เขาวงกตความเป็นผู้นำ
เขาวงกตความเป็นผู้นำ
แนวคิดเขาวงกตความเป็นผู้นำของผู้หญิงไดัถูกแนะนำโดยอลิซ เอกลี และลินดา คาร์ลี อาจารย์จิตวิทยา พบว่าถ้อยถำเพดานแก้วค่อนข้างทั่วไป ยิ่งกว่านั้นมันไม่ได้อธิบายความท้าทายเฉพาะผู้หญิงเผชิญเมื่อพยาวยามขึ้นไปสู่ตำแหน่งความเป็นผู้นำ ดังนั้นพวกเธอได้คิดค้นถ้อยคำใหม่ : เชาวงกตความเป็นผู้นำ 2007 ถ้อยคำนี้ในขณะนี้ได้ถูกใช้กันโดยทั่วไปมากขึ้น อธิบายการเดินทางเฉพาะที่ผู้หญิงต้องผ่าน ตั้งแต่ระดับล่างที่จะได้ตำแหน่งความเป็นผู้นำผู้หญิงบางคน ด้วยอุปสรรคและความท้าทายตามเส้นทางได้นำทางเขาวงกตความเป็นผู้นำบรรลุความสำเร็จ และไปสู่บทบาทและประสบการณ์ความผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ภายในบทความฮาร์วาร์ด บิส อลิซ เอกลี และลินดา คาร์ลี ได้กล่าวว่าถ้าบุคคลวิเคราะห์ปัญหาผิดพลาด บุคคลไม่น่าจะให้ยาการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพเราได้ยินถ้อยคำ เพดานแก้ว ถูกแนะนำเมื่อ ค.ศ 1980 และได้ถูกใช้แสดงอุปสรรคมองไม่เห็น ณ ระดับสูง แก่อาชีพของผู้หญิง ขัดขวางพวกเธอก้าวไปสู่ตำแหน่งระดับซีอีโอ เพดานเเก้วนี้สร้างจากการเหมารวมอย่างอคติ ไม่นานมานี้เมื่อสื่อได้ทำข่าวความสำเร็จของซีอีโอหญิง พวกเขามักจะพูดเกี่ยวกับ “การพังทลายเพดานแก้ว” ในขณะนี้บุคคลบางคนเชื่อว่าเรามีรอยแตกภายในเพดานแก้ว ในไม่ช้าอาจจะสูญหายไป แต่ทั้งคำพูดเปรียบเทียบและข้อสรุปว่าเพดานแก้วกำลังหายไป เป็นเพียงแค่การมองที่ข้อมูลจำนวนของซีอีโอหญิงเท่านั้นถ้อยคำเพดานเเก้วแสดงว่าอุปสรรคมีอยู่ต่อตำแห่งระดับสูง และไม่มีทางตันและอุปสรรคต่อผู้หญิง ณ ตำแหน่งระดับล่าง มันห่างไกลความเป็นจริงมาก เพียงแค่เพราะว่าร้อยละเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของผู้หญิงกลายเป็นซีอีโอ มันไม่ควรจะเป็นนัยว่าผู้หญิงเหล่านี้ไม่ต้องจ้ดการกับและนำทางลดเลี้ยวเคี้ยวคดเนื่องจากอุปสรรค ถ้อยคำดีกว่าที่จะยึดการต่อสู้ดิ้นรนของผู้หญิงเผชิญกับการทำงานคือ เขาวงกตความเป็นผู้นำสร้างโดยอลิซ เเอกลี่ ภายในตำนานกรีก มิโนทอร์เป็นอสูรกาย – ร่างกายเป็นคนและหัวเป็นวัว ถูกจับขังภายในเขาวงกตเก้าปี ธีเซียส ลูกชายของกษัตร์เอเธนส์ ต้องการเข้าไปเขาวงกต และฆ่าอสูรกาย ผู้หญิงภายในเรื่องราวนี้ แอรีแอดนีได้ให้มอบด้ายแก่ธีเซียสให้เขาผูกบานประตูเมื่อเข้าไปสู่เขาวงกต แล้วสายด้ายทิ้งไว้ตามทางเดิน เมื่อเขาได้เข้าไปเขาวงกตที่จะพบทางกลับออกมาของเขา ภายในเรื่องราว แอรีแอดนี ไม่กล้าเข้าไปและท้าทายเขาวงกตด้วยตัวเธอเอง แต่ได้ตระหนักถึงทางอ้อมและทางตันที่ซ่อนเร้นอยู่ผู้หญิง ณ การทำงาน ตระหนักอุปสรรคที่เปิดเผยและซ่อนเร้นหลายอย่างภายในเขาวงกตอาชีพ ขัดขวางพวกเธอจากการนำทางที่บรรลุความสำเร็จสายอาชีพงานของพวกเธอ และไปสู่ตำแหน่งความเป็นผู้นำเมื่อเรากล่าวว่าผู้หญิงเผชิญเขาวงกต พวกเธาเผชิญทางตัน ทางอ้อมทางผิดธรรมดาภายในองค์การมากกว่าผู้ชาย มันหมายความว่าผู้หญิงต้องจัดสรรเวลาทำงานและชีวิตอย่างต่อเนื่อง และนำทางผ่านความท้าทาย – ลดเลี้ยวเคี้ยวคด- มากกว่าเปรียบเทียบกับผู้ชาย และความท้าทายเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพดานแก้วคือเส้นตรง เส้นทางตรงไปตรงมาผู้หญิงเผชิญกับปมซ้อน สังคมและองค์การได้ยึดถืออคติและการเหมารวมทางลบเกี่ยวกับผู้หญิง เมื่อบุคคลคิดถึงผู้นำ พวกเขามักจะเชื่อมโยงถ้อยคำผู้นำกับคุณลักษณะเหมือนเช่น เข้มแข็ง ทะเยอทะยาน เชื่อมั่นเด็ดขาด หนักแน่น ปัญหาไม่ใช่กับการเหมารวมนี้ของผู้นำ ปัญหาคือคุณลักษณะเหล่านี้เหมารวมเชื่อมโยงกับผู้ชายและสังคมได้คิดมันขาดภายในผู้หญิง เกรกอรี่ เบทสัน ได้สร้างถ้อยคำเชือกสองปมเมื่อ ค.ศ 1956 ด้วยความพยายามที่จะเข้าใจผลกระทบทางคุณลักษณะของการสื่อสารภายในครอบครัวโรคจิตเภท การพูดเกี่ยวกับทุกสถานการณ์ตรงที่คุณสื่อสารกับบุคคล และได้รับข่าวสารที่ขัดเเย้งกัน พวกเขาได้ค้นพบทฤษฎีนี้ด้วยความพยายามที่จะอธิบายรากฐานทางจิตวิทยาของโรคจิตเภทการเหมารวมขับเคลื่อนความคาดหวัง และถ้าผู้หญิงต้องการที่จะบรรลุความสำเร็จต้องทำลายการเหมารวมเหล่านี้และเเสดงว่าพวกเธอสามารถแน่วแน่ หนักเเน่น และเข้มแข็ง แต่เมื่อพวกเธอทำดังนี้พวกเขาไม่ชอบ – ผลกระทบปฏิกิริยาเชิงลบทางสังคม โดยสรุปเป็นผู้หญิงถ้าคุณไม่แสดงคุณลักษณะเหล่านี้ คุณดีไม่เพียงพอ ไมสามารถที่จะนำและถ้าคุณแสดงมัน คุณมีความสามารถ แต่เป็นผู้หญิงไม่เพีนงพอ ไม่มีชุมชน เลี้ยงดู และไม่เป็นมิตร และบุคคลอื่นไม่ชอบผู้ชายไม่ได้เผชิญความท้าทายปมซ้อน ที่จริงแล้วผู้ชายถูกชื่นชมเมื่อพวกเขาเเสดงความกล้่าแสดงออก และชอบแม้แต่พวกเขาได้แสดงคุณลักษณะเพศหญิง เหมือนเช่นการเลี้ยงดู ความเป็นมิตร และความเข้าอกเข้าใจผู้ชายถูกมองเป็นบารมีเมื่อพวกเขาแสดงความเชื่อมั่น ในขณะที่เมื่อผู้หญิงแสดงความเชื่อมั่นถูกมองเป็นการขาดความถ่อมตัว เมื่อผู้หญิงพูดเกี่ยวกับความสำเร็จของเธอ และแสดงจุดเเข็งของเธอ พวกเธอได้ถูกมองเป็นไม่ถ่อมตัวและสนใจตัวเอง
ผู้หญิงมักจะเผชิญการตัดสินใจที่ซับซ้อนเหล่านี้เนื่องจากสมมุติฐานทางสังคมของผู้หญิง อลิซ เอกลี ได้นำเสนอทฤษฎีความสอดคล้องของบทบาท ทฤษฎีนี้ได้แสดงคุณลักษณะที่เเตกต่างกันเชื่อมโยงกับเพศชายและเพศหญิง คุณลักษณะทางเอเจนซี – กล้าแสดงออก ทะเยอทะยาน ครอบงำ และหนักแน่น – เชื่อมโยงกับเพศชาย ในขณะที่คุณลักษณะทางคอมมิวเนียน – เมตตา ช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจ กรุณา – เชื่อมโยงกับเพศหญิง บทบาทความเป็นผู้นำสอดคล้องกับคุณลักษณะทางเอเจนซีมากกว่า ผู้ชายพร้อมที่จะถูกยอมรับต่อบทบาทความเป็นผู้นำ มันหมายความว่าถ้าผู้หญิงถูกคาดหวังให้มีคุณลักษณะทางคอมมิวเนียน แสดงคุณลักษณะทางเอเจนซีแล้ว เธอจะได้รับการรับรู้ทางลบเพื่อการตอบสนองต่อความท้าทายโดยเชือกสองปม ผู้นำหญิงมักจะดิ้นรนที่จะพัฒนาสไตล์ความเป็นผู้นำที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ด้วยคุณลักษณะผู้หญิงที่บุคคลชอบภายในผู้หญิงสอดคล้องกับคุณลักษณะผู้ชายที่บุคคลคิดผู้นำต้องการที่จะบรรลุความสำเร็จ
“Through The Labyrinth : The Truth About How Women Become Leaders” ผู้เขียน อลิซ เอกลี และลินดา คาร์ลี ได้ใช้การวิจัยอย่างกว้าง ขวางจากเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ จิตวิทยา และมนุษยวิทยา นำเสนอภาพที่ดีของผู้หญิงได้มาไกลแค่ไหนแล้วในขณะนี้ และพวกเธอต้องไปไกลแค่ไหนที่จะบรรลุความเสมอภาค “เขาวงกต” ตามที่หนังสือได้เสนอแนะ เป็นคำพูดเปรียบเทียบที่เหมาะสมกว่าเพดานแก้ว เพื่อการอธิบายความท้าทายแตกต่างกันที่ผู้หญิงได้เผชิญ เมื่อพวกเธานำทางเส้นทางที่ซับซ้อนและมักจะไม่ราบรื่น ไปสู่ความเป็นผู้นำ มันไม่ใช่อุปสรรคแท้จริงหยุดความก้าวหน้า ณ ระดับสูง แต่เป็นความก้าวหน้าต่ำลงไปของผู้หญิงณ ทุกระดับ ไม่ใช่เพียงแค่ระดับสูง อลิซ เอกลี่ กล่าว
“เขาวงกต” ได้หักล้างคำพูดเปรียบเทียบสองทศวรรษของ “เพดานก้าว” ถือว่ามันเป็นการอธิบายที่เรียบง่ายของอุปสรรคขัดขวางผู้หญิงจากการได้มาตำแหน่งความเป็นผู้นำ ผู้เขียนยืนยันว่าเส้นทางของผู้หญิง ไปสู่ความก้าวหน้าเป็นทางอ้อมและรกด้วยอุปสรรค ณ ระยะที่แตกต่างภายในอาชีพของพวกเธอ ไม่ใช่ถูกขัดขวางด้วยอุปรรคที่ตายตัว ต่อพวกเธอแล้ว คำพูดเปรียบเทียบที่เหมาะสมกว่าคือ เขาวงกต ด้วยการขยายความของมัน และความคดเคี้ยวเลี้ยวลดที่สับสนของมันเขาวงกตถ่ายทอดความคิดของเส้นทางผ่านเขาวงกตไม่ได้เรียบง่ายหรือทางตรง แต่ต้องการความอุตสาหะ และความตระหนักของความก้าวหน้าของบุคคล และการวิเคราะห์อย่างรอบคอบของความสับสนอยู่ข้างหน้า….. เนื่องจากทุกเขาวงกตมีเส้นทางที่ใช้การได้ ไปสู่ศูนย์กลางของมันการบรรลุป้าหมาย อลิซ เอกลี และลินดา คาร์ลี ได้เขียนหนังสือช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความเป็นผู้นำ และอะไรที่มันจะใช้บรรลุความเสมอภาคของความเป็นผู้นำโดยผู้ชายและผู้หญิง ผู้เขียนได้กล่าวว่าพวกเธอได้วิเคราะห์สาเหตุเป็นไปได้ทุกอย่างของการเข้าสู่ที่จำกัดเเต่เพิ่มขึ้นของผู้หญิง ไปสู่ตำแหน่งระดับสูง ผู้อ่านจะเข้าใจว่าเราไม่มีอุปสรรคแท่งหินอย่างเดียวหยุดผู้หญิงจากการขึ้นไปสู่ตำแหน่งระดับสูง อุปสรรคที่ขัดขวางความก้าวหน้าของผู้หญิงมีทั้งความลำเอียงที่ผู้ชายไม่ใชผู้หญิงเป็นผู้นำตามธรรมชาติ การแบ่งความรับผิดชอบของครอบครัวที่ไม่สมส่วน การเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง การคิดอย่างอคติต่อผู้นำหญิง การต่อต้านความเป็นผู้นำของผู้หญิง ความแตกต่างของสไตล์ระหว่างผู้นำชายและผู้นำหญิง และวัฒนธรรมองค์การและการปฏิบัติเพดานแก้วได้กลายเป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่นิยมแพร่หลาย แต่กำแพงเเก้วเป็นปรากฏการณ์ที่รู้จักกันน้อย กำแพงเเก้วเป็นอุปสรรคที่แยกตัวผู้หญิงออก ด้วยการยึดพวกเธอภายในงานที่ไม่นำไปสู่ความก้าวหน้าทางการบริหาร ขัดขวางการย้ายตามแนวนอนนำไปสู่การเลื่อนตำแหน่ง หรือจำกัดความสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในบทบาทกำแพงแก้วกำลังพิสูจน์เป็นอุปสรรคเริ่มแรกต่อผู้หญิงภายในสถานที่ทำงาน นำหน้าเพดานแก้ว ด้วยมันขัดขวางไปสู่บทบาทบางอย่าง ชารอน บอลตัน กล่าวว่า การแบ่งเเยกอาชีพโดยเพศขัดขวางผู้หญิงจากความก้าวหน้าไปสู่ระดับสูงภายในการบริหาร เพื่อการคัดเลือกต่่องานของผู้บริหารระดับสูง มันจำเป็นต้องมีประสบการณ์หลากหลายข้ามหน้าทีของบริษัทที่แตกต่างกัน ผู้หญิงถูกปิดล้อมด้วยบทบาทบางอย่าง ดังนั้นมันต้องทำลายกำแพงแก้วก่อนที่ผู้หญิงสามารถฝ่าอุปสรรคเพดานเเก้วไปสู่ผู้บริหารระดับสูง
ในขณะที่นักวิจัยได้ละเลยเรื่องที่เกี่ยวพันต่อเพศและความเป็นผู้นำจนกระทั่ง 1970 การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้หญิงภายในตำแหน่งความเป็นผู้นำ และผู้หญิงภายในทางวิชาการ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญภายในสังคมอเมริกัน มันได้จุดเชื้อความสนใจทางวิชาการอย่างมากภายในการศึกษาความเป็นผู้นำและเพศนักวิชาการได้เริ่มต้นถาม ผู้หญิงสามารถนำได้หรือไม่ คำถามยังคงต้องถกเถียงกัน นอกจากการปรากฏเพิ่มขึ้นของผู้หญิงภายในบทบาทความเป็นผู้นำบริษัทและการเมืองแล้ว เราสามารถชี้ผู้นำเพศหญิงที่มีประสิทธอภาพสูงได้หลายคน เช่น ซีอีโอของอีเบย์ เม็ก วิทแมน ซีอีโอของเอวอน อังเดีรย จุง วุฒิสมาชิกนิวยอร์ค ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ คอนโดลีซซา ไรซ์ เอเลนอร์ รูสเวลท์ ได้กล่าวว่า ภายในรัฐบาล ภายในธุรกิจ และภายในวิชาชีพ อาจจะมีวันหนึ่งเมื่อผู้หญิงจะถูกมองเป็นบุคคล แต่กระนั้นเรายังอยู่ไกลจากวันนั้น แม้ว่าสถานการณ์ของผู้นำหญิงได้ปรับปรุงอย่างสำคัญนับตั้งแต่เอเลนอร์ รูสเวลท์ ได้เขียนคำพูดอ้างอิงนี้ เรายังคงทางยาวไกลที่จะไปอุปสรรคที่มองไม่เห็นขัดขวางผู้หญิงจากการก้าวไปสู่ตำแหน่งความเป็นผู้นำระดับสูงเรียกกันโดยทั่วไปว่าเพดานแก้ว ถ้อยคำได้ถูกแนะนำไปสู่ภาษาประจำวันอเมริกันโดยนักข่าววอลล สตรีท เจอร์นัล สองคนเมื่อ ค.ศ 1986 “Corporate Women” แม้แต่ภายในตำแหน่งที่เพศหญิงยึดครอง ผู้หญิงได้เผชิญเพดานแก้ว ในขณะที่ผู้ชายดูเหมือนขึ้น “บันไดเลื่อนแก้ว” ไปสู่ตำแหน่งความเป็นผู้นำระดับสเพดานแก้วเป็นปรากฎการณ์ทั่วโลก เรามีเเรงจูงใจที่สำคัญบางอย่างเพื่อการกำจัดอุปสรรคไปสู่ตำแหน่งความเป็นผู้นำข้างบน การทำตามสัญญาของโอกาสที่เสมอภาคด้วยการยอมให้บุคคลทุกคนมีโอกาสไปสู่ตำแหน่งความเป็นผู้นำระดับสูง เราน่าจะพบปลาตัวใหญ่ภายใน ทะเลสาบมากกว่าสระ การพบบุคคลที่มีความสามารถสูงด้วยการเพิ่มจำนวนของผู้สมัคร นอกจากการพบปลาตัวใหญ่ภายในทะเลสาบเเล้วเราน่าจะพบความหลากหลายอย่างมากของปลาด้วย การส่งเสริมกลุ่มผู้หญิงที่หลากหลายไปสู่บทบาทความเป็นผู้นำจะทำให้สถาบันสังคมธุรกิจ และรัฐบาลเป็นตัวแทนอย่างแท้จริง และการเพิ่มประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วย คริสตอล ฮอยท์ ได้กล่าวว่า ผู้หญิงนำทางเขาวงกตของความท้าทายที่ซับซ้อนมากขึ้นที่ผู้ชายทำตามการเดินทางความเป็นผู้นำของพวกเขา ต้นกำเนิดใช้ถ้อยคำว่า เพดานแก้ว คำพูดเปรียบเทียบใหม่ของเขาคือ เขาวงกตความเป็นผู้นำ ภายในเขาวงกตความเป็นผู้นำ ผู้หญิงเผชิญอุปสรรคหลายเเง่มุมที่ไม่ได้ทำให้เกิดการขาดความเท่าเทียมทางตัวเลขระหว่างผู้หญิงและผู้ชายภายในความเป็นผู้นำเท่านั้น แต่เป็นความแตกต่างทางเพศภายในลักษณะของตำแหน่งความเป็นผู้นำด้วย ตัวอย่างการวิจัยไปสู่หน้าผาแก้ว เเสดงว่าผู้หญิงเทียบเคียงผู้ชายได้ถูกแต่งตั้งต่อตำแหน่งความเป็นผู้นำที่ล่อแหลมคู่กับความเสี่ยงสูง หน้าผาแก้วแสดงตัวมันเองเมื่อบริษัทเสนอผู้หญิงตำแหน่งความเป็นผู้นำที่ล่อแหลม โดยตั้งใจหรือบังเอิญเตรียมการความล้มเหลวแก่ผู้หญิง
หนังสือของปีเตอร์ นอรธเฮ้าส์ “Leadership : Theory and Practice”ได้ก้าวหน้าภาพสองอย่างของผู้หญิงและความเป็นผู้นำภาพอย่างเเรกเกี่ยวกับ เพดานแก้ว ภาพพจน์อย่างที่สองเกี่ยวกับ เขาวงกตความเป็นผู้นำเราทุกคนได้ยินถ้อยคำ เพดานเเก้ว เมื่อ ค.ศ 2016 ปีเตอร์ นอร์ธเฮ้าส์ ได้รายงานว่าเเม้ว่าผู้หญิงแสดงร้อยละที่สูงกว่าของปริญญาการศึกษา แต่ พวกเธอแสดงร้อยละที่ต่ำมากภายในตำแหน่งความเป็นผู้นำ และการแสดงที่ไม่ถูกต้องนี้ไม่ได้จำกัดภายในอเมริกาเท่านั้น ช่องว่างทางเพศภายในความเป็นผู้นำเป็นปรากฏการณ์โลก ตรงที่ผู้หญิงกระจุกตัวไม่เป็นสัดส่วนภายในความเป็นผู้นำระดับล่างเปรียบเทียบกับผู้ชาย ปีเตอร์ นอร์ธเฮ้าส์ ได้ให้คำอธิบายสามอย่างต่อผลลัพธ์นี้ : ทุนมนุษยความแตกต่างทางเพศ และความอคติ
*ทุนมนุษย์ ผู้หญิงมีการลงทุนมนุษย์ภายในการศึกษา การฝึกอบรม และประสบการณ์งานน้อยกว่าผู้ชาย ผู้หญิงขาดประสบการณ์เหมือนผู้ชายที่จริงแลัวผู้หญิงมักจะมีประสบการณ์งานน้อยกว่าผู้ชายเกิดขึ้นจากหน้าที่ดูแลเด็กและบ้าน ช่องว่างนี้ส่วนใหญ่เนื่องจากอุปสรรคความขัดเเย้งงาน-บ้านที่ผู้หญิงเผชิญด้วยความรับผิดชอบของพวกเธอ เพื่อการดูแลลูกของพวกเธอ ผู้หญิงถูกผลักดันเลือกระหว่างงานและเลี้ยงดูครอบครัวองค์การส่วนใหญ่ให้การลาคลอดที่ไม่เพียงพอ และตารางเวลาที่ไม่ยืดหยุ่น ปีเตอร์ นอร์ธเฮาส์ กล่าวว่า ผู้หญิงมีโอกาสน้อยกว่าผู้ชาย และผู้หญิงได้รับการสนับสนุนน้อยหรือถูกรวมไว้ภายในเครือข่ายเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการยากต่อผู้หญิงที่จะบุกเข้าไปอลิซ เอกลี และลินดา คาร์ลี ยืนยันว่าความรับผิดชอบบ้านทำให้เกิดความกดดันเวลามาก และผู้หญิงชดเชยเวลาด้วยการยกเลิกเวลาพักผ่อน แต่กระนั้นตามข้อเท็จจริงประมาณ 50% ของผู้บริหารระดับกลางเป็นผู้หญิง มันได้ให้หลักฐานว่าผู้หญิงมีประสบการณ์การบริหารที่สำคัญก่อนการแต่งตั้งเพื่อตำแหน่งความเป็นผู้นำอาวุโสแต่กลับกันนักวิจัยคนอื่นได้มุ่งเน้นการขาดแคลนผู้นำหญิงที่มีการฝึกอรบรมอย่างดีเป็นปัจจัยต่อช่องว่างทางเพศของกระบวนการคัดเลือกผู้นำ มันได้ถูกระบุเป็นปัญหาท่อส่งภายในสิ่งตีพิมพ์ การขาดผู้หญิงด้วยการศึกษาและประสบการณ์อย่างเพียงพอที่จะเลือกเพื่อตำแหน่งความเป็นผู้นำอาวุโส
*ความแตกต่างทางเพศ การอธิบายต่อการมีอยู่ของเขาวงกตคือ ความแตกต่างทางเพศภายในสไตล์ความเป็นผู้นำและประสิทธิภาพ แต่กระนั้นความแตกต่างเหล่านี้เป็นการรับรู้ที่ผิด ความเป็นผู้นำของผู้หญิงได้ถูกมองเห็นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะว่าผู้หญิงไม่ได้นำอย่างเหมารวม ผู้หญิงได้ถูกมองเป็นประชาธิปไตยและมีส่วนร่วมมากขึ้น และสไตล์ความเป็นผู้นำของเธอโน้มเอียงเป็นการปฎิรูปมากขึ้น สอดคล้องกับแนวคิดของความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพของวันนี้
การอธิบายช่องว่างความเป็นผู้นำได้หมุนรอบแนวคิดว่าผู้หญิงเพียงแค่แตกต่างจากผู้ชาย จุดมุ่งบนพื้นฐานความแตกต่างเพศเสนอแนะว่าผู้หญิงและผู้ชายมีคุณลักษณะเกี่ยวพันความเป็นผู้นำแตกต่างกัน โดยทั่วไปคุณลักษณะเกี่ยวกับผู้ชายมีคุณค่าสูงต่อตำแหน่งความเป็นผู้นำ ปีเตอร์ นอร์ธเฮ้าส์ ได้อธิบายว่าผู้นำหญิงมีประสิทธิภาพน้อยเมื่อทำงานกับผู้ชายส่วนใหญ่ ผู้หญิงเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพน้อยที่มักจะทำเป็นผู้ชายด้วยอย่างไรก็ตาม ตำแหน่งส่วนใหญ่ไม่ต้องการความสอดคล้องกับเพศ และเพศไม่มีอะไรทำกับความมีประสิทธิภาพ
*ความอคติ การอธิบายเพื่อเพดานแก้วคือ ความลำเอียงทางเพศ เกิดขึ้นจากความคาดหวังการเหมารวมที่ผู้หญิงดูแล และผู้ชายรับผิดชอบ การเหมารวมเป็นความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะของกลุ่มบุคคล โดยไม่มองความหลากหลายที่แท้จริงภายในคุณลักษณะของบุคคลเหล่านี้ นอกจากอิทธิพลการรับรู้ความแตกต่างโดยทั่วไปของผู้ชายและผู้หญิงแล้ว การเหมารวมเพศได้ชี้คุณลักษณะและพฤติกรรมที่เหมาะสมพวกเขาควรจะมีด้วยองค์การส่วนใหญ่ยังคงให้คุณค่าคุณลักษณะเชื่อมโยงกับผู้ชาย แม้ว่าความคิดนี้ได้ลดถอยไปเเล้ว ผู้หญิงถูกเผชิญกับความขัดเเย้ง ในฐานะของผู้นำ ผู้หญิงต้องเข้มแข็งและแน่วเเน่ แต่ทว่าการเป็นลูกผู้ชายเกินไปทำลายได้ ผู้หญิงที่เจรจาต่อรองเพื่อตัวเธอเอง เธอมักจะเผชิญกับปฏิกิริยาทางลบ ความกล้าแสดงออกของเธอถูกมองเป็นความเห็นแก่ตัว และฝ่าฝืนการเหมารวมเพศ การเหมารวมที่ไม่ยุติธรรมสร้างความขัดแย้งกันเอง นั่นเป็นเส้นทางเดินที่ดีต่อผู้หญิงแสวงหาตำแหน่งความเป็นผู้นำ
Cr : รศ สมยศ นาวีการ