jos55 instaslot88 Pusat Togel Online ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (16) - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (16)

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (16)

ผู้เขียน อ.อดุลย์ มานะจิตต์

ต่อไปในอนาดต เพราะการดิ้นรนต่อสู้ในแบบนี้ศัตรูไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธผู้คนที่ละทิ้งและล้มเลิกการศรัทธาของตนโดยที่พวกเขาเองไม่รู้ตัว ในที่สุดก็จะถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้น เช่น ลัทธิดอมมิวนิสต์และลัทธิทุนนิยมเสรีเป็นต้น

 

อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ในช่วงที่เต็มไปด้วยความไม่สงบและการก่อกวน ความจำเป็นที่รู้สึกได้อย่างดีว่าจะต้องมีน้ำที่มาจากพระเจ้าสักคนหนึ่ง เพื่อมาช่วยเหลือผู้คนที่หลงทาง ให้รอดพ้นจากความอับโชคและความเบี่ยงเบนของพวกเขา

 

และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วยกับการมากอบกู้สถานการณ์อันเป็นเพราะความรักและความเมตตาของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ท่านศาสดาอีซาจึงจุติสูโลกนี้ การถือกำเนิดของผู้ทรงเป็นที่รักท่านนี้จึงประกอบไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ทั้งหมดเหล่านั้น ก็เพื่อเป็นพยานถึงตำแหน่งอันสูงส่งและเลิศเลอของท่าน ความมหัศจรรย์อันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าท่านเป็นผู้นำที่พระเจ้าทรงมา และที่ว่าพระทัตถ์อันทรงพลังของพระเจ้าได้ทรงนำท่านมาให้ปรากฏ เพื่อมาสถาปนาการปฏิวัติอันยิ่งใหญ่

 

ธรรมเทศนาของอัล มะซีฮะคัมภีร์ อินญีล ถูกส่งลงมาถึงตัวของศาสดาอีซาเพื่อเป็นแผนการหนึ่งสำหรับการปลดปล่อยบรรดาผู้ที่หลงทาง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า คัมภีร์ที่ถูกวิวรณ์ลงมานี้ (Evangel หรือ Gospel) ได้สูญหายไปแล้ว และพระคริสต์ธรรมใหม่หรือ ‘Gospe!’ หรือไบเบิลซึ่งอยู่ในความครอบครองของชาวคริสต์จึงไม่ใช่คัมภีร์ที่ถูกวิวรณ์ลงมาโดยตรงให้กับศาสดาอีชา ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าคัมภีร์ใบเบิลใหม่เป็นการเล่าเรื่องราวของบรรคนที่กล่าวอ้างว่าเป็นอัครสาวกของพระเยซู เช่น โยฮัน มัทธายมกระโกและลูกา เป็นต้น ซึ่งในทัศนะของอิสลามถือได้แต่เพียงว่าเป็นการบันทึกฮะดิษ (วจนะ) เท่านั้น

 

ท่านศาสดาอีซา ได้ประกาศสาสน์ของท่านและเริ่มภารกิจต่างๆของท่านในวงกว้าง ท่านได้แบกรับภาระอันยิ่งใหญ่เพื่อช่วยเหลือชาวยิวและเพื่อเป็นการกำจัดบรรคารากเง้าของความเฉเฉือนต่างๆ ของพวกเขา

 

แต่บรรดาผู้นำของพวกยิวผู้ซึ่งติดยึดอยู่กับสถานะและตำแหน่งและพวกเขาพากันคิดไปว่า สิ่งเหล่านี้จะต้องถูกทำลายลงเพราะการมาของอีชา และจึงหวาดกลัวในการกิจของการเป็นศาสนทของท่าน ดังนั้นเพื่อเป็นการสกัดกั้นความก้าวหน้าของอีซา พวกเขาจึงมองหาหนทางต่างๆ เพื่อการสร้างความวุ่นวายไม่สงบขึ้น

 

ท่านศาสดาอีชาตระหนักถึงแผนการต่างๆ ของพวกเขา แต่ท่านมีความมั่นคงประดุจดังหินผา และจึงเริ่มคำสอนและความเป็นผู้นำของทำของท่านมาสู่การปฏิวัติ และบอกกล่าวกับประชาชนถึงเรื่องการถือโชคถือลางและการบิดเบือนต่างๆ ที่ได้สอดแทรกเข้าไนศาสนาของศาสดามูซา

 

ขณะที่ท่านออกเผยแผ่ไปในที่ต่างๆ นั้น ในบางครั้งท่านจะรักษาคนป่วยด้วยกับพระอนุมัติของพระเจ้า ท่านจะทำคนตายให้ฟื้นคืนคืนชีพเพื่อว่าพวกเขาจะได้เข้าใจว่าท่านนั้นมาจากพระเจ้า และถูกส่งมาจากพระองค์ผู้ทรงเอกะ และไม่มีพระเจ้าอื่นใดเสมอเหมือนพระองค์

 

วาระสุดท้ายของภารกิจของ อัล มะซีฮะคืนวันผ่านไป บรรดาสหายและผู้ปฏิบัติตามท่านเพิ่มจำนวนมากขึ้นและยิ่งจำนวนมากขึ้นท่าใด การต่อต้านจากบรรดาผู้นำของฝ่ายยิวก็ยิงเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น จนถึงขนาดที่ว่าพวกเขาตัดสินใจที่จะกำจัดท่านให้พ้นไปด้วยการร่วมมือกับทหารของฝ่ายโรมัน ออกล่าตัวท่านเพื่อจับไปตรึงกางเขน แต่พระเจ้าทรงปกปิดท่านจากสายตาของพวกเขา จึงจับเอาอีกคนหนึ่งด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นศาสดาอีชาเพราะมีส่วนละม้ายคล้ายกับท่าน และจึงทำให้พวกเขาเชื่อไปอย่างผิดๆ ว่าพวกเขาได้ตรึงกางเขนพระเยซู ความจริงนี้ได้สาธยายไว้อย่างกระจ่างชัดแล้วในภีร์อัล กุรอาน

 

แต่พวกเขาไม่ได้ฆ่าเขาหรือตรึงกางเขนเขา แต่เป็นการทำให้ปรากฏกับพวกเขาว่าเป็นเช่นนั้น และบรรดาผู้ที่มีความขัดแย้งกันเรื่องนี้ ย่อมตกอยู่ในความสงสัยอย่างแจ้งชัด โดยไม่มีความรู้ที่แน่นอนเลย นอกจากเป็นเพียงการคาดเดาตามๆ กันไป และถือเป็นแน่นอนได้เลยว่าพวกเขาไม่ได้ฆ่าเขา หามิได้! อัลลอฮ์ทรงเทิดเขายังพระองค์ และพระองค์ทรงสูงส่งในอำนาจและทรงรอบรู้(อัล กุรอาน 4:157-158)

 

เพราะฉะนั้นเรื่องของไม้กางเขน และการต่อเติมตกแต่งเรื่องราวที่ไร้เหตุผลซึ่งนำมาเพิ่มเติมเข้ากับเรื่องนี้ ล้วนแล้วแต่ปราศจากมูลฐานใดๆทั้งสิ้น ดังตัวอย่างที่ว่าเมื่อชาวคริสต์ในทุกวันนี้กล่าวว่าในสารัตถงมนุษย์นั้น เขาเป็นคนบาปคนหนึ่ง ถึงแม้เขาอาจจะไม่ได้ทำบาปใดๆ ตลอดชีวิตเขาก็ตาม และการที่นบีอีซาหรือพระเยซูถูกตรึงกางเขน ก็เป็นการถูกตรึงแทนผู้คนเหล่านี้ เพื่อว่าพวกเขาอาจรอดพ้นจากการถูกทรมานไฟนรก

 

ศาสดาอีซา อัล มะซีฮะ และบ่าวทาสของพระเจ้าสิ่งที่เห็นได้อย่างเด่นชัดจากคัมภีร์อัล กุรอานและถึงแม้กับพระคริสต์ธรรมใหม่บางฉบับ ซึ่งในปัจจุบันนี้อยู่ในครอบครองของชาวคริสเตียน เช่นฉบับของมาระโก บทที่ 12 โองการที่ 29 มีควมว่า “พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า : ธรรมบัญญัตินั้นคือว่า โอ้ชนอิสราเอลจงฟังเถิด พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว” ล้วนยืนยันว่าพระเยซูทรงคำนึงอยู่เสมอว่าท่านนั้นเป็นข้าทาสของพระเจ้า เคารพสักการะพระเจ้า และเรียกร้องผู้คนให้มาศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว

 

ศาสดาอีชา ตรัสว่าแท้จริงอัลลอฮ์คือ พระองค์ผู้ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของฉัน และพระอภิบาลของพวกท่าน ดังนั้นจงเคารพภักดีพระองค์ นี้คือหนทางที่เที่ยงตรง (อัล กุรอาน 3:51)

 

ศาสดาอีซาไม่เคยกล่าวอ้างว่าท่านเป็นพระเจ้า และถ้าหากชาวคริสต์ยึดถือว่าท่านเป็นพระเจ้าก็ถือว่าเป็นการจินตนาการของพวกเขาเอง

 

เนห์รู ได้เขียนไว้ในหนังสือของท่านชื่อ ‘Glimpses of World History’ หรือ พบถิ่นอินเดีย ว่าพระเยซูไม่เคยอ้างตนเองว่ามเป็นพระเจ้าหรือเป็นพระเจ้าองค์เดียว แต่เป็นที่ว่าผู้คนมักเปลี่ยนวีรบุรุษของตนให้เป็นรูปแบบหนึ่งของพระเจ้าเสมอ

 

ศาสดาอีซาเป็นเหมือนกับบรรดาศาสดาท่านอื่นๆ ซึ่งเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่วิวรณ์ถูกส่งลงมาจากพระเจ้า และมีการเคลื่อนไหวเพื่อนำและชี้นำทางแก่สังคม ถ้าหากท่านแสดงอภินิหารต่างๆ บรรดาศาสตาอื่นๆ ก็ได้กระทำมาแล้ว หากว่าท่านถือกำเนิดมาโดยไม่มีบิดา ศาสดาอาดัมก็ถูกสร้างมาโดยไม่มีทั้งบิดาและมารดา แต่ก็ไม่มีชาวคริสต์คนใดคิดกันว่าท่านเป็นพระเจ้า

 

อัล กุรอานกล่าวว่ามะซีฮะบุตรของมัรยัม มิได้เป็นอะไรมากไปกว่าการเป็นศาสนทูตองค์หนึ่ง ได้มีศาสนทูตจำนวนมากมายผู้ซึ่งได้ผ่านพ้นมาแล้วก่อนหน้าเขา มารดาของเขาเป็นสตรีที่มีความสัตย์จริง เขาทั้งสองต้องบริโภคอาหารประจำวันของเขา (อัล กุรอาน 5:75)

 

ย่อมหมายความว่าท่านทั้งสองเป็นเหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ ทั่วไปที่ต้องการปัจจัยยังชีพ

 

ความสัตย์จริงนี้ ซึ่งปรากฏเป็นพระคำของพระเจ้าอันแจ้งชัด ดังปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัล กุรอาน ที่เห็นท้องต้องกันทั้งสองประการ คือทั้งวิทยญาณและเหตุผลสติปัญญา เพราะเหตุว่าบุคคลผู้หนึ่งที่มีอะไรเหมือนกับบุคคลอื่น ย่อมไม่มีอำนาจมาจากตัวเอง ดังนั้นจึงเหมือนกับผู้อื่นและศะศาสนทูตทำนอื่นๆ ซึ่งมีความต้องการในปัจจัยยังชีพ เช่น อาหารและการหลับนอน ดังนั้นด้วยกับการตัดสินด้วยกับปัญญา เขาจึงไม่คู่ควรที่จะถูกเคารพกราบไหว้

 

ฉะนั้นหากว่ากันตามสติปัญญา และด้วยกับการยืนยันยันของคัมภีร์อัลกุรอาน ว่ากันตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในพระคริสต์ธรรมใหม่และหลักฐานยืนยันของนักประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่แล้ว ศาสดาอีซาจึงเป็นผู้รับใช้และเป็นศาสนทูตของพระเจ้า และท่านไม่เคยกล่าวอ้างว่าท่านเป็นผู้มีพระภาคเจ้า

 

แต่ภายหลังจากที่ศาสนาอันบริสุทธิ์ของศาสดาอีชาสูญเสียความจริงแท้ของมันไป จึงทำให้พหุเทวนิยมและการกราบไหว้รูปเคารพหวนกลับมาสู่การเชื่อถือของผู้คนอีก ถึงกับทำให้ วิล ดูรานท์ ต้องเขียนไว้ในหนังสือของท่านชื่อ Story of Civilization’ (ราวของอารยธรรม) ดังว่า ศาสนาคริสต์ไม่ใช่แต่เพียงไม่กำจัดลัทธิพทุเทวนิยมเท่านั้น แต่กลับไปเอามันมายึดไว้อีกต่างหาก

 

ทุกท่านที่ศึกษาถึงลัทธิความเชื่อของศาสนาศริสต์ ย่อมจะต้องยืนยันว่านักประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ความจริงนี้ให้เห็นแล้ว ถึงแม้ในขณะนี้ความเชื่อดังกล่าวต่อไปนี้ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ในหมู่ของชาวคริสต์

 

1) ศาสดาอีชา กลับกลายเป็นผู้ที่ถูกแยกออกไปจากความเป็นสารัตถะหรือคุณลักษณะของพระเจ้า และเขาจึงมิได้เป็นผู้ถูกสร้าง แต่เขาเป็นผู้ที่ประสูติมาจากพระเจ้า

2) พระเยซู เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นมนุษย์ซึ่งพระเจ้าอวตารลงมาเกิด

3) พระเยซู เป็นพระเจ้าด้วยกับตัวของท่าน ผู้ซึ่งสำแดงตัวของท่านในรูปของมนุษย์แต่เราต่างตระหนักดีแล้วว่า พระเจ้าไม่ได้เป็นวัตถุธาตุที่จะมามีที่อยู่ในอวกาศแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือแยกพระองค์ออกเป็นส่วนๆ และทรงเรียกพระองค์ว่าบุตรของพระเจ้า และเข้าใจได้ด้วยวิทยปัญญาของเราเราเช่นกันว่า พระเจ้ามิทรงมีขนาดที่จะไปบรรอยู่ในบางสิ่งบางอย่าง หรืออวตารหรือกลับชาติมาเกิด หรือออกมาปรากฏในลักษณะรูปร่างของมนุษย์

 

ยิ่งไปกว่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งพระองค์ปราศจากความต้องการในสิ่งใดๆ กลับกลายต้องเป็นผู้ที่มีความต้องการอาหารและเครื่องนุ่งห่ม

 

เพราะฉะนั้นถ้าหากชาวดริสต์พินิจพิเคราะห์อย่างตั้งใจแล้ว พวกเราก็จะต้องยอมรับว่าพระเยซูเป็นเช่นเดียวกันกับบรรดาศาสดาท่านอื่นๆคือเป็นข้าทาสุของอัลลอฮ์ และไม่เคยกล่าวอ้างตนเองเป็นพระเจ้าในแต่ประการใดๆ เลย

 

โดยแน่นอนยิ่ง พวกเขาล้วนเป็นผู้ปฏิเสธ ผู้ซึ่งกล่าวว่าอัลลอฮ์ทรงเป็นมะซีฮะบุตรของมัรยัม ‘จงกล่าวเถิด! ผู้ใดเล่าที่จะมีอำนาจมาขัดขวางอัลลลลธิ์ในหนทางใดๆ ได้ ถ้าหากพระองค์จะทรงทำลายมะซ็ฮะบุตรของมัรย้มและมารดาของเขา และบรรดาผู้ที่อยู่บนโลกด้วยกันทั้งหมดได้’ เพราะยังอัลลล์ส์คือผู้ทรงเป็นเจ้าของอาณาจักรแห่งชั้นฟ้าและแผ่นดินและทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในระหว่างมันพระองค์ทรงสร้างสรรค์ตามแต่ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮ์คือผู้ทรงอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง (อัล กุรอาน 5:17)

 

คำเทศนาของมะซีฮะ

มุฮัมมัดศาสนทูตแห่งอิสลาม ศาสนทูตผู้ยิ่งใหญ่ กล่าวว่า”บรรดาสาวกถามศาสดาอีซาว่า ‘กับใครกันที่เราควรจะคบหา’ เขาตอบว่า กับบรรดาที่สีหน้าของเขาทำให้รำลึกถึกถึงอัลลอฮ์ และคำพูดของเขาทำให้ความรู้ของท่านเพิ่มพูนขึ้น และการกระทำต่างๆ ของเขาทำให้ความ



Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *