อง” (THE MIGHT IS RIGHT)
ดังนั้นศาล ICC จึงดำเนินการภายใต้การกดดันทางการเมืองซึ่งมีมาตรฐานเดียว คือทำตามผู้มีพลังอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งๆที่รู้ว่าคำตัดสิน(ถ้ามี)ก็ไม่อาจนำตัวปูตินมาดำเนินคดีได้ นอกจากจะชนะสงคราม
ถ้ายังไม่ชัดเจนลองมาดูตัวอย่างอีก 2 กรณีคือ
กรณีที่ 1 อาชญากรรมสงครามในอาฟกานิสถาน
จากเนื้อข่าวที่สื่อไทยหลายฉบับได้ลงพิมพ์โดยแปลมาจากข่าวต่างประเทศมีเนื้อหาดังนี้ “หลังจากปี 2017 ที่ผ่านมา ICC ได้เริ่มกระบวนการสืบสวนกรณีการก่ออาชญากรรมสงครามในอาฟกานิสถาน หลังจากได้รับข้อร้องเรียนดังกล่าวจากบรรดาผู้เคยตกเป็นเหยื่อหรือผู้เกี่ยวข้องกว่า 700 กรณี ซึ่งรวมถึงการฟ้องร้องต่อทหารสหรัฐฯและเจ้าหน้าที่หน่วยราชการลับของรัฐบาลวอชิงตันและชาติพันธมิตร อย่างอิสราเอลในข้อหาเดียวกัน”
นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเป็นผู้แถลงคำสั่งดังกล่าวระบุว่า รัฐบาลวอชิงตันจะไม่นิ่งเฉยต่อการที่บุคคลากรของเราถูกคุกคามจากศาลเถื่อน เช่นเดียวกับนายวิลเลียม บาร์ รัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐ ซึ่งแถลงร่วมกัน อ้างว่าการทำงานและการสอบสวนดังกล่าวของ ICC มีคณะบุคคลที่สามรวมถึงรัสเซียเกี่ยวข้องกับการไต่สวนดังกล่าวด้วย ดังนั้นคณะบริหารรัฐบาลทรัมป์ จะพยายามใช้ทุกช่องทาง ฟื้นฟู ICC ให้พ้นจากการตกเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่างประเทศ”(โพสต์ทูเดย์)
ทั้งนี้รัฐบาลสหรัฐฯในครั้งนั้นได้ทำการแซงชั่นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ด้วยการคุกคามข่มขู่ที่จะยึดทรัพย์ และห้ามเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ อันมีผลทำให้คณะอัยการศาล ICC ไม่อาจเดินทางมาสำนักงานใหญ่ของ UN เพื่อฟ้องร้องกล่าวโทษได้
จึงเห็นได้ชัดเจนจากคำกล่าวของรัฐมนตรีของสหรัฐฯ ว่ามันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่างประเทศ คำถามคือ ผลประโยชน์อะไรจากการดำเนินการกล่าวฟ้องปูตินว่าเป็นอาชญากรสงคราม ที่ชัดเจนคือเป็นการกดดันทางการเมืองต่อปูตินและสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายตะวันตกที่มีอำนาจอยู่เหนือศาล ICC ในคณะนี้
ดังนั้นการออกมาต่อว่าของนายฉินกัง รมต. ต่างประเทศจีน ที่กล่าวว่าศาล ICC มี 2 มาตรฐานก็อาจพิจารณาไปถึงกรณีเรื่องถล่มอิรัก ในยุคประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน ด้วยข้อกล่าวอ้างที่เป็นเท็จ นั่นคือการครอบครองอาวุธมหาประลัย อันเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ
คำถามคือ ซัดดัมจะมีพลังอะไรที่จะไปคุกคาม มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และเมื่อถล่มจนราบและสังหารซัดดัมแล้ว ก็ไม่พบอาวุธมหาประลัยเลย หลังจากนั้นสหรัฐฯก็ทำเฉย ไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่การบุกถล่มอิรักทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายร่วมแสนคน ในจำนวนนี้มีทั้งเด็ก ผู้หญิง และคนชรากับคนพิการอีกไม่น้อย และมีผู้คนอพยพไร้ที่อยู่อีกนับล้านที่สำคัญสหรัฐยังคงยึดครองดินแดงอิรักอยู่จนทุกวันนี้ และตักตวงน้ำมันดิบออกมาเป็นของตนเอง
อย่างนี้ศาล ICC ควรดำเนินการฟ้องร้องกล่าวโทษหรือใม่ ปรากฎว่าเรื่องเงียบเฉย เพราะขนาดทหารระดับล่างศาล ICC ยังแตะไม่ได้ แล้วระดับขนาดประธานาธิบดีสหรัฐจะไปแตะได้อย่างไร ถ้าพิจารณามุมมองนี้ ฉินกัง ก็พูดถูก
ถ้ายังไม่ชัด พิจารณาอีกเรื่องก็แล้วกันคือ การสังหารหมู่แบบฆ่าล้างหมู่บ้านที่เมไล เวียดนาม ในสงครามที่สหรัฐเข้ามาช่วยเวียดนามใต้รบเวียดนามเหนือ ในนามประชาธิปไตยในช่วงปี 1968 ทหารอเมริกันได้สังหารล้างหมู่บ้าน ซึ่งรวมทั้งคนชรา สตรี และเด็ก ที่ไม่มีอาวุธมากกว่า 500 คนและหลายคนถูกทรมาณและถูกรุมโทรมก่อนเสียชีวิต
อาชญากรรมนี้ได้ถูกเปิดเผยโดยนักข่าวชาวอเมริกัน Seymour Hersh ซึ่งต่อมาได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ แต่ในที่สุดกองร้อยชาลีกรมทหารราบที่ 23 ก็พ้นผิด และผบ.ร้อย ร.ท Calley ก็เพียงแต่ถูกลงโทษโดยการกักบริเวณในบ้านเป็นเวลาหนึ่ง คำถามคือศาล ICC ไปอยู่ที่ไหน และสหรัฐทำอะไรบ้างกับอาชญากรสงคราม
นอกจากนี้สหรัฐเองก็ไม่ได้ลงนามรับรองศาล ICC และยังออกกฎหมายปกป้องพลเมืองของตนจากศาล ICC ซึ่งเรียกศาลนี้ว่า “ศาลเถื่อน”
ทั้งหมดทั้งปวงที่หยิบเรื่องนี้มาเขียน ก็มิได้มีเจตณาจะปกป้องปูติน แต่หากจะดำเนินคดีกับปูติน ก็สมควรมีการดำเนินคดีกับจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ด้วย มิฉะนั้นก็จะเป็นอย่างที่นายฉินกัง รมต.ต่างประเทศจีนกล่าวหาไว้
นอกจากกรณีของสหรัฐฯแล้วยังมีกรณีของรัฐบาลอิสราเอลที่ก่ออาชญากรรมสงครามในการเข่นฆ่าผู้หญิง เด็กและคนชรา ที่ปราศจากอาวุธจำนวนมาก นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1948 ผ่านกันมาก็ 75 ปีแล้ว นั่นคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในวันนักบา คือวันหลังจากที่มีการจัดตั้งประเทศอิสราเอลแล้วคือ วันที่ 14 พ.ค. 1948 และจนถึงปัจจุบันก็ยังมีการเข่นฆ่าขับไล่ทรมานจับกุมคุมขังแม้เยาวชนโดยไม่มีข้อกล่าวหา ทั้งนี้มีปรากฏในรายงานสหประชาชาติโดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนหลายฉบับและรายงานของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมที่ระบุว่ามีเจตนาที่จะทำให้ชาวปาเลสน์ไตน์สูญพันธุ์ด้วยการกีดกันการเข้าถึงแพทย์ของสตรีตั้งครรภ์ชาวปาเลสไตน์ตลอดจนการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพของเด็ก การเข้าถึงยาและการฉีดวัคซีน ซึ่งยืนยันได้จากรายงานดังกล่าว
คำถามคือ ศาล ICC ไปอยู่ที่ไหนหรือมันจะเป็นจริงดังที่ว่า “ผู้มีกำลังคือผู้ที่ถูกต้อง” (THE MIGHT IS RIGHT)