ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ(12)
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ(12)
อัลลอฮ์อันชัดแจ้ง เขาจึงมีบัญชาให้กองทัพของเขาเดินทัพผ่านทะเลลักษณะเดียวกันกับที่ผู้คนของมูซากระทำ ทั้งหมดต่างเชื่อฟังปฏิบัติตามเขาและจึงก้าวลงสู่ทะเล พวกเข้างรีบเร่งเพื่อที่จะได้ตามจับนบีบูซาและผู้คนของท่านให้ทัน พวกเขาต่างมึนเมาอยู่กับเหล้าแห่งความหยิ่งทะนง ในทันใดนั้น กำแพงน้ำทั้งสองข้างเริ่มถล่มลงใส่พวกเขา ทางเดินที่แห้งกลายเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ น้ำทะเลเริ่มไหลมาบรรจบกันจากทุกด้าน ฟาโรห์มองเห็นตนเองว่าสิ้นหวังเสียแล้วเมื่อเขาใกล้จะจมน้ำตายในทะเลนั้น และถูกกวาดล้างให้หมดสิ้นไปอย่างไม่เหลือหรอ และความทรงจำของพวกเขาจึงถูกลบลังไป คัมภีร์อัล กรอานได้สาธยายถึงเหตุการณ์อันเป็นวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของฟาโรห์ด้วยความเป็นจริงโดยแท้ ดังความว่าเมื่อเขา (ฟาโรห์) จมอยู่ในน้ำที่ท่วมทัน เขาจึงกล่าวขึ้นว่า “ฉันเชื่อศรัทธาว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ผู้ซึ่งบนีฮิสรออีลเชื่อศรัทธา ฉันเป็นผู้หนึ่งที่สวามิภักดิ์’ (ได้มีคำกล่าวกับเขาว่า) ตอนนี้หรือ! แต่เมื่อสักครู่นี้เอง เจ้ายังก่อกบฏอยู่ และเจ้ายังทำความชั่วร้ายไม่ใช่หรือ! ในวันนี้เราจะรักษาร่างของเจ้าไว้ ‘ เพื่อว่าเจ้าอาจเป็นสัญญาณหนึ่งสำหรับบรรคาผู้ที่จะมาภายหลังจากเจ้า แต่โดยแท้จริงแล้ว! ส่วนใหญ่ในมวลหมู่มนุษย์นั้น ไม่สนใจใยดีในสัญญาณต่างๆ ของเรา! (อัล กุรอาน 10:90-92)
ดังนั้นบนีอิสรออึลจึงได้รับความปลอดภัยจากทะเลถ้าหากนบีมูซาได้รับความปลอดพ้นจากการหลอกลวงของฟาโรห์การกดขี่ของเขา หมายถึงฟาโรห์ไม่ได้ทำอะไรกับท่าน มาบัดเกิดปัญหาอันสำคัญกับท่านและนั้นก็คือความโมโขลาเปาปัญญกและความใคร่ต่อการขัดแย้งระหว่างชาวบนิอิสรอด้วยกันเอง ในอีกฟากหนึ่งของทะเล พวกเขาได้พบกับชนกลุ่มหนึ่งผู้ซึ่งกราบไหว้เทวรูปต่างๆ พวกเขาเห็นดังนั้นจึงขอร้องต่อศาสดามซา เพื่อสร้างเทวรูปสักองค์หนึ่งให้กับพวก
เพื่อว่าพวกเขาจะได้ดูไม่ดำต้อยต่อหน้าชนกลุ่มนั้น ถึงแม้จะเป็นเขาเรื่องของการกราบไหว้ทวรูปก็ตาม นบีมซาจึงรู้สึกเศร้าสลดใจเป็นอย่างยิงที่ได้ยินเช่นนี้ และจึงกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าทำไมถึงโง่และไม่รู้สึกอะไวกันเลยถึงเพียงนี้! พวกเจ้าคิดจะให้ฉันมองหาพระเจ้าอื่นๆ อีกนอกจากพระองค์ผู้ทรงปลดปล่อยพวกเจ้าจากเงื้อมมือของฟาโรห์กระนั้นหรือ !”พระเจ้าจึงทรงมีพระบัญชาให้นยืมซาปลึกตัวออกไปจากผู้คนของท่าน เพื่อการบำเพ็ญภาวนาเป็นเวลาสามสิบวัน นบีมูซาจึงแต่งตั้งให้นบีฮารูนผู้เป็นพี่ชายของท่านและเป็นผู้ช่วยเหลือท่านมาโดยตลอด ทำหน้าที่แทนกับชาวบนีอิสรออีล และแนะนำพวกเขาต่อหน้ากลุ่มชนของที่สามสิบวันผ่านไป พระเจ้าทรงมีบัญชาให้นบีมูชายู่ต่อไปอีกสิบวัน ภายหลังจากอยู่จนครบสี่สิบวันเหล่านี้แล้ว นบีมูชาจึงได้รับวิวรณ์คัมภีร์ เตารอดหรือ โตร่า เพื่อใช้เป็นทางนำทางหนึ่งในขณะหนึ่งสำหรับชนกลุ่มชาวยิว
อย่างไรก็ตาม สำหรับชาวบนีอิสรออีลนั้น ภายหลังจากที่นปีมูซาจากพวกเราไปเพียงสองสามวัน การหาโอกาสที่จะสร้างเทวรูปก็เข้ามาเกาะกุมจิตใจของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง ชายผู้ตกศาสนาคนหนึ่งชื่อ ซามีรึ จึงเริ่มแผมการร้ายด้วยกับการเก็บรวบรวมทองคำและเพชรนิลจินดา นำมาสร้างรูปวัวทองคำขึ้นตัวหนึ่งในลักษณะที่ว่า ในสภาพการณ์ต่างๆ ที่เฉพาะพิเศษด้วยกับกลอุบายของมันเองมันจะมีเสียงร้องของวัวออกมา จากนั้นเขาจึงกล่าวกับกลุ่มชนของเขาผู้ซึ่งมีสติปัญญาเฉพาะกับสิ่งที่ตนเห็นเท่านั้นดังว่า “วัวนี้เป็นพระเจ้าของมูชา มันคือพระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านต้องเคารพกราบไหว้มัน”
ประชาชนต่างหลงลืมว่าพระเจ้าไม่อาจปรากฏอยู่ในรูปร่างหนึ่งได้ไม่อาจอยู่ในกาลเวลาและอวกาศได้ หลงลืมไปว่าพระเจ้าจะต้องเป็นผู้นำของพวกเขา ตรงกันข้ามกับคำสอนของศาสดามูซา พวกเขาต่างยอมรับทองคำตัวนั้นเป็นพระเจ้าซึ่งสร้างขึ้นมาจากมือของชามีรี และมันก็ประโยชน์และให้โทษกับผู้ใด พวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับความจริงที่ว่ามันป็นเทวรูปตัวหนึ่งที่สร้างโดยซามีรีให้กับพวกเขา ซึ่งเพียงแต่ทำเสียงร้องคล้ายโค และไม่เคยตระหนักเลยว่าหากเป็นไปได้ที่ว่าพระเจ้าจะทรงปรากฎกายของพระองค์ต่อหน้าพวกเขาแล้ว พระองค์ก็จะทรงก้าวมานำทางพวกเขาและชี้นำทางพวกเขา และเป็นที่แจ้งชัดแล้วว่ามีความแตกต่างกันอย่างมากมายระหว่างการชี้นำทางกับเสียงร้องของโคตัวหนึ่ง
ดังนั้นพวกยิวจึงหลงทางออกไปและไม่สนใจใยดีต่อคำแนะนำของศาสดาฮารูน ไม่ว่าท่านจะห้ามปราบพวกเขาด้วยวิธีใดก็ตาม
ในเรื่องนี้อัล กรอานได้กล่าวยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของศาฮารุนแต่คัมภีร์ใบเบิลฉบับเอ็กพัลชั่น (เนรเทศ) กล่าวว่าศาสดาฮารูนเป็นผู้หล่อรูปวัวทองคำและกล่าวกับชาวอิสรออีลว่า นี่คือพระเจ้าของพวกเจ้าที่นำพวกเจ้าออกมาจากอียิปต์ และดังนั้นฮารุนจึงเชือดพลีให้กับมัน
เมื่อศาสดามูซากลับมายังกลุ่มชนของท่าน และได้เห็นความวิปลาสอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา ท่านจึงรู้สึกสลดใจเป็นอย่างมาก และกล่าวตำหนิผู้คนที่โง่เขลาเหล่านี้ด้วยความขุ่นเดือง พร้อมกับขว้างบัญญัติสิบประการที่สลักไว้บนแผ่นหินหยกแตกเป็นสองเสี่ยง เสียงหนึ่งทวทูตได้น่าขึ้นฟ้าอีกเสี่ยงหนึ่งยังคงอยู่กับท่าน
ท่านกล่าวกับซามีรีว่า “เอาล่ะ! เจ้าผู้เป็นคนสร้างเทวรูป ฉันจะทำอย่างไรกับพระเจ้าจอมปลอมตัวนั้นซึ่งเจ้าสร้างมันขึ้นมา เทวรูปนั้นฉันจะเผามัน และขี้เถ้าของมันฉันจะเหวี่ยงมันลงไปในทะเล และพระเจ้าที่แท้จริงของเจ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงเห็นและทรงได้ยินในทุกสิ่ง และไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือไปจากพระองค์อีกแล้ว”
และด้วยกับคำพูดเหล่านี้ ท่านได้ทุบทำลายเทวรูปตัวนั้นออกเป็นเสี่ยงๆ และไม่มีร่องรอยของมันหลงเหลือให้เห็นใดๆ อีกเลยคำสั่งสอนอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสดามูชา ไม่เกิดผลประโยชน์ใดๆกับพวกเขา นั้นคือกลุ่มชนของท่านยังคงมองเห็นช่องทางต่างๆ และได้
ทรยศต่อคำสัตย์สาบานของพวกเขา ภายหลังจากศาสตาสตามูซากไป พวกเขายิ่งมีความเชื่อฟังปฏิบัติตามเพียงน้อยนิดต่อสัจธรรมความจริง และกับคำสั่งสอนต่างๆ ของบรรดาศาสนทูตของพระเจ้า และบรรดาผู้ถูกเลือกสรรของพระองค์ พวกเขาไม่สนใจไยดีใดๆ และยังก่อกรรมทำเข็ญกตชื่ห่มเหงหรือกล้าทำถึงขั้นฆ่าสังหารบรรดาศาศาสดากลุ่มหนึ่งและเนรเทศเสียบ้างก็มี พวกเขาถึงกับจัดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของตนองและจากนั้นพวกเขาจึงสร้างคัมภีร์ตารอดหรือโตร่า ในรูปแบบที่เห็นกันอยู่ขณะนี้ ซึ่งความไม่สมบูรณ์ของมันมีมากเสียจนกระทั่งว่า ผู้หนึ่งไม่อาจเรียกมันได้ว่าเป็นคัมภีร์ของพระเจ้า
ในช่วงที่ศาสดามูซาและกลุ่มชนของท่านถูกกำหนดให้ต้องเร่ร่อนอยู่ในดินแดนคันอานเป็นเวลาสี่สิบปี เนื่องจากลุ่มชมชนของท่านดื้อดึงไม่ยอมเข้าสู่แผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์แห่งปาเลสไตน์ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ อันมึนครเยรซาเล็มตั้งอยู่ ทั้งนี้เพราะพวกเขาหวาดกลัวในความแข็งแกร่งของปาเลสไตน์ โดยพวกเขากล่าวว่าพวกเขายังไม่เข้าไปจนกว่าชเหล่านั้นจะออกไปให้หมดเมืองเสียก่อน หากหมีซากจะเข้าไปก็ไปก็เขาและพระเจ้าของมูซกไปสู้กับชาวเมืองเสียก่อนแต่พวกเขาจะนังเฉยๆ เพื่อเฝ้าดู
ช่วงนี้เองที่เมืองมัดยันของศาสดาชอัยย์ถูกล่ม เนื่องจากความฉัอลของชาวเมือง ศาสดาซูอัยป์พร้อมกับครอบครัวจึงอพยพมาอยู่ร่วมกับบุตรสาวของทำนชื่อ ซอฟรอน หรือ ซิบโปโประศ์ ซึ่งเป็นกรรยาของศามูซา ณ แผ่นดินคันอาน ดังได้กล่าวแล้ว
เมื่อศาสดาฮารุน (เสียชีวิตก่อน 2 ปี) และศาสดามูซาเสียชีวิตแล้วยูซูอะ บิน นูน & ผู้เป็นผู้สืบแทนของศาสดามูซา จึงนำกลุ่มชาวยิวดังกล่าวเข้าสู่แผ่นดินปาเลสไตน์ตามพระบัญชาของพระเจ้า เหตุการณ์อันสำคัญยิง
ต่อวงศ์วานอิสราเอล ซึ่งอาจถือเป็นวาระที่มีความสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของชนชาติยิว อันดำเนินมายาวนานนับได้เกือบสี่พันปีก็ว่าได้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในราวปี 1183 ก่อนคริสต์ศักราช ยูชูอะเป็นผู้สืบแทนของศาสดามูซาอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ตอนเหนือเป็นเวลา 30 ปี จนถึงแก่ชีวิต โปรดสังภต ณ ตรงนี้ก่อนว่า จากการที่ชาวยิวบางกลุ่ม เช่น ขบวนการไซออนิสต์ปัจจุบัน พยายามกล่าวบิดเบือนประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า ศาสดามูซาหรือโมเสสเป็นผู้พาวงศ์วานของอิสราเอลเข้าสู่ดิแดนพันธะสัญญานั้น เป็นเรื่องที่พวกเขากุเท็จขึ้นมาเองเพื่อปิดบังความจริงที่ว่าบรรพบุรุษผู้ดื้อดึงของพวกเขาเองที่ฝ่าฝืนต่อคำบัญชาของพระเจ้า ไม่ยอมเข้าสู่ดินแดนพันธะสัญญาดังเหตุผลที่ได้กล่าวถึงแล้ว
ประวัติศาสตร์สากลได้จัดช่วงเวลาจาก 1,200-1,020 ก่อนศักราช เป็นช่วงที่เรียกว่า Period of the Judges (ยุคแห่งบรรดานาบีอิม) ซึ่งมีนปีสืบต่อจากยูซูอะคือ นปีกาลิบ, เอซาเกล, อิลยาส, อิลิซะอัลยะซะอ์ โดยมี ซะมูเอล หรือศาสดาชัมฮูน เป็นผู้มีอำนาจปกครองชาวอิสราเอลเป็นท่านสุดท้าย ก่อนที่จะส่งมอยอำนาจแห่งการสืบแทนต่อให้กับ ชาอูล หรือ ฏลดูด โดยที่ชาวอิสราเอลได้วอนต่อพระเจ้าไห้พระองค์ทรงส่ง กษัตริย์ ลงมาปกครองพวกเขาสักคนหนึ่ง เพื่อเป็นผู้นำในการสู้รบกับศัตรูที่มาจากเผ่า ญาลูฏ ของโกลัยแอต
แต่เมื่อพระเจ้าได้ทรงเลือกสรรให้ซาอูลเป็นกษัตริย์เหนือชาวอิสราเอล โดยผ่านทางการวอนขอของศาสดาซะมูเอล กษัตริย์ซาอูลหรือฏอลูตจึงเป็นกษัตริย์องค์แรกของชาวยิว ซึ่งเหตุการณ์อันสำคัญยิ่งยิ่งช่วงตอนนี้ของประวัติศาสตร์แห่งชนชาติยิวนั้น อัล กุรอานได้กล่าวสาธยายไว้อย่างละเอียดเพื่อเป็นการขจัดข้อคลางแคลงสงสัยใดๆ ที่พวกบนีอิสรออิลได้บันทึกไว้ในใบเบิลฉบับ I ซามูเอล, I ซามูเอล และสติวที่โรโนมิค (อปีอกคราฟา) เช่นสาเหตุของการเป็นกษัตริย์ของซาอูลและชีวิตในบั้นปลายของ