jos55 instaslot88 Pusat Togel Online นิทานในประวัติศาสตร์และพงศาวดารจีน เรื่องที่น่าสนใจของฉินมู่กง(秦穆公的故事)(1) - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

นิทานในประวัติศาสตร์และพงศาวดารจีน เรื่องที่น่าสนใจของฉินมู่กง(秦穆公的故事)(1)

นิทานในประวัติศาสตร์และพงศาวดารจีน เรื่องที่น่าสนใจของฉินมู่กง(秦穆公的故事)(1)

รัฐฉินเป็นรัฐมหาอำนาจในยุคชุนชิว(春秋)ราชวงศ์โจวตะวันออก(东周)ก่อนคริสต์ศักราช  770-476 ปี )    ฉินมู่กง(秦穆公) ปกครองรัฐฉิน นานหลายสิบปี  ในช่วงนั้น รัฐฉินมีความเจริญ และขยายอาณาเขตออกไปมาก   เรื่องของมู่กงที่น่าเล่าถึงมีมาก  แต่ในที่นี้จะเล่าเพียงบางเรื่องโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้คนดีคนเก่งมาช่วยบริหารกิจการของรัฐซึ่งน่าสนใจมาก

การใช้คน

    ฉินมู่กงเป็นผู้ครองรัฐที่ให้ความสำคัญกับการหาคนเก่งคนดีมาช่วยทำงาน เช่น ตัวอย่างของการใช้กงซุนจือ(公孙枝)ไป๋หลี่ซี(百里奚) เจี่ยนสู(蹇叔)และเหยาหวี(繇余)มาช่วยงาน  เป็นต้น

 

ก. กงซุนจือ

    กงซุนจือเดิมเป็นชาวนาในรัฐจิ้น   เขาเป็นคนแข็งแรงและมีพละกำลังมาก สามารถใช้จอบพรวนดินพร้อมกันทั้งสองมือ  มือละเล่ม  ช่วงที่ฉินมู่กงส่งขุนนางไปขอลูกสาวของจิ้นเซี่ยนกง(晉献公)เป็นภรรยา  ขุนนางที่มู่กงส่งไปเห็นกงซุนจือใช้จอบพรวนดินพรีอมกันสองมือ  จึงกลับมาเล่าให้ มู่กงฟัง  มู่กงเรียกกงซุนจือมาพบ และทดลองให้เขายกของหนักและใช้อาวุธที่มีน้ำหนักมาก เขาก็ทำได้  เมื่อถามยุทธวิธีการรบ เขาก็ตอบได้ดี  มู่กงจึงแต่งตั้งกงซุนจือเป็นนายทหารคุมกำลัง ต่อมากงซุนจือได้แสดงความสามารถในการสู้รบ ทั้งยังสามารถเสนอแนะนโยบายในกิจการด้านอื่นของรัฐได้   เช่น แนะนำมู่กงให้ใช้กลอุบายเพื่อให้ไป๋หลี่ซี(百里奚)มาทำงานที่รัฐฉิน  ในช่วงที่ผู้ครองรัฐจิ้นส่งคนติดตามลูกสาวมาแต่งงานที่รัฐฉิน  มู่กงดูรายชื่อของคนติดตาม มีชื่อไป๋หลี่ซีอยู่ด้วย    ก่อนหน้านี้มู่กงเคยได้ยินชื่อเสียงของไป๋หลี่ซีมาบ้างแล้ว จึงถามกงซุนจือซึ่งเป็นคนจิ้นว่า เคยได้ยินชื่อคนนี้ไหม กงซุนจือตอบว่า ไป๋หลี่ซือ เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถมาก มู่กงจึงอยากพบ แต่ปรากฏว่า แม้จะมีชื่อไป๋หลี่ซีในรายชื่อคนติดตาม แต่ตามตัวเขาไม่ได้  มีคนบอกว่า ไป๋หลี่ซีไม่ยอมมาเป็นผู้รับใช้ที่รัฐฉิน จึงหลบหนีไปรัฐฉู่    มู่กงส่งคนไปตามหาไป๋หลี่ซีที่รัฐฉู่  พบว่า ไป๋หลี่ซีทำงานเป็นลูกจ้างช่วยเลี้ยงวัวในรัฐฉู่    มู่กงคิดที่จะมอบของกำนัลจำนวนมากแก่ผู้ครองรัฐฉู่เพื่อให้ได้ตัวไป๋หลี่ซีมา  แต่กงซุนจือมีความเห็นว่า ถ้าทำเช่นนั้น จะไม่ได้ไป๋หลี่ซีมา  เพราะ ถ้าไปตามตัวด้วยการให้ของกำนัลจำนวนมาก เท่ากับบอกว่าเราอยากได้ไป๋หลี่ซีมาก   การที่รัฐฉู่ใช้เขาเป็นคนเลี้ยงวัว แสดงว่าผู้ครองรัฐฉู่ยังไม่รู้ว่าไป๋หลี่ซีเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ทางที่ดีควรใช้ของเพียงเล็กน้อยไปแลก  แล้วบอกว่า  อยากจับคนที่หลบหนีการเป็นผู้ติดตามเจ้าสาว มาลงโทษ  เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง  มู่กงเห็นด้วยกับคำแนะนำนี้  จึงส่งหนังแพะห้าผืนไปแลกตัวไป๋หลี่ซี ผู้ครองรัฐฉู่ก็ยอมส่งไป๋หลี่ซีมารัฐฉินตามคำขอของฉิน

 ข. ไป๋หลี่ซีและเจี่ยนสู

      ตอนที่ไป๋หลี่ซีพบฉินมู่กง   มู่กงเห็นว่าเขาเป็นคนแก่จึง ถามว่ามีอายุเท่าไร ไป๋หลี่ซีตอบว่า อายุ 70 ปี   มู่กงกล่าวว่า ถ้าอายุน้อยกว่านี้ จะเชิญให้ทำงานรับราชการที่รัฐฉิน ไป๋หลี่ซีกล่าวว่า ถ้าให้รับราชการ เขาจะทำงานได้มากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับเรื่องที่จะมอบให้ทำ ถ้าจะให้ไปสู้รบหรือล่าสัตว์ เขาคงทำไม่ได้  แต่ถ้าจะให้นำเสนอนโยบายการปกครองรัฐก็พอทำได้  มู่กงคุยกับเขาเรื่องนโยบายในการปกครองรัฐฉินแล้ว รู้สึกพอใจมาก  จึงอยากแต่งตั้งให้เขาเป็นอัครเสนาบดี   ไป๋หลี่ซีกล่าวว่า  คนที่เหมาะสมเป็นอัครเสนาบดี คือเจี่ยนสู ซึ่งมีความรู้ความสามารถเหนือกว่าเขามาก  ถ้ามู่กงอยากให้รัฐฉินเจริญรุ่งเรือง ควรไปเชิญเจี่ยนสูมาเป็นอัครเสนาบดี  มู่กงจึงขอให้ไป๋หลี่ซีเขียนจดหมาย แล้วส่งคนไปเชิญเจี่ยนสูมา ทีแรกเจี่ยนสูไม่ยอมมา บอกตนอายุมากแล้วใช้ชีวิตบั้นปลายเป็นชาวนาสบายใจกว่า  แต่ขุนนางที่มู่กงส่งไปเชิญเขา  บอกว่า  ถ้าเขาไม่มา ไป๋หลี่ซีอาจไม่ยอมรับราชการที่รัฐฉินคนเดียว  เจี่ยนสูคิดว่า ไป๋หลี่ซีเป็นคนเก่ง แต่รอจนแก่จึงมาพบผู้ครองรัฐที่เห็นคุณค่าในตัวเขา ถ้าตนไม่ไปและไป๋หลี่ซีไม่ยอมอยู่ทำงานที่รัฐฉิน ก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย  จึงยอมมารับราชการที่ฉิน เมื่อมาถึงแล้ว มู่กงจึงแต่งตั้งทั้งเจี่ยนสูและไป๋หลี่ซีเป็นอัครเสนาบดีร่วมทำงานกัน

    ชีวประวัติของไป๋หลี่ซีน่าสนใจมาก ในสมัยเลียดก๊ก  ผู้ครองรัฐต่างๆ ล้วนอยากได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยงาน  แต่ไป๋หลี่ซีต้องเร่ร่อนไปอยู่หลายรัฐ จนอายุมาก จึงได้พบผู้ครองรัฐที่มองเห็นคุณค่าของเขา   ไป๋หลี่ซีเป็นคนรัฐหวี(虞)ซึ่งเป็นรัฐเล็กๆ  ภรรยาบอกว่า เขามีความรู้ความสามารถในการบริหารกิจการบ้านเมือง น่าจะไปรับราชการที่รัฐใหญ่เช่นรัฐฉี ไม่ควรอยู่บ้านเป็นชาวนาจนแก่เฒ่า ที่บ้านยังพอมีอันจะกิน ออกไปหางานทำที่รัฐฉีเถิด ไม่ต้องห่วงที่บ้าน  ไป๋หลี่ซีเห็นด้วยกับภรรยา จึงออกเดินทางไปรัฐฉี  แต่เมื่อไปถึงรัฐฉี ก็พอดีเป็นช่วงที่รัฐฉีมีความวุ่นวาย  ทายาทของผู้ครองรัฐกำลังแย่งชิงอำนาจกันหลังผู้ครองรัฐเสียชีวิต  ไป๋หลี่ซีจึงหางานทำไม่ได้  ในเวลานั้น มกุฎราชกุมารของราชวงศ์โจวที่ชอบวัว ประกาศว่าจะหาคนมาเลี้ยงวัว ไป๋หลี่ซีจึงไปสมัครงานเลี้ยงวัวที่เมืองหลวงโจว ต่อมา ราชวงศ์โจวมีเรื่องวุ่นวายและมกุฎราชกุมารเสียชีวิตลง ไป๋หลี่ซีจึงกลับบ้านเดิมที่รัฐหวี แต่เมื่อมาถึงบ้าน พบว่า ภรรยากับลูกเขาทนความยากจนไม่ไหวได้หนีไปอยู่รัฐอื่นแล้ว ไป๋หลี่ซีไม่รู้ว่าลูกเมียไปอยู่ที่ไหน จึงอยู่รับราชการเป็นลูกน้องกงจือฉี(宫之奇)ซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่รัฐหวี ต่อมารัฐหวีถูกรัฐจิ้นโจมตีจนเสียดินแดนให้จิ้น ไป๋หลี่ซีก็ถูกจับตัวไปเมืองหลวงรัฐจิ้น และถูกส่งเป็นผู้รับใช้ขุนนางคนหนึ่ง

    ไป๋หลี่ซีเป็นเพื่อนกับเจี่ยนสู ทั้งสองพบกันครั้งแรกที่รัฐฉี เมื่อคุยกันแล้ว ต่างก็ชื่นชมในความรู้ความสามารถของอีกฝ่ายหนึ่ง เจี่ยนสูเคยเตือนไป๋หลี่ซีว่า มกุฎราชกุมารราชวงศ์โจวและผู้ครองรัฐหวีไม่ใช่คนมีคุณธรรมที่จะรับใช้ได้  แต่ก็เห็นใจเพื่อนที่ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ  เมื่อไป๋หลี่ซีพบฉินมู่กง จะไปรับราชการที่ฉิน เจี่ยนสูจึงเห็นชอบด้วย และไปร่วมงานกับเขาที่รัฐฉิน

   แม้รัฐฉินจะมีแสนยานุภาพกล้าแข็ง แต่เจี่ยนสูและไป๋หลี่ซีเห็นว่า รัฐฉินควรมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจให้ประชาชนอยู่ดีกินดีและมีการศึกษาที่ดี มีกฎหมายกฎระเบียบที่ดีเสียก่อน  ดีกว่าที่จะรีบร้อนก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมหาอำนาจ   การเป็นผู้ครองรัฐที่รัฐอื่นนับถือ ต้องไม่โลภ ไม่โกรธแค้น ไม่เร่งรีบ และมีความยุติธรรม ซึ่งฉินมู่กงก็เห็นชอบด้วย ต่อมา จึงมีส่วนในการจัดระเบียบขจัดความวุ่นวายในรัฐจิ้น และยอมให้รัฐจิ้นภายใต้การปกครองของจิ้นเหวินกงขึ้นเป็นรัฐมหาอำนาจก่อนรัฐฉิน

    ส่วนภรรยาของไป๋หลี่ซี เดิมมีชีวิตพอกินพอใช้ แต่เผอิญรัฐหวีต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง คนอดอยากล้มตายจำนวนมาก  จึงต้องพาลูกออกไปจากบ้านเดิมไปอยู่รัฐอื่น เวลาผ่านไปหลายปี ได้เร่ร่อนไปรัฐฉิน ทำงานเป็นคนซักผ้าที่บ้านข้าราชการคนหนึ่ง  ต่อมาได้ข่าวว่า  อัครเสนาบดีรัฐฉิน เป็นผู้สูงอายุที่ฉินมู่กงใช้หนังแพะห้าผืนแลกมา จึงสมัครงานเป็นผู้ซักเสื้อผ้าในคฤหาสน์ของอัครเสนาบดี การที่เป็นคนอัธยาศัยดี และซักเสื้อผ้าได้สะอาด จึงได้รับความชื่นชมจากทุกคนที่รู้จัก แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้พบโป๋หลี่ซี ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์

    อยู่มาวันหนึ่ง บ้านไป๋หลี่ซีมีงานเลี้ยงต้อนรับแขกที่มาจากรัฐอื่น มีการจัดวงดนตรีและมีการร่ายรำต้อนรับด้วย  ภรรยาไป๋หลี่ซี ขอมาร่วมชมงานด้วย คนจัดงานก็ไม่ว่าอะไร พอถึงการแสดงดนตรีและร้องเพลง นางบอกหัวหน้าวงดนตรีว่า นางเล่นขิมและร้องเพลงได้ เมื่อลองให้ทำดู ก็เล่นได้ดี จึงยอมให้นางร่วมวง  อีกพักหนึ่ง ไป๋หลี่ซีออกมารับแขก  แม้แต่งตัวดีมาก  แต่นางก็รู้ว่าเป็นสามีที่จากกันมานานหลายปี จึงขออนุญาตหัวหน้าวงดนตรีให้นางจึงเล่นขิม พร้อมกับร้องเพลง มีเนื้อร้องว่า “ ยังจำได้ไหม ก่อนจากกัน ฉันหุงข้าวให้กิน มีผักกาดขาวเป็นกับข้าว แต่ก่อนเรามีชีวิตลำบากมาก  เดี๋ยวนี้ฉันก็ยังลำบากอยู่ แต่เธอเป็นใหญ่ มีชีวิตที่สบายแล้ว ยังจำฉันได้ไหม? “ ไป๋หลี่ซีเมื่อได้ยินเพลงนั้น ก็ตกใจมาก รู้ว่าคนร้องเพลงเป็นภรรยาของตน จึงเดินลงมาพบ สามีภรรยาที่จากกันมาหลายสิบปี จึงได้มาอยู่ด้วยกันอีก  ฉินมู่กงได้ทราบข่าว ก็ดีใจมาก มอบสิ่งของให้จำนวนมาก และแต่งตั้งให้ลูกไป๋หลี่ซี ที่มีความสามารถในการสู้รบเป็นนายทหารด้วย

   ไป๋หลี่ซีเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารบ้านเมือง อยู่จนอายุมากแล้ว ถึงได้พบเจ้านายที่ชื่นชมในคุณสมบัติของเขา  ชีวประวัติของไป๋หลี่ซี แสดงให้เห็นถึงสัจธรรมอย่างหนึ่งคือ คนเก่งถ้าไม่พบเจ้านายที่ดี ก็ไม่มีโอกาสแสดงความสามารถของตนได้  ในประวัติศาสตร์จีน  มีตัวอย่างของคนดีคนเก่งจำนวนมาก แต่บุคคลเหล่านี้  หากไม่ได้พบกษัตริย์หรือผู้ปกครองรัฐที่เห็นคุณค่า ก็ไม่มีโอกาสแสดงฝีมือ  ก่วนจ้งเป็นคนที่มีความสามารถในการบริหารบ้านเมืองหลายด้าน แต่ถ้าฉีหวนกงไม่รู้จักใช้เขา ชื่อของก่วนจ้ง ก็จะไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์จีนเลย  เช่นเดียวกับขงเบ้ง  ถ้าเล่าปี่ไม่ไปเชิญมาช่วยงาน ก็อาจเป็นชาวนาที่ไม่มีชื่อในประวัติศาสตร์  ชีวิตของเจี่ยนสูและไป๋หลี่ซีก็มีลักษณะอย่างเดียวกัน เจี่ยนสูเลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่าย โดยไม่ไขว่คว้าตำแหน่งและเงินทอง ไป๋หลี่ซีแม้อยากทำงาน แต่ก็ไม่พบเจ้านายที่เห็นคุณค่าในความรู้ความสามารถของเขา จนกระทั่งได้พบฉินมู่กง  การใช้ให้เขาเลี้ยงวัวก็เหมือนกับใช้ม้าอาชาไนยลากรถ แม้ทำได้ดี แต่ก็ไม่ใช่การแสดงความสามารถเต็มที่

    ในปัจจุบัน เราได้เห็นประเทศที่มีคนดีคนเก่งจำนวนมาก แต่มีผู้บริหารที่ไม่ดี ไม่เพียงแต่ไม่มีความรู้ความสามารถ แต่ยังมีอุปนิสัยที่ไม่ดี เป็นคนโกง คนโง่ ที่บ้าอำนาจ มีพฤติกรรมทุจริตคอรัปชั่น บางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา มีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์เก่งๆจำนวนมาก แต่ ไม่ได้ใช้คนเหล่านี้มากำหนดนโยบาย และช่วยบริหารประเทศ   เศรษฐกิจและสังคมของอเมริกาจึงเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ  แล้วประเทศไทยมีลักษณะเช่นเดียวกันได้หรือไม่?

ค. เหยาหวี

   รัฐฉินมีพื้นที่ติดกับชนเผ่าซีหยง(西戎)ซึ่งเป็นชนเผ่าที่มีความเข้มแข็ง และส่งทหารมาปล้นสดมภ์รัฐฉินที่ชายแดนอยู่เนืองๆ  ต่อมาเมื่อรัฐฉินมีแสนยานุภาพเข้มแข็งขึ้น หัวหน้าชนเผ่าหยง เกรงว่าสักวันหนึ่รัฐฉินจะมารุกรานตน จึงส่งขุนนางชื่อเหยาหวีไปเยือนรัฐฉิน ทำทีมาเจริญสัมพันธไมตรี  ฉินมู่กงได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับ มีการร่ายรำและบรรเลงดนตรี และถามเหยาหวีว่า ที่ซีหยงมีดนตรีเช่นนี้หรือไม่ เหยาหวีตอบว่า ดนตรีและการร้องรำ ตลอดจนระเบียบพิธีต่างๆ มีส่วนในการบั่นทอนจิตใจ ที่ซีหยงไม่มีสิ่งเหล่านี้  คนที่นั่นมีชีวิตความเป็นอยู่เรียบง่าย  ดูเหมือนไม่มีวัฒนธรรมสูงส่ง  แต่ก็สามารถรักษาความเป็นปึกแผ่นของชนเผ่าได้ดี

    ต่อมา มู่กงได้สอบถามขุนนางฉินว่า เหยาหวีเป็นคนอย่างไร ไป๋หลี่ซีตอบว่า เหยาหวีเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถมาก  เดิมอยู่รัฐจิ้น แต่เมื่อจิ้นเกิดความวุ่นวาย จึงไปอยู่ซีหยง มู่กงกล่าวว่า ถ้าซีหยงมีคนเก่ง ก็อาจเป็นภัยกับรัฐฉินได้ เราควรหาทางให้เหยาหวีมาอยู่กับเรา

    ฉินมู่กงถามเหล่าขุนนางว่า มีวิธีอะไรที่จะให้เหยาหวีมาอยู่กับเรา เจี่ยนสูเสนอว่า ซีหยงเป็นดินแดนทุรกันดาร ไม่รู้จักเรื่องการบันเทิงเริงรมย์  เราควรส่งคณะดนตรีและคัดเลือกสาวงามไปให้ซีหยง  ถ้าทำให้หัวหน้าเผ่าและคนที่นั่นมัวเมากับสิ่งเหล่านั้นแล้ว ก็จะบั่นทอนจิตใจพวกเขาได้  ในขณะเดียวกัน ก็ถ่วงเวลาให้เหยาหวีอยู่ที่รัฐฉินก่อน อย่าเพิ่งปล่อยให้เขากลับไป แล้วจึงค่อยเกลี้ยกล่อมให้เขาอยู่กับเรา มู่กงจึงมอบหมายให้เหล่าขุนนางผลัดกันจัดงานเลี้ยงให้เหยาหวี  เพื่อรั้งตัวให้อยู่รัฐฉินนานๆ  พร้อมกับส่งคณะสาวงามและของกำนันจำนวนมากไปให้หัวหน้าชนเผ่าหยง

    หัวหน้าเผ่าหยง ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องความเริงรมย์มาก่อน จึงพอใจในสาวงามและดนตรีเป็นอย่างมาก เมื่อเหยาหวีกลับมาซีหยง  เห็นสภาพเช่นนี้ รู้สึกกังวลใจ   จึงพยายามตักเตือนเจ้าซีหยง ให้ถอยห่างจากความบันเทิงบ้าง  แต่เจ้าซีหยงกลับรู้สึกโกรธ ทั้งยังตำหนิเหยาหวีว่า ไปอยู่รัฐฉินเสียนาน นี่จะเอาใจออกห่างจากซีหยงหรืออย่างไร  เหยาหวีเห็นว่า เจ้าซีหยงมีความหวาดระแวงต่อตนแล้ว  และคิดว่า ฉินมู่กงเป็นผู้ครองรัฐที่ดี มีคนที่มีความรู้ความสามารถจำนวนมากช่วยราชการด้วย  จึงตัดสินใจไปอยู่กับมู่กง เป็นขุนนางของรัฐฉินตั้งแต่นั้นมา

   ต่อมา ฉินมู่กงยกทัพไปปราบซีหยง เจ้าซีหยงต้องยอมจำนนโดยไม่ต่อสู้ แต่มู่กงก็ฟังคำแนะนำของเหยาหวี ให้ซีหยงสวามิภักต่อรัฐฉิน แม้ได้ผนวกดินแดนซีหยงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐฉิน แต่ก็ดูแลประชาของซีหยงเป็นอย่างดี

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *