jos55 instaslot88 Pusat Togel Online ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (17) - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (17)

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (17)

ผู้เขียน อ.อดุลย์ มานะจิตต์

กระหายอยากของท่านที่เกี่ยวกับเรื่องราวของโลกหน้ามีเพิ่มมากขึ้น”

ท่านศาสนทูต กล่าวไว้เช่นกันว่า : บรรดาสาวกขอให้ศาอีชาชี้ทางนำให้กับพวกเขา และเขาได้กล่าวตอบว่า ‘มูซากล่าวกับพวกท่านว่าจงอย่าสาบานในนามของอัลลอฮ์ ในสิ่งที่เป็นความเท็จ’ แต่ฉันขอกล่าวว่า’จงอย่าสาบานในนามของอัลลอฮ์ ถึงแม้จะเป็นเรืองจริงก็ตาม’ บรรดาสาวกขอให้เขาแนะนำมากกว่านี้อีก และเขาจึงกล่าวว่า มูชาศาศนทูตแห่งอัลลลฮ์กล่าวกับพวกท่านว่า จงอย่าล่วงละเมิดประเวณี’ แต่ฉันขอกล่าวว่ากับท่านว่า’แม้เพียงแต่คิดถึงมันก็อย่าได้ทำ เพราะว่าทุกคนที่เอาเรื่องการล่วงละเมิดประเวณีเข้ามาไว้ในหัวใจของเขา ก็เป็นเสมือนบุคคลผู้ซึ่งได้จุดไฟเอาไว้ในห้องที่ทาสีไว้แล้ว ซึ่งถึงแม้มันจะไม่เผาไหม้ห้องนั้นก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ห้องนั้นดำมืดไป’ ‘

อมีรุลมุอ์มินีน อะลึ กล่าวว่า : มะซีตะบุตรของมัรยัมกล่าวว่า ‘ช่างโชคดีเหลือเกินสำหรับผู้ที่ความเงียบของเขาเป็นความคิดที่มีความดลใจและการมองของเขาให้ข้อแนะนำ บ้านของเขาให้การพักผ่อนและความสุขแก่เขา เขาเสียใจกับการกระทำต่างๆ ของเขาที่ไม่เหมาะสม และผู้คนได้รับความสงบร่มเย็นจากมือและลิ้นของเขา’ ”

อิมามญะอ์ฟัร อัซซอดิก กล่าวว่า : ศาสดาอีซากล่าวกับบรรดาสาวกของท่านว่า ‘โอ้บุตรหลานของอาคัมเอ๋ย! จงหันออกไปจากโลกนี้ เพื่อมุ่งสู่พระเจ้าเถิด และจงอย่าเอาหัวใจของเจ้าไปเป็นทาสของมัน เพราะมันจะไม่มาอยู่กับเจ้าตลอดไปดอก มีผู้คนจำนวนมากมายสักเท่าใดหนอ! ที่ถูกหลอกลวงและประสบกับความพินาศ ใครก็ตามที่ถูกมันเย้ายวนและไปยึดติดคิดมั่นหมายเอากับมัน จะต้องประสบกับความสูญเสีย ผู้ไดก็ตามที่หลงชอบมันและตามมันไปจะต้องพินาศ !’

ท่านอิมามยังได้กล่าวอีกว่า : มะซีฮะ กล่าวกับสาวกของท่านว่า’จงงดเว้นจากการคิดคำนึงถึงกรรยาของผู้อื่น เพราะมันจะหว่านพืชแห่งความราคะที่ขมขื่นในจิตใจของมนุษย์ และนั้นนับเป็นความเพียงพอสำหรับความหายนะของเจ้าแล้ว โอ้ผู้ที่วางจุดมุ่งหมายของพวกเขาไว้กับความสนุกสนานรื่นเริงของโลกนี้ และการกระทำต่างๆ ของเป็นบาปเป็นกรรม! ไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้าต่างรู้ถึงวันพรุ่งนี้ดอก และในวันพื้นคืนเขาจะต้องประสบกับความอับอายต่อหน้าอัลลอฮ์’ ‘

ในที่สุดสายธารแห่งการสืบทอดของการเป็นนบีและรอซูล จากบุตรคนที่สองของศาสดาอิบรอฮืม คือศาสตาอิสฮาก จึงดำเนินมาสู่ความสมบูรณ์ในระบบแห่งศาสดา ณ ศาสตาอีซาหรือพระเยซู ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงประทานลงมาเพื่อเทศนาเผยแผ่แก่ชาวยิวผู้ปั้นแกะหลงฝูงโดยเฉพาะ(มัทธิว 1524)แต่ผู้หนึ่งกลับพบด้วยความชมชื่นว่า พวกยิวหรือบนีอิสรออีลเหล่านี้กลับปฏิเสธในตัวท่าน และยังตั้งตนเป็นศัตรกับท่านอีกด้วยโดยพร้อมที่จะสังหารท่าน ด้วยเหตุนี้อัลลอฮ์จึงทรงเทิดท่านยังพระองค์ และทำให้ศาสลาอีซาเป็นสัญญาณหนึ่งแห่งวันอวสานของโลก

แต่เนื่องจากภารกิจในการเป็นรอซูลที่ท่านได้รับมอบหมายจากพระเจ้ายังไม่เสร็จสิ้น ดังนั้นระบของการสืบทอดและทยาทของคัมภีร์บทสรรเสริญและหนังสือฮะดิษ ยังจะต้องสืบสานต่อไปจนถึงการประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด ศาสนทูตท่านสุดท้ายของโลก ที่สืบตระกูลโดยตรงมาจากก๊กบนูฮาริม ผู้เป็นบุตรหลานของท่าน อัดนาน ต้นตระกูลของชาวอาหรับที่รู้จักกันดี ซึ่งอยู่ในตระกูลวงศ์ของศาสดาอิสมาอีล บุตรชายคนโตของศาสดาอิบรอฮีม

ฉะนั้นศาสดาอีซาจึงป็นศาสดาและผู้สืบทอดฯ ลำดับที่ 24 และ 30 ตามลำดับ จากนั้นผู้สืบทอดฯ ท่านที่ 31 ต่อมาคือ ซีโมน ผู้เป็นอัครสาวกของศาสตาอีชา ซีโมนจึงมอบตำแหน่งผู้สืบทอดฯ ลำดับที่ 32 ให้กับ ยย์ยา บิน ซะกะรียา ซึ่งมอบตำแหน่ผู้สืบทอดฯ ลำดับที่ 33 ต่อไห้กับ เมนเซิร ซึ่งมอบต่อให้กับ สะลึมะศ์ ซึ่งมอบต่อให้กับ บิรละฮ์ ซึ่งมอบต่อให้กับ มุฮัมมัด

ดังนั้น ศาสดามฮัมมัด จึงเป็นนบีผู้มีนามปรากฏอยู่ในอัล กุรอานท่านที่ 25 และเป็นผู้สืบทอดฯ ท่านที่ 36 ตามลำดับ

ความมหัศจรรย์ของระบบผู้สืบทอดฯ ยังคงมีปรากฏให้เห็นอย่างไม่จบสิ้น ทั้งนี้เพราะเมื่อหากนับจำนวนของผู้สืบตระกูลจากท่าน คิดาร บุตรศาสดาอิสมาอืล มาจนถึงศาสดามุฮัมมัด ศาสนทูตท่านสุดท้าย รวมทั้งสิ้น 61 ท่าน มันหมายความเช่นใด ! (25 + 36) = 61 !!!

ดังนั้นผู้สืบตระกูลของศาสดาอิสมาอีล จากบิดาถึงบุตร รวม 61 ท่านจึงต่อเป็นแถวเรียงกันมา ซึ่งภาษาหรับเรียกว่า ‘ซอฟฟ’ และเมื่อเปิดอัล กุรอานออกดูก็เป็นเช่นที่ว่า บาทที่ 61 ก็คือชูเราะฮ์อัช ซอฟฟุ (แถว)และเมื่ออ่านไปถึงโองการที่ 6 ของบทนี้ เราพบกับความทัศจรรย์เหนือความมหัศจรรย์ดังนี้คือ

และเมื่อครั้งที่อีซาบุตรของมัรยัมได้ประกาศว่า ‘โอ้บุตรหลานของอิสรออีล! แท้จริงฉันเป็นศาสนาทูตของอัลลลอฮิมายังพวกท่าน เพื่อรับรองคัมภีร์เตารอตที่มีมาก่อนพวกท่าน และเพื่อมาแจ้งข่าวดีว่าจะมี ‘รอซูล’ ผู้หนึ่งมาภายหลังจากฉัน เขามีชื่อว่า ‘อะห์มัด’ ครั้นต่อมาเมื่อเขาได้มายังพวกเขาจริง พร้อมทั้งหลักฐานอันชัดแจ้งพวกเขากลับพูดว่า ‘นี่เป็นมายากลอันชัดแจ้ง” (อัล กุรอาน 61.8)

การประกาศการมาของศาสดามุฮัมมัด ดังที่ศาสดาอีชาได้แจ้งต่อชนชาวอิสราเอลให้ได้รับทราบข่าวดีนี้ เป็นไปตามคำวิงวอนของศาสดาอิบรอฮีมและศาสดาอิสมาอึล ณ วันที่ท่านทั้งสองได้ยกฐานรากของอัล กะอ์บะฮ์ดังที่ได้กล่าวถึงแล้วในหน้า 74 ซึ่งได้เห็นเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าศาสนทูตท่านสุดท้ายของโลก เป็นผู้สืบตระกูลโดยตรงมาจากศาสดาอิสมาอีล และเมื่อนับจากศาสดาอิสมาอีลจนถึงศาสดามุฮัมมัด มีผู้สืบตระกูลต่อเป็นแถวเรียงกันมารวม 62 ท่าน ดังนั้นเมื่อเปิดอัล กุรอานออกดูบทที่ 62 จึงพบว่าซูเราะฮ์มีชื่อว่า อัล ณุมละฮ์ (วันศุกร์) อันเป็นวันที่มวลมุสลิมเข้าแถวนมาชร่วมกันทั้งโลกในทุกวันศุกร์ ดังปรากฎเป็นคำสั่งอยู่ ณ โองการที่ 9 ของบทนี้ ดังนั้นบหนี้จึงมักถูกใช้เป็นซูเราะศ์หนึ่งที่อ่านในนมาชวันศุกร์ แต่เป็นที่น่าเสียตายว่าผู้นำนมาชส่วนใหญ่จะเริ่มอ่านบทนี้ที่โองการที่ 9 ดังกล่าว แต่จิตวิญญาณอันสำคัญของบทนี้ซึ่งเป็นโองการที่ 2 จึงถูกเพิกเฉยไป ดังมีความว่า

พระองค์ทรงแต่งตั้ง (บะอะษะ) ศาสนทูต (รอซูล) ผู้หนึ่ง ในกลุ่มชนที่ไม่รู้หนังสือ จากเชื้อชาติของผู้เขาเอง เขาแถลงโองการต่างๆของพระองค์แก่พวกนั้น เขาทำการปลดเปลื้องพวกนั้น และเขาทำการสอนพวกนั้นซึ่งคัมภีร์และวิทยญาณ และแท้จริงพวกเหล่านั้นเมื่อยุดก่อนๆ ได้ตกอยู่ในความหลงผิดอันแจ้งชัด (อัล กุรอาน 62.2)

ชาวอาหรับก่อนการมาของศาสดามุฮัมมัด ได้ชื่อว่าเป็นพวก ญาธิลียะฮ์ หรือพวกบำเถื่อนไม่รู้หนังสือ ซึ่งหมายความว่าชนพวกนี้ถูกห้อมล้อมอยู่ด้วยกับจักรวรรติใหญ่ๆ ที่มีอารยธรรมและรอบรู้ในวิชาการสาขาต่างๆ เช่น ชาวยิว ชาวคริสต์ ชาวโรมัน และเปอร์เซีย เป็นต้น

ชาวคริสต์ได้รับการแจ้งข่าวดีเช่นนี้ไว้แล้วในพระคริสต์ธรรมใหม่ฉบับยอห์น บทที่ 16 โองการที่ 12-14 ดังมีความว่า

“เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกแก่ท่านทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้ เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงได้เสด็จมาแล้ว พระองค์ท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน

และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้นพระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย”

ดังนั้นการเสด็จมาของวิญญาณแห่งความจริง (อัลฮัก) จึงปรากฏขึ้นอย่างแจ้งชัดตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลข้างต้น ส่วนพระคำของพระเยซูที่ปรากฏอยู่ในส่วนสุดท้ายของคัมภีร์อัล กุรอาน บทที่ 6โองการที่ 6 ดังมีความว่า

…ครั้นต่อมา เมื่อเขาได้มายังพวกเขาจริงพร้อมทั้งหลักฐานอันชัดแจ้ง พวกเขากลับพูดว่า ‘นี่เป็นมายากลอันชัดแจ้ง’นานสักเท่าใดที่ ‘อะห์มัด จะเสด็จมาภายหลังจากที่พระเยซูได้กล่าว

คำพูดข้างต้น คำตอบคือ ส่วนของโองการข้างต้นเขียนด้วยอักษรอาหรับจำนวน 31 อักษร ปรากฏอยู่ในบทที่ 61 โองการที่ 6 ซึ่งมีผลลัพธ์อันลี้จับเมื่อนำมาคูณกันเท่ากับ 61 x 6 = 36ธ ซูเราะฮ์นี้ถูกวิวรณ์ลงมาเป็นลำดับที่ 109 ในปีที่ 21 ของการเป็นศาสนทูต เมื่อท่านมีอายุ 61 ปี ขณะเผยแผ่อยู่ ณ นครมะดีนะฮ์

ตัวเลขทั้งหมด 5 จำนวนข้างต้น อันมีที่มาแห่งความสัตย์จริง (อัลฮัก)บ่งบอกอะไรกับเรา? นั้นคือ (366+31)+(109+21+61)=588888 บ่งบอกถึงความสัตย์จริงประการหนึ่งที่ว่า ศาสดามฮัมมัดหรืออะห์มัดจะมาเป็นรอซูลภายหลังจากคำกล่าวของพระเยซูข้างต้นเป็นเวลา 588ปีจันทรคติ หรือ 570 ปีสุริยคตินั่นเอง!!!

ความมทัศจรรย์ของอัล กรอานโองการนี้ จบลงเพียงเท่านี้กระนั้นหรือ หามิได้ ! โปรดตามล่าหาความจริงต่อไป ท่านศาสดามุฮัมมัด เป็นนบีองค์ที่ 25 เป็นผู้สืบทอดฯ ท่านที่ 36 แต่ด้วยความสัตย์จริงนั้นบรรดาผู้สืบทอดฯ ต่อจากท่านยังจะต้องดำเนินต่อไปอย่างเป็นระบบ ซึ่งพระเยซูทรงกล่าวไว้แล้วว่า “พระค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแก่ท่ามทั้งหลาย” สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวงศ์วานแห่งอิสรออีลก็คือ ‘อิซนาอะชะรอ นะก็บา นะก็บหรือผู้นำสืบสองนั้นเอง และศาสดามฮัมมัดจึงนำจึงนำสัจธรมความจริงนี้มาแสดง ดังวจนะของท่านที่ได้กล่าวไว้ว่า

ท่านญาบิร บิน ซะมุเราะฮ์ อันซอรี ได้รานไว้ว่า : ข้าพเจ้าได้ยิน

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *