บทเรียนความเป็นผู้นำจากภาพยนตร์สงคราม : Schindler’s List
บทเรียนความเป็นผู้นำจากภาพยนตร์สงคราม : Schindler’s List
ออสการ์ ชินด์เลอร์ นักธุรกิจชาวเยอรมัน ได้สอนบทเรียนความเสียสละและความรัก เขาเป็นนักธุรกิจที่สามารถทำอะไรก็ตามเพื่อความมั่งคั่ง แต่ชินด์เลอร์ ได้ค่อยเปลี่ยนแปลงไปสู่ผู้นำที่กล้าหาญและเห็นอกเห็นใจมุ่งมั่นใช้อำนาจของเขาและบารมีที่ชักจูง เพื่อการช่วยชีวิตชาวยิว การเสียสละความปลอดภัยและความมั่งคั่งของเขาเพื่อที่จะช่วยเหลือบุคคลอื่น ชินด์เลอร์ยืนขึ้นอย่างกล้าหาญเพื่ออะไรที่เขาเชื่อผ่านการให้สินบนนายทหารนาซี คุ้มครองคนงานยิวของเขาและรักษาโรงงานของเป็นค่ายย่อยที่ปลอดภัยต่อพวกเขา การเเสดงความกล้าหาญ ความเมตตา ความกล้าแสดงออก และบารมี ภายในการเผชิญกับการปกครออย่างโหดร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์ ชินด์เลอร์ให้ตัวอย่างที่ผิดธรรมดาของความเป็นผู้นำภาพยนตร์ Schindler’s List ได้สำรวจความสามารถของมนุษย์เพื่อความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ และเพื่อความกล้าหาญ การดูแล และความเห็นอกเห็นใจ ผิดธรรมดา มันทำให้ประวัติศาสตร์กลายเป็นโอกาสเพื่อการสะท้อนทางศีลธรรม ถ้าคุณพิจารณาใช้ Schindler’s List กับนักศึกษาของคุณหรือไม่เมื่อนำเสนอภายในบริบทของชุมชนห้องเรียนอย่างรอบคอบ สะท้อน และปลอดภัย Schindler’s List สามารถให้ประสบการณ์เรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่มีพลังสตีเวน สปิลเบิรก ได้ให้หัวใจและวิญญานของเขาต่อการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาจะไม่ยอมรับกำไร เรียกมันว่าเงินเปื้อนเลือด และได้บริจาครายได้แก่องค์การยิว และการศึกษาโฮโลคอสท์ เขาได้กล่าวว่า เมื่อผมตัดสินใจครั้งแรกสร้าง Scindler’s List ถ้าภาพยนตร์นี้ทำกำไรใดก็ตาม มันไม่สามารถมาที่ผมหรือครอบครัวของผม มันต้องออกไปสู่โลก มันจะเป็นเงินเปื้อนเลือดการตัดสินใจของสตีเวน สปิลเบิรก ถ่ายทำSchindler’ s List เป็นขาวดำได้เพิ่มความรู้สึกของความเป็นจริง และหลีกเลี่ยงที่จะทำให้โฮโลคอสท์สวยงาม การใช้สีภายในฉากสุดท้ายแสดงสัญลักษณ์ความหวัง ความเป็นมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงของออสการ์ ชินเลอร์ Schindler’s List ได้สับเปลี่ยนระหว่างขาวดำและสีระหว่างเวลาฉาย 195 นาที ภาพยนตร์สงครามโลกครั้งที่สองที่สะเทือนใจมากเรื่องนี้ได้ถูกมองเป็นภาพยนตร์เเสดงโฮโลคอสท์ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล สตีเวนสปิลเบิรก ตัวเขาเอง ได้ประกาศมันเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่สุดของอาชีพ 54 ปีของเขา ความโชติช่วงของ Schindler’s List อยู่ที่ความรู้สึกของความเป็นจริงของมัน มันได้ค้นพบความหวังและความเป็นมนุษย์ภายในโศกนาฏกรรมยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษย์อย่างไรด้วย ทอม พอลลอค เป็นหัวหน้าของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ ณ เวลานั้น และภายใต้ความเป็นผู้นำของเขา เขาได้ดูแลการเปิดตัวภาพยนตร์ 200 และเจ็ดเรื่องได้ถูกเสนอชื่อเพื่อชิงรางวัลออสกาต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่เมื่อมันมาสู่ Schindler’s List เขาไม่เห็นด้วยกับภาพยนตร์ขาวดำของสตีเวนสปิลเบิรก เพราะว่าเขาต้องเห็นด้วยที่จะวางเงิน 20 ล้าเหรียญสร้างภาพยนตร์ แต่ถ้าคุณสร้างมันเป็นขาวดำ มันทำให้เราไม่มีโอกาสสามารถชดใช้เงินลงทุนของเราได้เราเข้าใจความห่วงใยของพอลลอค เพราะว่ามันเป็นงานของเขาที่จะมีความห่วงใยเหล่านี้ ฮอลลีวูดเป็นสถานที่ตรงที่เงินมาก่อนศิลปะอยู่เสมอแต่สตีเวน สปิลเบิรกยืนหลักการของเขา เเละเขาไม่ยอมประนีประนอมวิสัยทัศน์ของเขา เขามีประสบการณ์กับภาพยนตร์อื่นที่เขาสร้างบันดาลใจถ่ายทำมันเป็นขาวดำสตีเวน สปิลเบิรกไม่ต้องการให้ Schindler’s List รู้สึกอบอุ่นหรือโรแมนติกด้วยวิถีทางใดก็ตาม มันจะมีเหตุผลอย่างสมบูรณ์ที่ภาพยนตร์ถ่ายทำขาวดำ แต่พอลลอคได้พยายามประนีประนอมกับสปิลเบิรกได้ถามเขาว่าทำไมคุณไม่ถ่ายทำภาพยนตร์เป็นสี คุณสามารถเปิดตัวมันขาวดำ แต่เราจะขายคาสเสตต์เป็นสี สปิลเบิรก ไม่ยอมภาพยนตร์เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ แต่บางครั้งการตัดสินใจอย่างเข้มงวดสามารถสร้างหรือทำลายคุณภาพของภ่พยนตร์ได้ มันคือกรณีของ Schindler’s Lis ภาพยนตร์ได้ถูก สร้างเมื่อ ค.ศ 1993 โดยสตีเวน สปิลเบิรก และได้ถูกพิจารณาเป็นภาพยนตร์เป็นจริงมากที่สุดเกี่ยวกับโฮโลคอสท์ Schindler’s List โดยโทมัส เคเนียลลี นักเขียนนิยายชาวออสเตรเลียเป็นนิยายประวัติศาสตร์ได้เล่าเรื่องราวที่น่าทึ่งของออสการ์ ซินด์เลอร์ นักอุตสาหกรรมชาวเยอรมันช่วยชีวิตผู้อพยพชาวยิวมากกว่า 1200 คน ระหว่างโฮโลคอสท์ มันจะเป็นเรื่องราวที่มีพลังของความเป็นวีรบุรุษและความเป็นมนุษย์ภายในการเผชิญกับความโหดร้ายที่ไม่สามารถบรรยายได้เรื่องราวเริ่มต้นด้วยการบุกโปเเลนด์ของเยอรมันเมื่อ ค.ศ 1939 และเราเดินตามออสการ์ ชินด์เลอร์ เมื่อเขามาที่คราคูฟหากำไรจากกำไรสงครามเขาได้ซื้อโรงงานเครื่องครัวภายในโปแลนด์เมื่อ ค.ศ 1939 ณ จุดสูงสุดของธุรกิจของเขา ชินด์เลอร์จะมีคนงาน 1750 คนภายใต้การจ้างงานของเขา 1000 คนของพวกเขาเป็นชาวยิว ชินด์เลอร์จะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของพรรคนาซี และเขาได้มองเห็นการปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่อชาวยิว ภายใต้การปกครองของนาซี เขาได้ให้สินบนแก่นายทหารนาซี ป้องกันคนงานยิวของเขาถูกส่งไปค่ายกักันและฆ่าภายในความต้องการเงินทุนที่จะให้โรงงานของเขาทำกำไร ชินด์เลอร์ได้เเสวงหานักลงทุนชาวยิวที่มั่งคั่ง เนื่องจากชาวยิวจะถูกห้ามจากนาซีไม่ให้เป็นเจ้าของธุรกิจ พวกเขาตกลงที่จะยอมรับสินค้าเป็นการชำระ และขายมันภายในตลาดมืดได้ ชินด์เลอรได้ชี้ว่าเงินจะไร้คุณค่าภายในสลัมคาคูฟชินด์เลอร์ ได้สร้างโรงงานเครื่องครัว ด้วยความช่วยเหลือของนักบัญชีชาวยิว อิทแชก สเตริน เขาได้เสนอแนะชินด์เลอร์ว่าพวกเขาได้ว่าจ้างคนงานยิวจะเป็นวิถีทางของการประหยัดเงิน คนงาน ณ โรงงานจะถูกถือว่าสำคัญ สถานภาพที่ได้ช่วยชีวิตพวกเขาจากการย้ายไปที่ค่ายกักกัน และสเติรน รับรู้ข้อเทิจริงนี้ทันทีและบรรจุโรงงานด้วยคนงานยิวจำนวนมาก ณ เวลานั้น นายทหารนาซีได้เริ่มต้นแบ่งนักโทษยิวเป็นสองกลุ่ม คนงานที่จำเป็นต่อสงคราม และคนงานที่ไม่จำเป็น คนงานที่จำเป็นถูกยอมให้อยู่ภายในสลัม คนงานที่ไม่จำเป็นถูกส่งไปที่ค่ายกักกัน ด้วยความรับผิดชอบของการดำเนินโรงงานเครื่องครัว อิทชาก สเติรน ได้ใช้ตำแหน่งของเขาเสนองานโรงงานแก่คนงานที่ไม่จำเป็น และการเปลี่ยนแปลงพวกเขาเป็นคนงานที่จำเป็น เริ่มแรกชินด์เลอร์กลายเป็นตระหนักต่ออุบายของสเติรน เมื่อบุคคลเเขนเดียวคนหนึ่งได้กล่าวขอบคุณเขาต่อการช่วยชีวิตของเขา ชินด์เลอร์ตกตะลึง ถามสเติรน ใช้โรงงานของเขาทำอะไรด้วยการมีช่างเครื่องแขนเดียวหรือเมื่อสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงมากขึ้น โรงงานของชินด์เลอร์ได้กลายเป็นที่หลบภัยต่อคนงานยิวของเขา เขาได้ให้สินบนนายทหารนาซี พลิกแพลงระบบ และใช้ความมั่งคั่งของเขาป้องกันคนงานยิวของเขาจากการส่งไปที่ค่ายกักกัน รายชื่อของเขา “Schindler’s List” ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังต่อชาวยิว เมื่อมันได้บรรจุชื่อคนงานยิวของโรงงานของเขา และได้ช่วยชีวิตจากการส่งไปห้องแก้ส ตามรายงาน ชินด์เลอร์ ใช้ความมั่งคั่งของเขา 4 ล้านมาร์คเยอรมันช่วยชีวิตชาวยิวตลอด Schindler’s List เราได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของชินด์เลอร์จากนักฉวยโอกาสที่ละโมบ ไปเป็นผู้ช่วยชีวิตที่เห็นอกเห็นใจ เขาได้ใช้ความมั่งคั่งของเขาให้สินบนนายทหารนาซีและซื้อชีวิตคนงานยิวของเชา แม้แต่เขาได้ไปไกลสร้างค่ายย่อยของค่ายกักกันพลาโซว์ตรงที่คนงานยิวของเขาอยู่อาศัยและคุ้มครอง โรงงานของชิลด์เลอร์ ได้กลายเป็นสถานที่ของคนงานยิว และพวกเขาได้ถูกกำบังจากความน่ากลัวเลวร้ายที่สุดของโฮโลคอสท์แม้ว่าด้วยการเข้าร่วมนาซีของเข าการกระทำของชินด์เลอร์ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งของความเป็นมนุษย์ เขาได้เสี่ยงภัยชีวิตของเขาช่วยชีวิตบุคคลอื่น และรายชื่อของเขา “Schindler’s List” ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและการรอดชีวิต ความสัมพันธ์ของเขากับอิตชาค สเติรน นักบัญชีชาวยิวที่ได้ช่วยเหลือเขารวบรวมรายชื่อ น่าสะเทือนอารมณ์ แสดงความเป็นเพื่อนที่ไม่น่าเป็นไปได้สร้างขึ้นภายในการเผชิญกับความเป็นศัตรูเช่นนี้ชินด์เลอร์ ได้กลายเป็นหุ้นส่วน และเพื่อนที่ใกล้ชิดกับอิตชาค สเติรนช่วยทำบัญชีของเขา และเครือข่ายกับนักธุรกิจชาวยิวภายหลังที่ชาวยิวจากคราโคว์ และพื้นที่ล้อมรอบได้ถูกบังคับไปสู่สลัมคราโคว์อยู่ภายในบล็อคสี่เหลี่ยมจัตุรัสเท่านั้น ชินเลอร์ เจรจากับชาวยิวผลิตสินค้า อิตชาคสเติรน ได้ช่วยเหลือชาวยิวจากสลัมคราโคว์ได้งานทำภายในโรงงานของชินด์เลอร์ ตรงที่พวกเขาได้สร้างสินค้าสงคราม เช่น หม้อและกระทะเมื่อ 8 พฤษภาคม 1945 สงครามภายในยุโรปได้สิ้นสุด และเมื่อวันต่อมาชินด์เลอร์และภรรยาของเขา อเมืลี ชินด์เลอร์ได้หลบหนีจากประเทศด้วยความช่วยเหลือของชินดเลอร์จูเดน ยิวของชินด์เลอร์หลายคน ชินด์เลอร์ได้ถูกต้องการต่ออาชญากรสงครามภายในเชคโกสโลวาเกีย พวกเขาเริ่มแรกย้ายมาสู่บาวาเรีย เยอรมันตะวันตก เเต่กระนั้นชินดเลอร์ยังคงได้รับการคุกคามจากนายทหารนาซีภายในปีตามมาการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มแรกชินดเลอร์พยายามเข้าไปสู่อเมริกา แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกับนาซีก่อนหน้านี้ของเขา เขาได้ถูกปฏิเสธการเข้ามาภายในประเทศในที่สุดเมื่อ ค.ศ 1949 เขาได้ตั้งรกรากภายในอาร์เจนตินาด้วยหลายครอบครัวยิวที่เขาได้ช่วยชีวิต เมื่อ ค.ศ 1957 ชินด์เลอร์ได้เเยกจากกันอย่างถาวร แต่ไม่ได้หย่าจากเอมิลี ชินด์เลอร์ ภายในที่นี่ ชินดเลอร์ ได้ทำฟาร์มขนาดเล็ก และธุรกิจหลายอย่าง แต่กระนั้นไม่มีธุรกิจเหล่านี้ใดเลยบรรลุความสำเร็จ ภายหลังที่ฟาร์มได้ล้มละลาย เมื่อ ค.ศ 1958 ชินดเลอร์ ได้เดินทางกลับมาที่เยอรมันตะวันตกคนเดียว เมื่อ ค.ศ 1974 เขาได้เสียชีวิตจากโรคตับล้มเหลว ณ อายุ 66 ปี ก่อนการเสียชีวิตของเขา เขาได้ร้องขอที่จะถูกเผาภายในเยซูซาเล็ม ลูกของผมอยู่ที่นี่ เขากล่าวว่าทำไมเขาต้องการที่ฝังศพที่นี่ ท่ามกลางชาวยิวชินด์เลอร์น้ำตาไหลหลายร้อยคน ความปราถนาของเขาได้ถูกให้ และเขาได้ถูกเผาบนยอดเขาไซออนภายในเยซูซาเลม
คราโคว์-พลาสซอร์ เป็นเรื่องราวจริงของค่ายมรณะที่มีชื่อเสียงของผู้บัญชาการ อมอน เกิก ก่อนการพิมพ์เผยเเพร่นิยายประวัติศาสตร์ของโทมัส เคเนียลลี Schindler’s Ark และภาพยนตร์ Schindler’s List ของสตีเวน สปิลเบริกตามมา บุคคลค่อนข้างน้อยเคยได้ยินค่ายกักกันพลาสซอร์ ประวัติศาสตร์จริงของค่ายรวมทั้งการฆาตกรรมของทหารเอสเอส และเหยื่อชาวยิวจำนวนมากของพวกเขายังคงไม่รู้ต่อบุคคลจำนวนมากอยู่ต่อไปผู้บัญชาการยาวนานที่สุดของพลาสซอร์คือ อมอน เกิก เขาเกิดภายในเวียนนา ออสเตรีย เมื่อ ค.ศ 1908 เขาได้เข้าร่วมพรรคนาซีเมื่อ ค.ศ 1931 และเข้าไปสู่เอสเอสปีต่อมาฉากที่ตกตะลึงมากที่สุดภายในภาพยนตร์ Schindler’s List คือ การขำระล้่างสลัมคราโคว์ ปฎิบัติการนำโดยอามอน เกิก เขาได้ปฏิบัติงานที่สยดสยองเหล่านี้ภายในชีวิตจริง ลีโอโพลด์ เพจ ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งของการชำระล้างสลัม เขาได้จดจำความน่ากลัวที่เขาได้มองเห็นผมได้มองเห็นเยอรมันดึงผู้หญิงและเด็ก พวกเขายิงผู้หญิง และพวกเขาได้ฆ่าเด็ก….ลากขาเด็กและชนกำแพงเมื่อการก่อสร้างค่ายพลาสซอร์ ได้เริ่มต้น เเละอามอน เกิก ได้ปรากฏตัว นาซีซาดิส รับผิดชอบกับการสร้างและดำเนินงานค่ายเมื่อค่ายได้ถูกสร้างเสร็จ ชาวยิวถูกอพยพจากสลัมคราโคว์ ส่งมาที่ค่ายพลาสซอร์ อามอน เกิก เป็นอาชญกรสงครามนาซี และร้อยโทอาวุโสน้อย และต่อมาเขาได้เป็นผู้บัญชาการของเอสเอสรับผิดชอบต่อการสั่งการชำระล้างสลัมคราโคว์และการขังคุก การเป็นทาส และการสังหารหมู่ชาวยิวภายในสลัมคราโคว์เขาใช้ความโหดร้ายส่วนบุคคลหลายอย่างต่อชาวยิวภายในโฮโลคอสท์ และใช้ความเพลิดเพลินซาดิส เมื่อแสดงความโหดร้ายของเขา อามอน เกิก ได้ปรากฏตัวภายในสลัมคราโคว์ ภายหลังสั่งการชำระล้างสลัมคราโคว์ ตรวจสอบอย่างตั้งใจชาวยิวที่ระบุภายในสลัม เขาได้ว่าจ้างเฮเลน เฮิรช เป็นแม่บ้านของเขาเพื่อบ้านของเขาภายในภูเขาอยู่เหนือสลัมเขาได้ฆ่าวิศวกรโยธาชาวยิวพยายามสร้างค่ายทหารเเต่มันได้พังทลายลงเนื่องจากปัญหาพื้นที่ไม่สามารถพอดีกับค่ายทหารภายในพลาสซอร์ อามอน เกิก มีนักโทษหลายคนถูกฆ่าเป็นการลงโทษต่อการฝ่าฝืน แต่เขาได้อย่างสุ่มเอาและอำเภอใจด้วย จากระเบียงของวิลลาของเขา เขาได้ใช้เป้าฝึกฝนด้วยปืนไรเฟิลของเขากับนักโทษเมื่อพวกเขาเคลื่อนไหวช้าเกินไป หรือกำลังพักผ่อนบนลาน หมาสองตัวของเขาได้ถูกฝึกฝนที่จะขย้ำนักโทษจนตาย เขาได้ยิงผู้ทำอาหารยิวเพราะว่าซุปร้อนเกินไป เขาได้ทารุณอย่างโหดร้ายกับแม่บ้านของเขาเอง ระหว่างช่วงเวลาของเขา ณ พลาสซอร์ อามอน เกิก มีชีวิตอยู่อย่างสบายภายในวิลลาของเขา เป็นเจ้าของรถยนต์และม้าที่เขาได้ขี่ภายในค่าย เขาจะมีนักโทษช่างทำรองเท้ายิวสองคนทำรองเท้าใหม่แก่เขาทุกสัปดาห์ ถ้านักโทษคนหนึ่งหนีจากกลุ่มงาน เขาจะฆ่ากลุ่มงานนักโทษที่เหลืออยู่ และถ้านักโทษได้ถูกจับแอบซ่อนอาหาร พวกเขาจะถูกยิงสถานที่ฆ่าสำคัญ
ณ พลาสซอร์ เป็นฮูโจวา กอร์คา ภูเขาใหญ่ที่ได้ถูกใช้เพื่อการสังหารหมู่ชาวยิวประมาณ 8000 ถึง 20000 คนได้ถูกฆ่า ณ พลาสซอร์ ในฐานะของผู้บัญชาการของค่ายพลาสซอร์ อามอน เกิก ได้เเสดงความโหดร้ายอย่างสุดขั้ว การแพร่กระจายความกลัวท่ามกลางนักโทษและเเม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา มันได้ถูกประมาณว่าเขารับผิดชอบโดยตรงต่อการเสียชีวิตของชาวยิวประมาณ 500 คน เขายิงหรือทรมานจนเสียชีวิตเขาได้ขโมยสมบัติของยิวและเก็บไว้กับเขาเขาได้ผสมการทุจริตกับความโหดร้ายด้วยการขายบนตลาดมืดจากการปันส่วนที่มุ่งหมายเพื่อทีจะเลี้ยงนักโทษของเขา เขาได้กลายเป็นบุคคลร่ำรวยอย่างรวดเร็ว ด้วยการยึดทรัพย์สินของยิว และด้วยการรับสินบนจากชินเลอร์ เมื่อ ค.ศ 1944 อามอน เกิก ได้ถูกจับโดยเอสเอส และถูกจำคุก เขาไม่สามารถอธิบายต้นกำเนิดของเงิน 80000 มาร์คที่ได้ถูกพบภายในอพาร์ตเม้นท์ของเขาภายในเวียนนา พวกเขาได้พิสูจน์ว่าเขาได้ปล้นจากชาวยิว และเนื่องจากเหตุผลทางสุขภาพ เขาสามารถหลีกเลี่ยงการพิจารณคดี และได้เข้าไปโรงพยาบาล เมื่อ ค.ศ 1945 กองทัพอเมริกันได้เข้ามามิวนิค อามอน เกิกถูกจับตัวภายในโรงพยาบาล เริ่มแรกเขาได้พบายามหลบซ่อนตัวตนของเขา แต่เขาได้ถูกจำได้ และปล่อยตัวไปที่รัฐบาลโปแลนด์อามอน เกิก ได้กล่าวต่อนักโทษที่มารวมกัน ณ พลาสซอร์ ว่าผมชื่อเกิกต่อคุณ ผมคือพระเจ้า ชีวิตและความตายของคุณอยู่ภายในมือของผมการฆ่า 500. คนเป็นเรื่องเล็กต่อผม จงจำไว้ชินด์เล่อร์ ได้รับรู้การทำลายล้างยิวยิ่งเลวร้ายลง ด้วยพวกเขาได้ถูกฆ่าเหมือนหมู ต่อมาชินด์เลอร์ ได้กล่าวว่า ผมรู้สึกยิวถูกทำลายล้าง ผมต้องช่วยเหลือพวกเขา ผมไม่มีทางเลือกเลย ดังนั้นเพื่อการช่วยชีวิตชาวยิว 1200 คนจากความตายที่แน่นอน เขาได้เเสร้งทำความเป็นเพื่อนกับคนขายเนื้อนาซี อมอน เกิก มันเป็น ค.ศ 1943 เมื่อชินด์เลอร์ได้พบผู้บัญชาการคนใหม่ของพลาสซอร์อมอน เกิก ณ เวลานั้น ชินด์เลอร์มีคนงานของโรงงานอยู่ประมาณ 900 คนส่วนใหญ่เป็นชาวยิว เดินทางสี่กิโลเมตรจากค่ายไปยังสถานที่ทำงานของพวกเขา เมื่ออามอน เกิก ได้ลงมือการปกครองอย่างโหดร้ายภายในค่ายชินด์เลอร์ ได้พยายามคุ้มครองชาวยิวให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เขาได้เสนอแนะอาคารด้วยต้นทุนของเขา – ค่ายทหารติดกับโรงงานแก่คนงานของเขา ด้วยการแสร้งทำความรู้สึกที่เป็นมิตรต่ออมอน เกิก เขาสามารถชนะความไว้วางใจ และข้อตกลงของผู้บัญชาการในที่สุด ค่ายทหารย่อยของชินด์เลอร์มีทั้งห้องครัว ที่ซักเสื้อผ้า และที่อาบน้ำ สภาวะเป็นมนุษย์และอาหารที่เพียงพอภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ ค.ศ 1946 อมอน เกิก ได้ถูกพิจารณาคดีภายหลังถูกจับโดยรัฐบาลอเมริกัน และส่งไปที่รัฐบาลโปแลนด์ อมอนเกิก ได้ถูกพิจารณาคดีต่ออาชกรรมโหดร้าย ณ ค่ายพลาสซอร์ และส่วนหนึ่งของเขาภายในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโปแลนด์ เขาได้ถูกกล่าวหาต่อการเสียชีวิตของชาวยิว 8000 คน ในที่สุดเขาได้ถูกแขวนคอจนตายบนบริเวณของค่ายพลาสซอร์
การชำระล้างสลัมของชาวยิวเป็นฉากน่ากลัวที่สุดของ Scindler’s List มันเป็น 30 นาทีของความน่ากลัวที่ไม่หยุดยั้งด้วยการสังหารชาวยิว ฉากการชำระล้างสลัมคราโคว์จะเป็นหนึ่งหน้าของปฏิบัติการภายในต้นฉบับเท่านั้น แต่สตีเวน สปิลเบิรก ได้ทำให้มันเป็น 20 หน้าของปฎิบัติการของภาพยนตร์ บนพื้นฐานของการยืนยันของพยานเมื่อ ค.ศ 1943 นายทหารนาซีได้ชำระล้างสลัมคราโคว์ภายใต้บัญชาการของร้อยเอกเอสเอส อามอน เกิก ชาวยิว 2000 คนไม่สามารถจะย้าย หรือพยายามหลบหนีได้ถูกฆ่าภายในถนนเเละภายในบ้านของพวกเขา ชาวยิวที่สามารถทำงานได้ประมาณ 2000 คน ถูกส่งไปที่ค่ายกักกันพลาสซอร์เป็นแรงงานบังคับ ในขณะที่ชาวยิวส่วนที่เหลืออยู่ประมาณ 3000 คนได้ถูกส่งไปค่ายกักกันเอาสชวิทย์ 549 คนถูกจดทะเบียนเป็นนักโทษภายในค่าย ในขณะที่ 2450 คนได้ถูกฆ่าภายในห้องแก้สทันทีระหว่างการชำระล้างสองวัน เอสเอส ฆ่าชาวยิวจำนวนมากภายในถนนอพารตเมนท์ ที่หลบซ่อน โรงพยาบาล และที่เลี้ยงเด็กกำพร้า ร่างกายของพวกเขาถูกขนส่งไปที่พลาสซอร์ ขาวยิวไม่กี่คนเท่านั้นหลบหนีจากสลัมได้สำเร็จ การหลบหนีอย่างกล้าหาญได้ทำผ่านทางท่อระบายน้ำผู้รอดชีวิตได้ถูกส่งไปที่ค่ายพลาสซอร์ได้พบตัวพวกเขาเองเลวร้ายมากที่พวกเขาอยู่ที่สลัมคราโคว์ ผู้บัญชาการค่าย อามอน เกิก ใช้ความบันเทิงภายในการทรมาน และการฆ่านักโทษยิวของเขา เขาได้ขุดขึ้นมาและเผาร่างกายของชาวยิว 10000 คน ได้ถูกฆ่าที่ค่ายพลาสซอร์และสลัมคราโคว์ ชินด์เลอร์รวมทั้งสเตรินรับรู้ว่าคนงานของเขากำลังกับเผชิญกับความตายด้วยมือของนาซี
ดังนั้นเขาได้ตัดสินใจใช้ความมั่งคั่งของเขาช่วยชีวิตชาวยิวให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ชินด์เลอร์ ได้เริ่มต้นสร้างรายชื่อของเขา และเขาได้ชักจูงอามอน เกิก ขายคนงานของเขาแก่เขา และแม่บ้านของอาร์มอน เกิกด้วย เฮเลน เฮิรช มาทำงานภายในโรงงาน ณ เชคโกสโลวาเกียดังนั้นผู้ชายและผู้หญิงได้ถูกขนส่งไปเชคโกสโลวาเกียบนรถไฟสองคันแยกจากกัน และผู้หญิงได้ถูกเปลี่ยนเส้นทางอย่างไม่ตั้งใจไปสู่เอาสชวิทซ์ ตรงที่ชินเลอร์ถูกผลักดันให้ซื้อพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง ผู้หญิงและผู้ชายได้รวมตัวกันใหม่ ณ โรงงาน ตรงที่พวกเขายังคงอยู่จนสงครามได้สิ้นสุดลงจุดพลิกผันภายในภาพยนตร์เป็นระหว่างการชำระล้างของสลัมคราโคว์ตรงบนเนินเขาที่ชินด์เลอร์มองเห็นเด็กผู้หญิงชุดเเดงเดินผ่านการทำลายล้าง ต่อมาเขาได้มองเห็นเด็กผู้หญิงชุดเเดงเสียชีวิตของหลายชีวิตบนกองศพ เขาไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาของเขาต่อไปได้ เด็กหญิงชุดเเดงเป็นสัญลักษณ์ของบุคลิกลักษณะและความไร้เดียงสาภายใน Shindler’s List สตีเวน สปิลเบิรกใช้สีเสื้อโคทของเด็กผู้หญิงมุ่งเน้นความสำคัญของเธอภายในภาพยนตร์ และทำให้เธอสัมพันธ์ต่อผู้ชม การเสียชีวิตของเด็กหญิงชุดเเดงได้ถูกใช้เป็นตัวกระตุ้นต่อการเปลี่ยนแปลงของออสการ์ ชินด์เลอร์ และการรับรู้ของความโหดร้ายผูกพันโดยพรรคนาซีของเขา เด็กหญิงชุดเเดงได้ถูกแสดงโดยโอลิเวีย ดาบรอสกา อายุสามปี ณ เวลาของกำลังถ่ายทำอยู่ สตีเวน สปิลเบิรกได้ขอให้โอลิเวีย ดาบอรสกาอย่าชมภาพยนตร์จนกว่าเธอมีอายุสิบแปดปี แต่เธอได้ชมมันเมื่อเธอมีอายุสิบเอ็ดปี และกล่าวว่าเธอหวาดกลัวมาก เมื่อได้ขมภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่งตอนเป็นผู้ใหญ่ เธอภูมิใจต่อบทบาทที่เธอได้แสดงเด็กหญิงชุดเเดงแสดงเป็นการนำเสนอที่มองเห็นของความเจ็บปวดและความไร้เดียงสาของชาวยิวระหว่างโฮโลคอสท์ สีเเดงทำให้เธอโดดเด่นภายในภาพยนตร์ขาวดำ แสดงความโหดร้ายที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเธอ Scindler’s List อยู่บนพื้นฐานของเรื่องราวจริง แต่การเล่าเรื่องจะเป็นดรามาที่มุ่งเน้นหัวข้อที่สำคัญของความกรุณา ความเห็นอกเห็นใจ และความไม่เห็นแก่ตัว การตัดสินใจที่สร้างสรรค์เหล่านี้สร้างสภาพเลวร้ายของชาวยิวภายในนาซี เยอรมันเหมือนเด็กหญิงชุดเเดงที่ไม่ได้หวั่นเกรงสตีเวน สปิลเบิรก ได้ใช้สัญลักษณ์ที่มองเห็นอย่างชัดเจนถ่ายทอดความลึกซึ้งทางอารมณ์ของScindler’s List ผ่านการถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยเด็กผู้หญิงชุดเเดง การใช้สีแดงภายใน Schindler’s List เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดที่ สปิลเบิรกเลือกเสื้อโคทสีเเดงของเด็กผู้หญิงเฉพาะนี้ มันจะเป็นการเลือกที่เจตนา และได้ช่วยอธิบายถ้อยคำแกนของ Scindler’s List เเม้ว่าการปรากฎตัวภายในตอนหนึ่งเท่านั้นและไม่เคยได้ถูกเอ่ยชื่อเลยเด็กหญิงชุดเเดงเป็นนักเเสดงสำคัญที่สุดคนหนึ่งของ Schindler’s List เธอได้ปรากฏตัวระหว่างการจำลองเหตุการณ์ของการชำระล้างคราโคว์ของกองทหารนาซีได้โจมตีชุมชนชาวยิวภายในโปแลนด์ที่ได้ถูกยึดครองและเริ่มต้นสังหารหมู่ผู้อยู่อาศัย เด็กผู้หญิงชุดเเดงวิ่งผ่านสลัมระหว่างการโจมตี ไม่สังเกตุเห็นโดยบุคคลรอบเธอ แมัว่าเธอจะสามารถถูกมองเห็นได้
ออสการ์ ชินด์เลอร์ แสดงโดยเลียม นีสัน ได้เฝ้ามองการโจมตีบนเนินเขาและได้มองเห็นเด็กหญิงชุดเเดงจากระยะไกล เขางุนงงด้วยการแอบของเธอผ่านฝูงชนโดยไม่ถูกค้นพบ เพียงแคออสการ์ ชินดเลอร์ ได้มองเห็นเด็กผู้หญิงชุดเเดงวันนั้นภายในสลัมชาวยิว เขาได้ตระหนักว่าการกระทำของพรรคนาซียอมรับไม่ได้ เเม้ว่าเด็กผู้หญิงชุดเเดงไม่เคยถูกเห็นอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาชินด์เลอร์ได้มองเห็นชุดเเดงของเธอบนเกวียนที่ขนศพจากสลัม มันเป็นช่วงเวลาบาดใจที่มุ่งเน้นอย่างเเท้จริงเพียงแค่การเลือกปฏิบัติของทหารนาซีอย่างไรการฆ่าบุคคลทุกวัยด้วยเชื้อชาติของพวกเขา Scindler’s List เป็นภาพยนตร์ต่อต้านสงคราม และด้วยการทำให้ผู้ชมเชื่อมโยงกับเด็กผู้หญิงชุดเเดง และเเสดงความโหดร้ายและไม่จำเป็นว่าเธอถูกฆ่าอย่างไร สตีเวน สปิลเบิรก ตอกตระปูจุดสำคัญของภาพยนตร์เพียงแค่การทำสงครามโหดร้ายอย่างไร เด็กผู้หญิงชุดเเดงไม่ได้ทำอะไรเลยที่เป็นความผิด แม้แต่ภายในสายตาของนาซี เธอเป็นศัตรูของพวกเขาเนื่องจากครอบครัวและสายเลือดของเธอเท่านั้น เเต่เธอยังคงต้องสูญเสียชีวิตของเธอ ภายในหนังสือ Schindler’s Ark 1982 ของโทมัส เคเนียลลีเด็กผู้หญิงตัวเล็กชุดเเดงชื่อ จีเนีย เริ่มแรกถูกซ่อนตัวโดยครอบครัวเยอรมัน เธอถูกเรียกว่าสีเเดง หรือหมวกแดง เพราะว่าเธอชอบใส่สีเเดง วันหนึ่งของเหตุการณ์เหล่านี้ ครอบครัวกลัวนาซีจะพบเธอ และลงโทษพวกเขาต่อการซ่อนตัวเธอ ดังนั้นเธอต้องออกไป เธอได้ทำการหลบหนีอย่างน่าทึ่งจากเอสเอสบนถนนด้วยการซ่อนตัวบริเวณที่ราบ เธอได้กลายเป็นแรงบันดาลใจต่อฉากที่มีชื่อเสียงของเด็กผู้หญิงชุดเเดงภายในภาพยนตร์ดัดเเปลงของ Shindler’s List การโจมตีสลัมชาวยิวเป็นฉากที่บอบช้ำอยู่แล้วที่ไม่ใช่ช่วงเวลาเฉพาะนี้แต่การเสียชีวิตของเด็กหญิงชุดเเดงได้เพิ่มระดับของความเศร้าสลดและความเสียใจ เธอเเสดงความไม่ต้องการของสงครามไม่มีการฆ่าเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นเลย จุดสำคัญอย่างหนึ่งของ Schindler’s List คือการทำลายล้างของบุคคลที่ไร้เดียงสา เธอได้ถูกรวมไว้อย่างสมบูรณ์ เธอได้เข้ามาจากความทรงจำของผู้รอดชีวิตค่ายกักกันคนหนึ่งที่ได้ถูกสัมภาษณ์โดยสตีเวน สปิลเบิรกก่อนภาพยนตร์ เขาได้พูดเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งใส่เสื้อโคทสีแดงถูกยิงต่อหน้าเขาโดยนายทหารนาซีภายในภาพยนตร์ เธอได้แสดงความเป็นจริงที่น่ากลัวมาสู่ภายในจิตใจของชินด์เลอร์ เมื่อเขาได้มองเห็นร่างกายของเธอด้วยเสื้อโคทสีแดงรอบตัวเธอ บนเกวียนบรรทุกศพ เมื่อก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สนใจแต่ภายหลังได้มองเห็นร่างกายของเธอ เขาได้พลิกผันการตัดสินใจที่จะช่วยชีวิตชาวยิวตามมุมมองของการเล่าเรื่อง การตายของเด็กผู้หญิงชุดเเดงไดัถูกใช้เป็นความมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ภายในการเดินทางของออสการ์ ชินด์เล่อร์ ภาพยนตร์ทั้งเรื่องถูกสร้างกรอบจากมุมมองนี้ของเขา มันเป็นช่วงเวลากับเด็กผู้หญิงชุดเเดงคนนี้ได้ที่เขย่าแกนของชินด์เล่อร์และกดดันเขาให้รับรู้ว่าการเป็นสมาชิกคนหนึ่งของพรรคนาซี เขาได้เกี่ยวข้องภายในการฆ่าของเธอ
เพราะว่าชินด์เลอร์ได้รับรู้ว่าเขาทำให้เธอเป็นส่วนหนึ่งของโลกของเขา เลือดของเธออยู่บนมือของเขา มันเป็นความผิดนี้ที่กระตุ้นชินด์เลอร์ไปสู่รายชื่อของคนงานยิวที่เขาพยายามคุ้มครองมันจะเป็นความตายของเด็กผู้หญิงชุดเเดงที่เปิดตาครั้งแรกของชินด์เลอร์ภายในความน่ากลัวที่เขาได้เกี่ยวข้องมรดกของเด็กผู้หญิงชุดเเดงจะยังคงมีอยู่ต่อไปภายหลังการเปิดตัวของภาพยนตร์ Schindler’s List แต่บุคคลไม่กี่คนได้รู้เกี่ยวกับนักแสดงคนนี้ เธอคือ โอลิเวีย ดาบรอสกา อายุเพียงแค่ 3 ปี นักเเสดงชาวโปแลนด์ เมื่อเธอได้แสดงบทบาทไอคอนภายในภาพยนตร์ของสตีเวน สปิลเบิรก เขาได้เสนอแนะต่อเธอ ณ เวลาของการถ่ายทำภาพยนตร์ว่าเธอต้องรจนกว่าเธอมีอายุ 18 ปีที่จะชมภาพยนตร์ แต่กระนั้นโอลีเวียยอมรับว่าเธอได้ชมมันเมื่อเธออายุ 11 ปีและมีการตอบสนองเป็นลบมากต่อมัน เธอกล่าวว่า ฉันไม่สามารถเข้าใจได้มาก แต่ฉันมั่นใจว่าฉันจะไม่ดูมันอีกเลยภายในชีวิตของฉันแต่กระนั้นตลอดเวลา ความรู้สึกของโอลีเวียเกี่ยวกับภาพยนตร์ได้เปลี่ยนแปลงไปเเละเธอได้เริ่มต้นที่จะรับเอาบทบาทของเธอเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เธอกล่าวว่า ฉันจะเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งบางอย่างที่ฉันสามารถภูมิใจที่จริงแล้วโอลีเอียได้เอาถ้อยคำที่สำคัญบางคำมาสู่หัวใจเมื่อ ค.ศ 2002 เธอได้ช่วยจัดตั้งกลุ่มของผู้อาสาสมัครช่วยเหลือผู้อพยพชาวยูเครนมา ณ พรมเเดนโปแลนด์
Cr : รศ สมยศ นาวีการ