jos55 instaslot88 Pusat Togel Online การเมืองสหรัฐฯนับวันจะถอยหลังเข้าคลองไปสู่คณาธิปไตย - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

การเมืองสหรัฐฯนับวันจะถอยหลังเข้าคลองไปสู่คณาธิปไตย

คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ

ทหารประชาธิปไตย

การเมืองสหรัฐฯนับวันจะถอยหลังเข้าคลองไปสู่คณาธิปไตย

มันไม่ใช่การปราบปรามนักศึกษาที่ประท้วงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอล แต่ระบบการเมืองของสหรัฐฯนับวันจะถอยหลังเข้าคลองไปทุกที เริ่มจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่มิได้มีการเลือกตั้งโดยตรง หากแต่ใช้การเลือกตั้งผ่านตัวแทนของพรรคการเมือง ที่เรียกว่า Electoral Vote ทำให้พรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคเดโมแครต และ Republican ซึ่งมีโครงข่ายจัดตั้งตัวแทนไว้ทั่วประเทศอยู่แล้วได้เปรียบ พรรคการเมืองใหม่ๆหรือผู้เลือกอิสระที่ไม่อาจจัดตั้งตัวแทนทั่วประเทศเหมือนพรรคใหญ่ ที่ได้ดำเนินการมานานหลายทศวรรษมาแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้การเลือกตั้งประธานาธิบดีจึงถูกจำกัดอยู่แค่ตัวแทนของ 2 พรรคนี้เท่านั้น พรรคอื่นหรือตัวแทนอิสระยากจะเข้ามาแข่งขัน ทำให้การเลือกตั้งในปีนี้สหรัฐฯต้องประสบกับปัญหาสำคัญ คือ ตัวแทนทั้ง 2 พรรค ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นที่นิยมต่อสาธารณะ และไม่อาจบริหารบ้านเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนที่ได้มีการออกแบบระบบไว้ แต่อำนาจที่แท้จริงจะตกไปอยู่ในมือของคณะบุคคลที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะในส่วนของประธานาธิบดีไบเดน เช่น นายบริงเกนและคณะ

ส่วนทางด้านทรัมป์ก็ตกอยู่ในครอบงำของกลุ่มบุคคล โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวอย่างนายจาเรด คุชเนอร์ ลูกเขยสุดรักของทรัมป์ที่เป็นยิวไซออนิสต์ จึงชี้นำนโยบายของทรัมป์อย่างสุดโต่งในเรื่องของอิสราเอลและธุรกิจการเงินกับกลุ่มยิวไซออนิสต์

นอกจากนี้ผู้ลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯยังมีอายุอานามค่อนข้างสูงมาก โดยไบเดนอายุ 81 ปี และทรัมป์อายุ 77 ปี ทำให้ขีดความสามารถของร่างกายและสมองมีขอบเขตจำกัดในการบริหารงานที่มีภาระหนักมาก สำหรับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 และกำลังเผชิญกับปัญหาท้าทายอยู่อย่างปัจจุบัน โดยเฉพาะการกดดันและความต้องการที่จะปลดแอกจากการครอบงำ และการชี้นำของสหรัฐฯ ด้วยกลไกระดับโลกอันเกิดจากข้อตกลง Bretton Wood เช่น World Bank,IMF, WTO เป็นต้น ซึ่งทำให้สหรัฐฯมีอำนาจผูกขาดในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลก อำนาจทางการเมืองและอื่นๆอันรวมเรียกว่า World Order(ระเบียบโลก)

ตัวอย่างเรื่องขีดจำกัดของสภาพร่างกายในการบริหารประเทศของประธานาธิบดีไบเดน ตามที่สื่อสหรัฐฯ Daily Callerรายงานสรุปได้ว่า นายไบเดน พูดผิดๆในการแถลงต่อสาธารณะเฉพาะในปีที่ผ่านมาถึง 148 ครั้ง เฉลี่ยแล้วพูดผิด 1.3 ครั้นต่อวัน จนทำให้คณะทำงานของทำเนียบขาวต้องออกมาคอยแก้ข่าวเป็นประจำ แค่นี้ก็ทำให้ความน่าเชื่อถือในผู้นำลดลงอย่างมากแล้ว ไม่นับอาการหลงๆลืมๆของลุงโจที่ปรากฎประจำ

ตัวอย่างเช่น สุนทรพจน์หนึ่งไบเดน กล่าวว่า “ชาวอเมริกันทั้งหลาย” โหวตคัดค้านแผนปกป้องอเมริกันของเขา แทนที่จะพูดว่า “ชาวรีพับลิกัน ทั้งหลาย” หรือเมื่อไบเดนกล่าวว่า การคุกคามประชาธิปไตยจะต้อง “ได้รับการปกป้อง” แทนที่คำถูกต้องคือ “ต้องได้รับการทำลายลง” ใน States of the Union  ซึ่งไบเดนต้องกล่าวต่อรัฐสภาเมื่อเดือนที่แล้วอันเป็นหมัดเด็ดที่ประชาชนจะตั้งใจฟังและได้รับการถ่ายทอดไปทั่วโลก ไบเดนพูดผิดถึง 13 ครั้ง

ส่วนทางด้านทรัมป์คดีความที่มีมากมายอยู่ในศาลแม้บางส่วนจะเป็นเกมส์การเมือง แต่ก็ทำให้ความน่าเชื่อถือของเขาลดลงไปมาก นอกเหนือจากแนวคิดเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ และเหยียดสตรีเพศของเขา (มีคดีเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศหลายครั้ง)

นอกจากปัญหาในการเลือกผู้นำ จนทำให้สหรัฐฯ ในสภาพปัจจุบันไม่มีทางเลือกที่ 3 แต่ต้องเลือกระหว่างชายแก่เลอะเลือน กับชายแก่มากตัณหาเท่านั้น นอกจากนี้การเมืองของสหรัฐฯยังถูกครอบงำโดยกลุ่มลอบบี้ยิสต์ขนาดใหญ่นั่นคือองค์กร AIPAC (American Israel Public Afair Committee) ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิก และประธานาธิบดี ตั้งแต่การเข้ารับการเลือกตั้งจนได้ตำแหน่งปรากฏว่าผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิกกว่าครึ่งสภาอยู่ภายใต้การสนับสนุนของ AIPAC ไม่ว่าเขาจะมาจากพรรคเดโมแครต หรือรีบพับลิกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐสภาสหรัฐฯจะให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ไม่ว่าอิสราเอลจะทำการผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ขัดหลักมนุษยธรรมหรือกระทำการอื่นใด แม้จะทำให้ประชาชนชาวมะกันต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ก็จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาสหรัฐฯ ตัวอย่าง เช่น การอนุมัติเงินช่วยเหลืออิสราเอลปีละ 300,000-400,000 ล้านดอลลาร์ โดยไม่มีเงื่อนไข

ล่าสุดก็อนุมัติเงินอีกหลายพันล้านดอลลาร์ สนับสนุนด้านเงินช่วยและอาวุธให้อิสราเอลใช้เข่นฆ่าชาวกาซาแบบล้างเผ่าพันธุ์ และยังคงใช้สิทธิวีโต้ปกป้องอิสราเอลในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวมทั้งการวีโต้มิให้มีการจัดตั้งประเทศปาเลสไตน์ในการประชุมล่าสุดของคณะมนตรีความมั่นคง ทั้งๆที่มันขัดกับมติของสมัชชาใหญ่ที่ 181 เมื่อ ปีค.ศ.1947 ที่ให้มีการจัดตั้งประเทศอิสราเอล และประเทศปาเลสไตน์ อันเป็นชนวนความขัดแย้งมาจนทุกวันนี้ เพราะมันเป็นแผ่นดินของปาเลสไตน์เขา

ทีนี้ก็ต้องมาพิจารณาต่อไปว่า AIPAC ไปเอาเงินมาจากไหนในการดำเนินการล็อบบี้ช่วยสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯในการเลือกตั้ง ตลอดจนการเลือกตั้งประธานาธิบดี

คำตอบคือ AIPAC ได้รับการสนับสนุนจากเงินบริจาคของเครือข่ายอุตสาหกรรมสำคัญๆของสหรัฐฯ ได้แก่อุตสาหกรรมการเงิน อุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ อุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมอาหารและยา อุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์และภาพยนตร์ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนและร่ำรวยมหาศาล ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็ตกอยู่ในกำมือของกลุ่มคนที่เป็นขบวนการเรียกว่า “ขบวนการยิวไซออนิสต์” โดยส่วนหัวของขบวนการก็คือ ตระกูลร็อธไชน์ ผู้ทรงอิทธิพลในธุรกิจการเงินของโลก ที่มีศูนย์บัญชาการอยู่ที่ “City of London” ซึ่งเป็นศูนย์การเงินของโลก และเป็นเขตปกครองอิสระขนาดไม่กี่ตารางกิโลเมตรอยู่ในมหานครลอนดอน

นอกจากตระกูลรอธไชล์แล้วยังมีการผสมผสานกับตระกูลมหาเศรษฐกิจใหญ่ๆอีกหลายตระกูล เช่น ร็อคเฟลเลอร์ ฯลฯ จึงมีบทบาทเป็น Deep State ในการควบคุมรัฐบาลของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร

มาถึงตรงนี้ก็คงกระจ่างแล้วว่าทั้งสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร จึงกลายเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นในการดำเนินบทบาทเจ้าอาณานิคม เพื่อตักตวงผลประโยชน์ให้กับตระกูลรอธไชน์และเครือข่าย โดยที่ประชาชนในประเทศเหล่านั้นเป็นผู้เสียประโยชน์ รวมทั้งประชาชนในอิสราเอลที่เจ้าของประเทศตัวจริงก็คือ ท่านลอร์ด รอธไชน์นั่นเอง

และขบวนการ Deep State นี้ก็ทำหน้าที่เป็นรัฐบาลโลกที่มีอิทธิพลไปทั่วด้วยพลังทางเศรษฐกิจ และกลไกทางทหารของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร มันก็เอวังลงด้วยประการฉะนี้

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *