นโยบายเศรษฐกิจสำคัญอย่างไร(5)
นโยบายเศรษฐกิจสำคัญอย่างไร(5)
โดย รศ.ดร สมศักดิ์ แต้มบุญเลิศชัย
การทุจริตด้วยนโยบายของรัฐ(policy corruption)การทุจริตคอรัปชั่นเปรียบเหมือนมะเร็งร้ายที่บ่อนทำลายเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศถ้าประเทศมีการทุจริตคอรัปชั่นมาก เศรษฐกิจและสังคมของประเทศก็จะได้รับความเสียหาย ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย สังคมไม่สงบ ประชาชนไม่ได้รับการดูแล การเมืองล้มเหลว ถ้ามีผู้บริหารประเทศที่ทุจริตคอรัปชั่น ประเทศก็จะไม่เจริญ การทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองและข้าราชการ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศล้าหลัง ความล้มเหลวที่เกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่มีต้นเหตุมาจากการทุจริตคอรัปชั่นของนักการเมืองและข้าราชการ การทุจริตหรือฉ้อโกง ทำให้สูญเสียงบประมาณแผ่นดินโดยไร้ประโยชน์ ทำให้ขาดงบประมาณในการพัฒนาประเทศ จึงไม่แก้ปัญหาที่มีผลเสียต่อประชาชน การศึกษา การสาธารณสุข ล้มเหลว ไม่สามารถส่งเสริมการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีคนจำนวนมากได้รับความเสียหายจากการก่อสร้างบ้านเรือน ถนนหนทางที่ไม่ได้มาตรฐาน ประชาชนต้องมีการบริโภคสินค้าที่มีผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้มีคนเจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก ในประเทศที่มีการทุจริตคอรัปชั่นรุนแรง ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน อาจไม่พอใจ มีการชุมนุมประท้วงรัฐบาล ทำให้สังคมแตกแยก มักเกิดความวุ่นวายสับสนอลหม่าน จนอาจกลายเป็นสงครามกลางเมือง การศึกษาประวัติศาสตร์โลก พบว่า การทุจริตคอรัปชั่น ทำให้หลายประเทศกลายสภาพจากประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง เป็นประเทศที่เสื่อมถอยล้าหลัง ด้วยเหตุนี้ ประเทศต่างๆ จึงให้ความสำคัญต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ก็มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่ประสบผลสำเร็จได้ การทุจริตคอร์รัปชั่น มีอยู่หลายรูปแบบ เช่น การรับสินบนในการจัดซื้อจัดจ้างและการเปิดประมูลงานโครงการของรัฐ การทุจริตในการสอบคัดเลือกต่างๆ การตั้งงบประมาณในโครงการต่างๆของหน่วยงานภาครัฐสูงเกินความเป็นจริง การเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องและผู้ใกล้ชิดในการประมูลงาน ฯลฯ โดยทั่วไป พฤติกรรมการทุจริตอาจเกิดจากนักการเมืองและข้าราชการบางคน และรัฐบาลมีหน้าที่ปราบปราม แต่ถ้าหัวหน้ารัฐบาลคอรัปชั่นเสียเองโดยการกำหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเอง และพวกพ้อง ที่เรียกกันว่า “คอรัปชั่นเชิงนโยบาย”(policy corruption)แล้ว เราจะคาดหวังให้รัฐบาลปราบปรามหรือขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นได้อย่างไร? องค์กรต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นต่างๆให้คำอธิบาย”การทุจริตเชิงนโยบาย(policy corruption)” ว่า เป็นกระบวนการทุจริตที่อาศัยอำนาจรัฐกำหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้กำหนดนโยบาย หรือผู้บริหารประเทศ โดยอาจอาศัย มติคณะรัฐมนตรี องค์กรหรือคณะกรรมการต่างๆที่รัฐบาลเป็นผู้ควบคุมในการ ออกกฏหมาย หรือ กฎระเบียบ เพื่อให้ผู้มีอำนาจในรัฐบาลได้รับผลประโยชน์อันมิชอบ โดยทั่วไป รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และข้าราชการทุกระดับ ควรมีหน้าที่ในการขจัดหรือสกัดกั้นการกระทำที่ทุจริตและผิดกฎหมาย แต่ถ้าหัวหน้ารัฐบาล และรัฐมนตรี มีการประพฤติปฏิบัติในทางทุจริตคอรัปชั่นเสียเองแล้ว การต่อต้านหรือการขจัดคอรัปชั่น ก็ไม่มีทางที่จะทำได้สำเร็จ ในช่วงของรัฐบาลไทยรักไทย ที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีตัวอย่างของการทุจริตคอรัปชั่นโดยนโยบายเป็นจำนวนมาก มีทั้งการกำหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้อง การแต่งตั้ง เครือญาติ และ ผู้ใกล้ชิดดำรงตำแหน่งบริหารที่สำคัญ ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ลงมาจนถึง กรรมการในรัฐวิสาหกิจต่างๆ เป็นจำนวนมาก ผู้มีอำนาจเหล่านี้ดำเนินการทุจริตเชิงนโยบายหลายกรณี ต่างกรรมต่างวาระ เป็นจำนวนมาก แต่ในที่นี้จะยกมากล่าวถึงเพียงบางรายการโดยสังเขป ตามเรื่องต่างๆ ดังนี้
1 การแปลงสัมปทานโทรศัพท์มือถือเป็นภาษีสรรพสามิต
2 การให้ใบอนุญาตสายการบินต้นทุนต่ำ
3 การจัดซื้อเครื่องบิน และการเปิดเส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ-นิวยอร์ก ของการบินไทย
3 การให้เงินกู้แก่พม่าของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า เพื่อใช้เงินซื้อสินค้าจากบริษัทชินคอร์ป
4 การซื้อที่ดินที่ถนนรัชดาภิเษก โดยรัฐบาลกำหนดให้วันที่ 31 ธันวาคมเป็นวันทำการปกติ
5 การขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปของครอบครัวชินวัตรให้แก่บริษัทเทมาเส็กของสิงคโปร์ โดยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
1 การแปลงสัมปทานโทรศัพท์มือถือเป็นภาษีสรรพสามิต
ประเทศต่างๆ มักมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในสินค้าบางชนิด ที่ถือกันว่า ถ้ามีการบริโภคในปริมาณมาก จะส่งผลเสีย เช่น บุหรี่ เหล้า และสินค้าที่ไม่อยากให้มีการใช้มากเกินไปด้วยเหตุผลด้านดุลการค้าหรือการสร้างมลภาวะ เช่น นำ้มันเชื้อเพลิง และสินค้าฟุ่มเฟือยสำหรับประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย เช่น รถยนต์ นอกจากการจำกัดปริมาณการบริโภคแล้ว ภาษีสรรพสามิต ยังเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐด้วย โดยทั่วไปการใช้บริการโทรคมนาคม มักไม่มีการเก็บภาษีสรรพสามิต เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนใช้กันอย่างกว้างขวาง
การแปลงสัญญาสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิตในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย เป็นการทุจริตนโยบายที่ชัดเจน เพราะมีผลทำให้รัฐบาลขาดรายได้จำนวนมาก และเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชนซึ่งเป็นบริษัทของครอบครัวนายกรัฐมนตรี คือบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น เป็นเงินจำนวนมหาศาล
ในปีค.ศ. 2002 รัฐบาลไทยรักไทย ได้ตั้งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กระทรวงไอซีที:ICT)ขึ้น ในเวลาอีกไม่นาน ก็มีการแปลงสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม โดยเปลี่ยนค่าสัมปทานที่บริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจโทรคมนาคมต้องจ่ายให้รัฐบาล มาเป็นภาษีสรรพสามิต เดิมทีบริษัทเอกชนที่ได้รับสัมปทานโทรคมนาคมจากรัฐ จะต้องจ่ายค่าสัมปทานให้รัฐตามส่วนแบ่งรายได้ในแต่ละปีตลอดอายุสัญญา เพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์ของการให้สัมปทานในการทำธุรกิจ
กรอบการแปลงสัญญาก็คือ ต่อจากนั้น บริษัทเอกชนไม่ต้องส่งส่วนแบ่งรายได้ให้รัฐ แต่รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตราร้อยละ 10 จากค่าบริการการโทรคมนาคมที่ได้รับในแต่ละปี การแปลงสัญญานี้ ทำให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย(ทศท.) และ การสื่อสารแห่งประเทศไทย(กสท.)(ซึ่งยังเป็นหน่วยงานของรัฐในขนะนั้น) ต้องสูญเสียรายได้ไปเป็นจำนวนมาก ทั้งยังเป็นการกีดกันบริษัทเอกชนรายใหม่ไม่ให้เข้ามาทำธุรกิจแข่งกับบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น เพราะผู้ประกอบการรายใหม่ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆจากรัฐเลย แต่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราเดียวกันกับผู้ประกอบการรายเดิมที่เคยได้รับสิทธิประโยชน์จากการได้รับสัมปทาน
2 การให้ใบอนุญาตสายการบินต้นทุนต่ำ
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2003 บริษัทชินคอร์ปอเรชั่น ขยายธุรกิจเข้าไปในกิจการสายการบินราคาถูก หรือสายการบินโลคอสต์ โดยการเข้าซื้อหุ้นในสายการบินแอร์เอเซีย(Air Asia) กว่าร้อยละ 50 ทำให้แอร์เอเชียมีสถานะเป็นสายการบินไทย ก่อนหน้านั้น รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณกว่า 67,000 ล้านบาท เพื่อให้เชียงใหม่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทำโครงข่ายถนนสนามบินเชื่อมโยงเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และเปิดให้สายการบินนานาชาติเพิ่มการจัดเที่ยวบินเข้าเชียงใหม่ โดยนัยว่าจะทำให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสั่งให้บริษัทการบินไทย จัดเที่ยวบินที่จะบินไป โตเกียว ไต้หวัน ฮ่องกง แวะเข้าเชียงใหม่ เและ ให้เที่ยวบินที่ไปหลวงพระบาง ย่างกุ้ง เข้าเชียงใหม่สามเที่ยวต่อสัปดาห์ ทั้งยังลดค่าบริการขึ้นลงของเครื่องบิน ลงร้อยละ 50 ในทุกสนามบินทั่วประเทศ
รัฐบาลไทยรักไทยอ้างว่า นโยบายนี้ มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และเอื้อประโยชน์ต่อผู้บริโภค แต่นโยบายนี้ทำให้การบินไทย และท่าอากาศยานไทย ต้องประสบกับการขาดทุน คิดเป็นเงินจำนวนมาก และข้ออ้างที่ว่า จะทำให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ไม่เกิดขึ้น
3 การจัดซื้อเครื่องบินและเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ-นิวยอร์ก
ระหว่างปี พ.ศ. 2545-2547 รัฐบาลไทยรักไทยได้อนุมัติโครงการจัดซื้อเครื่องบิน A 340-500 จำนวนสี่ลำ และA-340-600 จำนวนสิบลำ นอกจากนั้น ยังมีการสั่งซื้อเครื่องบินอีกหลายรอบ โดยไม่สนใจคำท้วงติงจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เครื่องบินแอร์บัสทั้งสองรุ่นนี้ ทำการบินตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2546 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2548 ทำการบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ-นิวยอร์ค และกรุงเทพฯ-ลอสแองเจลีส เที่ยวบินบินตรงทั้งสองเส้นทางนี้ ขาดทุนย่อยยับ คิดเป็นเงินมหาศาล เพราะเป็นเครื่องบินพิสัยไกลพิเศษ ซึ่งต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาก แต่มีจำนวนที่นั่งน้อย เพราะแม้เป็นเครื่องบินใหญ่ แต่เป็นการเดินทางไกลรวดเดียว จำต้องมีที่ว่างมากพอ ที่จะไม่ทำให้ผู้โดยสารต้องรู้สึกแออัด
เครื่องบิน A 340-500 เป็นเครื่องบินใหม่เอี่ยมในสมัยนั้น ทั่วโลกมีเพียง 26 ลำ เส้นทางการบินระหว่างกรุงเทพฯและนิวยอร์ก เป็นการบินตรง โดยไม่แวะพักที่ไดเลย ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก แต่มีผู้โดยสารน้อย จึงต้องขาดทุนมากในแต่ละเที่ยวบิน เส้นทางกรุงเทพ-ลอสแองเจลีส ก็ต้องประสบกับการขาดทุนเช่นกัน
การสั่งซื้อเครื่องบินของรัฐบาลไทยรักไทย ทำให้การบินไทยต้องประสบกับการขาดทุนคิดเป็นเงินมหาศาล เพราะนอกจากค่าเครื่องบินแล้ว ยังต้องซื้ออะไหล่ ต้องมีค่าใช้จ่ายฝึกนักบินที่จะใช้เครื่องบินนี้ ต่อมา ก็ต้องเสียค่าดูแลรักษาซ่อมแซม และเมื่อเครื่องบินไม่ได้ขึ้นบินแล้ว ก็ต้องจอดทิ้งไว้ แต่ต้องเสียค่าดูแลรักษา ถ้าจะขาย แม้ขายขาดทุนมาก ก็ยังไม่มีคนซื้อ ความเสียหายของบริษัทการบินไทย จึงมีการพอกพูนมาเป็นเวลานานหลายปี จนถึงปัจจุบัน
การที่รัฐบาลไทยรักไทย สามารถสั่งซื้อเครื่องบินหลายรอบ กำหนดเส้นทางการบินที่ทำให้ต้องประสบกับการขาดทุนมาก ก็เป็นเพราะทั้งรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารการบินไทย ล้วนเป็นลูกน้องของตนเอง โดยนายกรัฐมนตรีสามารถสั่งการได้ ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า การจัดซื้อเครื่องบินของพรรคไทยรักไทย นักการเมืองได้รับ”เงินทอน”มากน้อยเพียงไร แต่ที่แน่ชัดก็คือ โนยบายการจัดซื้อเครื่องบินนี้ ทำให้การบินไทยต้องขาดทุนอย่างหนัก และประเทศชาติได้รับความเสียหาย
4 การสั่งให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(EXIM Bank)ปล่อยกู้แก่รัฐบาลพม่า
ในปี พ.ศ. 2546 รัฐบาลมีคำสั่งให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ให้เงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำจำนวน 4000 ล้านบาทแก่รัฐบาลพม่า เพื่อนำเงินดังกล่าวมาใช้ในการซื้อบริการการสื่อสารผ่านดาวเทียมของบริษัทชินแซทเทลไลท์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของตระกูลชินวัตร ในฐานะรัฐวิสาหกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของรัฐบาลโดยไม่ขัดขืน แม้รู้อยู่แก่ใจว่า การปล่อยเงินกู้ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และเสี่ยงที่จะเป็นหนี้สูญ
5 การซื้อที่ดินที่ถนนรัชดาภิเษก
คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยาของทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ประมูลซื้อที่ดินริมถนนเทียมร่วมมิตร ย่านถนนรัชดาภิเษก เนื้อที่ 33ไร่ ในราคา 772 ล้านบาท จากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน โดยทักษิณ ร่วมลงนามในฐานะคู่สมรส ที่ดินแปลงนี้ กองทุนฟื้นฟูฯ ได้ซื้อมาก่อนหน้านี้เป็นเงิน 2749 ล้านบาท ทำการเปิดประมูลในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2003 โดยตั้งราคาขั้นต่ำไว้ 700 ล้านบาท ในที่สุด คุณหญิงพจมานเป็นผู้ชนะการประมูล
การประมูลซื้อที่ดินในครั้งนี้ นอกจากการทำผิดกฎหมาย ที่นายกรัฐมนตรีและภรรยา ประมูลซื้อที่ดินจากหน่วยงานของรัฐแล้ว ยังมีการกำหนดให้วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เป็นวันทำการปกติเพื่อให้สามารถโอนที่ดินแปลงดังกล่าวภายในปี 2546 เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีการโอนที่ดินในอัตราใหม่หลัง 1 มกราคม 2547 การซื้อที่ดินดังกล่าว เสียค่าธรรมเนียมการโอนเพียง 700,000 กว่าบาท แต่ถ้ามีการโอนหลังปีใหม่ จะต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอนเป็นเงินกว่า 15 ล้านบาท รัฐบาลทักษิณจึงใช้อำนาจประกาศให้วันพุธที่ 31 ธันวาคม 2546 เป็นวันทำการของหน่วยงานรัฐ โดยไม่ใช่วันหยุดราชการ ซึ่งการแก้วันหยุดทำการของหน่วยงานรัฐบาลดังกล่าว มีผลทำให้ครอบครัวชินวัตรสามารถประหยัดภาษีค่าธรรมเนียม การโอนที่ดินไปประมาณ 15 ล้านบาท เพื่อประหยัดเงินเพียงเท่านี้ ก็สามารถแก้กฎหมาย ทำให้วันหยุดราชการเป็นวันทำการได้ เมื่อตนเป็นรัฐบาล
6 การขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปให้แก่บริษัทเทมาเส็ก(Temasek)ของสิงคโปร์
ตระกูลชินวัตรได้ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปให้แก่บริษัทเทมาเส็กซึ่งเป็นบริษัทจัดการการลงทุน ของรัฐบาลสิงคโปร์ ในปลายเดือนมกราคม พ.ศ. 2549 มูลค่า 73,271 ล้านบาท การขายหุ้นดังกล่าว ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง จนเกิดการชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้น ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2549 มีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่การเลือกตั้งในครั้งนั้นเป็นไปอย่างไม่สุจริต การชุมนุมประท้วงจึงดำเนินต่อไป ในที่สุด ก็เกิดการรัฐประหารในเดือนกันยายน ค.ศ. 2549 และทักษิณได้หนีไปอยู่ที่ต่างประเทศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
การขายหุ้นครั้งนี้ มีสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลหลายประการ เช่น
-การขายครั้งนี้ แม้คิดเป็นเงินจำนวนมาก แต่ผู้ขายก็ไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว เพราะใช้วิธีซิกแซ็ก โอนกิจการให้บริษัทแอมเปิ้ลริช (Ample Rich)ที่จดทะเบียนบนเกาะบริ๊ชติช เวอร์จิน(British Virgin)แล้วขายหุ้นให้ลูกชายและลูกสาวของทักษิณในราคาหุ้นละ 1 บาท( ราคาตลาดซื้อขายหุ้นละ 49.50 บาท) แล้วขายหุ้นทั้งหมดซึ่งเป็นหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ให้แก่บริษัทเทมาเส็กโดยได้รับยกเว้นภาษี
-การขายครั้งนี้ มีสัดส่วนเกินร้อยละ 49 ของหุ้นบริษัทชินคอร์ป เดิมกฎหมายกำหนดว่า บริษัทต่างชาติไม่สามารถเป็นเจ้าของในกิจการโทรคมนาคมเกินร้อยละ 25 แต่เพียงสองวันก่อนการขายหุ้นของชินคอร์ปให้เทมาเส็ก รัฐบาลได้ออกกฏหมายใหม่ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติถือหุ้นในกิจการโทรคมนาคมไม่เกินร้อยละ 50
-ในบรรดาธุรกิจทั้งหลายที่อยู่ภายใต้การถือครองของชินคอร์ป มีบางกิจการที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นอยู่แล้ว หากขายหุ้นร้อยละ49ให้เทมาเสกอีก ก็จะมีชาวต่างชาติถือหุ้นเกินร้อยละ 50 จึงมีการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้ง (holding company)ซึ่งมีคนไทยเป็นนอมินี(nominee)หรือผู้ถือหุ้นในนามในบริษัทโฮลดิ้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงกฏระเบียบการถือหุ้นของชาวต่างชาติก่อนการขายให้บริษัทเทมาเส็ก ในเวลาเพียงไม่กี่วันก่อนการขายหุ้น
-กิจการที่ขายให้เทมาเส็ก มีทั้งธุรกิจดาวเทียม โทรคมนาคม สายการบิน ช่องรายการโทรทัศน์ ซึ่งโดยทั่วไปไม่มีประเทศใดในโลก ยินยอมที่จะให้บริษัทต่างชาติเข้ามาควบคุม หรือมีส่วนร่วมกับธุรกิจเหล่านี้ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ แต่ชินคอร์ป ก็ยินดีที่จะขายกิจการเหล่านี้ โดยไม่รู้สึกว่ามีความผิดแต่อย่างไร
ในเวลาต่อมา ศาลฎีกาจึงทำการสอบสวน และพิพากษาให้ยึดทรัพย์ทักษิณกว่า 46,000 ล้านบาท และจ่ายดอกเบี้ยย้อนหลังอีก 17,000 ล้านบาท
คดีความการทุจริตของทักษิณ ชินวัตร ยังมีอยู่อีกหลายคดี เช่น การให้ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้แก่บริษัทกฤษดามหานคร ซึ่งภายหลังพบว่า บริษัทนี้ได้จ่ายสินบนให้ภรรยาและลูกของทักษิณ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI)ที่ทักษิณเป็นประธาน มีรัฐมนตรีหลายคนเป็นกรรมการ ได้อนุมัติให้มีการยกเว้นภาษีให้แก่ดาวเทียมไทยคม4 หรือไอพีสตาร์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือชินคอร์ป และการทุจริตในการออกสลากพิเศษซื้อหวยบนดินเลขท้าย2ตัว 3ตัว เป็นต้น คดีความเหล่านี้ ศาลไม่สามารถตัดสินได้ในช่วงแรกที่ทักษิณหลบหนีอยู่นอกประเทศ เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่า คดีต่างๆจะตัดสินไม่ได้ หากผู้ถูกฟ้องดำเนินคดี ไม่มาปรากฏตัวในขณะที่ศาลอ่านคำพิพากษา แต่ต่อมา มีการแก้ไขกฎหมาย ทำให้แม้ผู้ถูกฟ้องไม่มาปรากฏตัว ก็สามารถตัดสินคดีได้ ทักษิณจึงถูกตัดสินให้จำคุกในคดีต่างๆรวมเป็นหลายปี หากเขากลับมาประเทศไทย ก็จะต้องถูกจับจำคุกทันทีกล่าวโดยสรุป รัฐบาลไทยรักไทย มีการทุจริตโดยนโยบาย คือกำหนดโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้ตนเองและครอบครัวของผู้บริหารประเทศ โดยอาศัยมติคณะรัฐมนตรี คำสั่งของนายกรัฐมนตรี เอาเครือญาติและลูกน้องของตนเองเข้าไปอยู่เป็นผู้บริหารในกระทรวงและในรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่สามารถกำหนดกฎระเบียบที่ไม่สุจริตได้ ในกรณีที่ไม่สามารถกำหนดกฎหมายหรือกฎระเบียบได้ ก็ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศไทย จึงได้รับความเสียหายมากในสมัยที่ทักษิณชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แม้เมื่อมีการรัฐประหาร จนตนเองต้องหลบหนีออกนอกประเทศ ทักษิณก็ยังสามารถสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศ โดยการยุยงให้ลูกสมุนก่อความวุ่นวาย จนพรรคพวกและน้องสาวของตนเองได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล บริหารประเทศได้ มีพรรคการเมืองของลูกสมุนและพรรคพวก ที่ตนเองสามารถควบคุมได้ มาโกหกหลอกลวงประชาชน เพื่อหวังที่จะได้เป็นรัฐบาล และโกงต่อไปอีก