จีน-อินเดียและยุคสมัยของการทูตสามเหลี่ยม (1998-2008)
จรัญ มะลูลีม
ความสัมพันธ์จีน-อินเดียจากความห่างเหินสู่ความชิดใกล้
การเดินทางไปเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีอินเดียในปี 1988 นับเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและจีนที่สำคัญ การพบปะกันในครั้งนั้นได้สร้างความเข้าใจอันดีต่อกระบวนการพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศไปสู่ระดับปกติ การกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอินเดียและจีนนั้น สิ่งจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ รวมทั้งทัศนวิสัยของทั้งสองประเทศ ในช่วงปี 1990-1991 ระบบระหว่างประเทศได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ภายใต้ผลกระทบขององค์ประกอบต่างๆ กล่าวคือ การสิ้นสุดลงของสงครามเย็น และระบบสังคมนิยมในประเทศแถบยุโรปตะวันออก การยุติลงของสนธิสัญญาวอร์ซอร์ การล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียต การรวมประเทศของเยอรมนีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของกลุ่มประชาคมยุโรป ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสหภาพยุโรป (European Union) หรือ EU
การฟื้นตัวของญี่ปุ่นจนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ อำนาจที่เริ่มปรากฏตัวขึ้นของอาเซียน (ASEAN) การฟื้นฟูขึ้นมาของการเมืองแนวทางอิสลาม (Political Islam) ในแถบเอเชียตะวันออก และเอเชียกลาง และที่สำคัญคือการปรากฎตัวของสหรัฐอมริกาที่เป็นเสมือนมหาอำนาจผู้เดียวในเวลานั้น[1]
นอกจากนี้จีนยังต้องทนรับแรงกดดันอย่างหนักจากประเทศตะวันตกในกรณีสิทธิมนุษยชน ดังนั้น ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของจีนที่มีต่ออินเดียสามารถสรุปได้ดังนี้
- จีนได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์แล้วว่านโยบายที่เคยใช้ปฏิบัติต่ออินเดียในช่วงปี 1955-1977 นั้นส่งผลให้อินเดียต้องหันหน้าเข้าหาอดีตสหภาพโซเวียต และความสัมพันธ์ที่เน้นแฟ้นระหว่างรัสเซียและอินเดียยังทำให้เกิดสภาวะที่ตีบตันทางด้านการพัฒนาความสัมพันธ์ของอินเดียและจีนอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้ เมื่อสหรัฐอเมริกาและอินเดีย พยายามพัฒนาความสัมพันธ์ให้แนบแน่นยิ่งขึ้นภายหลังสงครามเย็นทำให้จีนไม่ต้องการผลักดันให้อินเดียเข้าใกล้สหรัฐอมริกามากจนเกินไป
- ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับอินเดียในอดีต ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของจีนกับประเทศโลกที่สามอื่นๆ
- อินเดียเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาทางด้านอำนาจและจีนไม่สามารถเพิกเฉยได้
- จีนสามารถรับแรงกดดันจากตะวันตกในกรณีนโยบายของจีนต่อทิเบต และสิทธิมนุษยชนได้โดยการสร้างสัมพันธ์อันดีกับอินเดีย เพราะอินเดียได้ให้การยอมรับจีนในกรณีทิเบต และเริ่มแสดงท่าทีที่อ่อนลงในบทบาทของจีนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน
- ในสภาวะเศรษฐกิจเสรีนิยม จีนสามารถขยายความสัมพันธ์ด้านการค้า อุตสาหกรรม วัฒนธรรมและการทหารกับอินเดียได้
สำหรับอินเดียภายหลังจากได้รับเอกราช อินเดียตัดสินใจพัฒนาความสัมพันธ์ในระดับสูงต่อจีนอินเดียให้การยอมรับคอมมิวนิสต์จีน และสนับสนุนให้เข้าสู่สหประชาชาติ รวมทั้งเป็นสมาชิกถาวรในสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ การลงนามในข้อตกลงทิเบตและหลักปัญจศีลกับจีน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศก็ประสบปัญหา เมื่อจีนแสดงท่าทีสนับสนุนปากีสถานในความสัมพันธ์ทุกด้าน
อย่างไรก็ตาม ก้าวสำคัญของการขยายความสัมพันธ์ระดับพหุภาคีระหว่างอินเดียและจีน ได้มีขึ้นโดยทั้งสองฝ่ายฟื้นฟูการค้าขายแถบชายแดน ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันและผลประโยชน์ร่วมกัน[2]
ทั้งนี้อินเดียได้ให้คำมั่นว่าจะไม่อนุญาตให้ชาวทิเบตดำเนินกิจกรรมต่อต้านจีนในอินเดีย และยอมรับว่าทิเบตเป็นเขตปกครองอิสระของจีน ทั้งสองฝ่ายได้ย้ำถึงความต้องการด้านความร่วมมือในระดับสูงในด้านการค้า วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้อินเดียและจีนได้ขยายความร่วมมือไปสู่การศึกษา พลังงาน กสิกรรม และสุขภาพอนามัย
ในปี 1993 อินเดียและจีนได้ตกลงร่วมกันในการเปิดพรมแดนเพิ่มที่จุดชิบกี (Shipki La Pass) ในรัฐหิมาจัลประเทศ (Himachal Pradesh) นอกเหนือไปจากจุดลิปูเล็กห์ Lipu Lekh เพื่อการค้าและเป็นนโยบายในการแก้ไขปัญหาพรมแดนทีละขั้นตอน และต่อมาในปี 1995 ได้มีการเปิดพรมแดนเพิ่มขึ้นอีกสองจุดที่ชายแดนนาตูลา (Nathula) และสิกขิม (Sikkim) ส่วนในปี 1994 อดีตรองประธานาธิบดี นารายานัน (K.R.Narayanan) เดินทางเยือนจีน ในระหว่างการเยือนนั้นทั้งสองฝ่ายได้แสดงเจตจำนงในการกระตุ้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับพหุภาคี และลงนามในข้อตกลงเกี่ยวกับการธนาคารและกงสุลเพิ่มเติม
ดังนั้นในช่วงปี 1991-1996 ทั้งอินเดียและจีนต่างก็พยายามรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์ที่มั่นคงหลากหลายรูปแบบมากขึ้น แต่ทั้งสองประเทศได้ประสบกับปัญหาที่รุนแรง เนื่องจากอินเดียทำการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จในปี 1998 และได้ประกาศตนเองเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ จากเหตุการณ์นี้ทำให้ความสัมพันธ์ของอินเดียและจีนเต็มไปด้วยความตึงเครียด ในขณะเดียวกัน นายจอร์จ เฟอร์นันเดซ (George Fernandes) อดีตรัฐมนตรีกลาโหมของอินเดียในเวลานั้น ได้เปิดแถลงการณ์ว่าอินเดียรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยที่ได้แผ่ขยายมาจากจีน และยังได้ระบุด้วยว่าจีนเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของอินเดีย[3]
ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายยังคงพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า และเมื่อนายกรัฐมนตรี อตัล พิหารี วัชปายี (Atal Bihari Vajpayee) ของอินเดียได้พบปะกับทะไล ลามะ ผู้นำของทิเบต การพบปะครั้งนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากจีนถึงการที่ทะไล ลามะไม่ควรได้รับอนุญาตให้ทำกิจกรรมด้านการเมืองในอินเดีย จีนรู้สึกว่าอินเดียพยายามหยิบยกประเด็นทิเบตมาต่อต้านจีน ทำให้จีนตระหนักว่าตนเองก็สามารถนำเอาประเด็นแคชมีรมาโจมตีอินเดียได้ในลักษณะถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดปี 1998 ความสัมพันธ์อินเดีย-จีน จึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและจีนก็ได้แสดงนโยบายชื่นชอบปากีสถานให้เห็นอย่างชัดเจนและจับมือกับสหรัฐอเมริกาสร้างแรงกดดันให้อินเดียลงนามในข้อตกลง CTBT
ในปี 1999 ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศได้รับการพัฒนาไปในหนทางที่ดีขึ้น เมื่อนายกรัฐมนตรีอินเดียได้ใช้การทูตรถบัส (bus diplomacy) เพื่อพัฒนาสันติภาพและความร่วมมือฉันท์มิตรต่อปากีสถาน จีนรู้สึกถึงความจำเป็นในการปรับปรุงนโยบายให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการสานต่อความสัมพันธ์กับอินเดีย จะเห็นได้ว่าในศตวรรษที่ 21 นี้ ทั้งอินเดียและจีนต่างก็ได้ตระหนักถึงความสำคัญของกันและกัน
ในเดือนมีนาคมปี 2000 อินเดียและจีนได้จัดการเจรจาด้านความมั่นคงรอบแรกที่ปักกิ่ง และมีแนวโน้มที่จะจัดการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศขึ้นอีกในประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ไม่เคยได้รับการพิจารณามาก่อน
จากสถานการณ์ในปัจจุบัน จึงเป็นการเหมาะสมในการสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งด้านความช่วยเหลือและไมตรีจิตระหว่างอินเดียและจีนตามแนวคิดฮินดี-จินี ใบ๋ใบ๋ (Hindi-Chini Bhai Bhai) ซึ่งหมายถึงอินเดีย-จีนเป็นพี่น้องกัน และเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนที่สั่งสมมาเป็นเวลายาวนาน
ยุคสมัยของการทูตสามเหลี่ยม 1998-2008
การเลือกตั้งในเดือนมีนาคมปี 1998 ทำให้พรรคภารัตติยะ ชะนะตะ (Bharatiya Janata) หรือ BJP ได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาลซึ่งนำโดยนายอตัล พิหารี วัชปายี (Atal Bihari Vajpayee) ที่ขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[4]
นายวัชปายีได้นำเสนอนโยบายใหม่ของอินเดียที่มีต่อประเทศที่จะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอย่างจีน ตัวเขาและผู้ใกล้ชิดอย่างนายจัสวัน ซิงค์ (jaswan Singh) และนายบราเจสห์ มิสรา (Brajesh Misra) นั้นถือว่าเป็นนักสัจนิยมคนแรกที่ปกครองอินเดียที่เสนอว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะทำให้อินเดียมีความเข้มแข็งเช่นเดียวกับจีนไม่เฉพาะในระดับเอเชียใต้เท่านั้น แต่ในระดับโลกด้วย
แนวคิดของนักคิดอินเดียอย่างนายปราเจสห์ มิสรา เห็นได้จากจดหมายของนายวัชปายีที่เขียนไปถึงประธานาธิบดีบิล คลินตัน[5] (Bill Clinton) ซึ่งเรียกร้องสหรัฐอเมริกาให้เข้าใจการทดลองนิวเคลียร์ของอินเดีย เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1998 อันเป็นวิธีการที่คนในระดับแกนนำของประเทศไม่เคยสื่อสารกับสหรัฐอเมริกาแบบนี้มาก่อน
จดหมายของนายวัชปายี[6]มุ่งประเด็นไปที่การท้าทายของจีนที่มีต่ออินเดีย แม้จะหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงจีนเป็นการเฉพาะและเร่งให้เกิดปฏิกิริยาในแง่ลบต่อจีน[7] สองปีต่อมาจีนก็ได้เปิดเผยถึงมาตรการต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อลงโทษอินเดียที่มี่จุดยืนต่อต้านจีน ด้วยการลอบบี้สหรัฐอเมริกาให้สนับสนุนการแซงก์ชั่นอินเดียแต่ไม่ให้แซงก์ชั่นปากีสถาน ยกเลิกกำหนดการพบปะคณะทำงานร่วมชายแดนเพิ่มการส่งอาวุธให้กับปากีสถาน และย้ำถึงมติของสหประชาชาติว่าด้วยจุดยืนของจีนที่มี่ต่อปัญหาแคชมีร
จีนแสดงความสนใจในเรื่องที่อินเดียต่อต้านจีนหรือที่อินเดียเรียกว่า “การคุกคามของจีน” (China threat) จนเป็นผลให้อินเดียต้องทดลองนิวเคลียร์ ดังนั้นในจุดหนึ่งการทดลองนิวเคลียร์ของอินเดียนั้นอินเดียอ้างว่ามาจากการคุกคามของจีนมากกว่าจะมาจากความสนใจของอินเดียเองเสียอีก ทั้งนี้โดยส่วนลึกแล้ว มีการแนะนำกันว่าสิ่งที่จีนหวาดกลัวและการที่นายวัชปายีเขียนจดหมายเพื่อให้สหรัฐอเมริกาเข้าใจนั้นไม่ได้เป็นอะไรอื่นนอกจากจะแสดงความร่วมมือกันของสหรัฐอเมริกาและอินเดียในการต่อต้านจีนให้เห็น
ความคิดในประเด็นอินเดีย-จีนผ่านการวิวัฒนาการไปอย่างไหลลื่นอันเนื่องมาจากการทดลองนิวเคลียร์ในเดือนพฤษภาคมปี 1998 การพูดคุยในเวลาต่อมา ในตอนกลางทศวรรษ 1990 ทั้งในอินเดียและที่อื่นๆ ที่มีกลุ่มยูเรเซีย (Eurasian bloc) รวมทั้งรัสเซียจีนและอินเดียเข้าร่วมด้วยนั้นเป็นการพูดคุยกันเพื่อที่จะต่อกรกับการมีอำนาจฝ่ายเดียวของสหรัฐอเมริกา นักวิเคราะห์ของสหรัฐอเมริกาจึงได้ตั้งคำถามถึงการสังกัดกลุ่มของอินเดียในโลกหลังสงครามเย็นและในสถานการณ์ที่ความขัดแย้งสหรัฐอเมริกา-จีนเพิ่มขึ้นว่าจะมีแนวโน้มไปในทิศทางใดกันแน่
การเผชิญหน้าในปี 1996 ที่ช่องแคบไต้หวันที่อาจเกิดขึ้นได้ทำให้สหรัฐอเมริกาคิดว่าจะหยุดยั้งจีนจากการเข้าไปผูกพันในสงครามดังกล่าวได้อย่างไร แม้ว่าการคิดไปในเส้นทางนี้ยังไปไม่ได้ไกลนักในช่วงที่อินเดียทดลองนิวเคลียร์ในปี 1998 อย่างไรก็ตามฝ่ายบริหารของสหรัฐอเมริกาได้ขานรับจดหมายของนายวัชปายีในปี 1998 ที่พูดถึงการคุกคามของจีนต่ออินเดีย
จดหมายของนายวัชปายีที่ตรงไปตรงมาเริ่มไหลผ่านเข้าสู่กลุ่มผู้วางยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ความตรงไปตรงมาของจดหมายของนายวัชปายีทำให้จีนไม่สบายใจอย่างลึกซึ้งและนำไปสู่การรณรงค์ของจีนที่จะลงโทษอินเดีย แต่จดหมายฉบับนี้ก็ช่วยเร่งเร้าให้สหรัฐอเมริกาได้คิดทบทวนนโยบายของตนอีกครั้ง
ปฏิกิริยาของอินเดียที่เป็นไปในทางลบอย่างรุนแรงต่อแถลงการณ์ร่วมของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและจีนในเดือนมิถุนายน ปี 1998 ก็มีส่วนช่วยให้สหรัฐคิดใหม่อีกครั้งว่ากระบวนการใดที่จะทำผลประโยชน์ให้สหรัฐอเมริกามากที่สุด[8]
ในท้ายที่สุดได้มีการหารือกันอย่างจริงจังระหว่างนายจัสวัน ซิงค์ (Jabwant Singh) ซึ่งเป็นรัฐมนตรีคลังในเวลานั้นและนายสโทรบ ทัลบอตต์ (Strobe Talbort) ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มตั้งแต่กลางปี 1998 เรื่อยไปจนถึงปลายสมัยการบริหารของประธานาธิบดีคลินตัน ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจอย่างแท้จริงในเรื่องความห่วงใยของอินเดียต่อบทบาทของจึงที่มีต่อเอเชียใต้และต่อโลก
การพูดคุยแลกเปลี่ยนของซิงค์-ทัลบอตต์นำไปสู่กระบวนการความสัมพันธ์ใหม่ที่สหรัฐอเมริกามีต่ออินเดียและจีน ทั้งนี้สหรัฐอเมริกาจะไม่เป็นพันธมิตรกับจีนในการต่อต้านอินเดียอีกต่อไป แต่จะสนับสนุนให้อินเดียปรากฏตัวขึ้นมาในฐานะประเทศที่มีอำนาจมากขึ้นของเอเชียและของโลก[9]
อย่างไรก็ตาม “ปัจจัยจีน” (China factor) ในความสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย-สหรัฐอเมริกาที่เริ่มเมื่อตอนปลายของปี 1998 ก็เป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยทั้งหมดเท่านั้น แต่มิได้เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่มีความสำคัญ อิทธิพลที่เติบโตของชาวอินเดียที่กระจายตัวอยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งชนชั้นนำของอินเดียที่ค้นพบขุมทรัพย์ที่มีศักยภาพในการมีส่วนร่วมอยู่ในเศรษฐกิจโลกและความเข้าใจในบทบาทของสหรัฐอเมริกาในเศรษฐกิจโลกก็มีส่วนอยู่ด้วย
ในปี 2000 สถานการณ์การแข่งขันกันระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาในความร่วมมือกับอินเดียได้พัฒนาขึ้น จีนมองดูสหรัฐอเมริกาด้วยความเข้าใจ เมื่อสหรัฐอเมริกาให้ความร่วมมือกับจีนน้อยลงในการต่อต้านการขับเคลื่อนเรื่องนิวเคลียร์ของอินเดีย ตัวอย่างเช่นการเน้นย้ำในมติที่ 1172 ของสหประชาชาติ โดยมีความร่วมมือระหว่างอินเดีย-สหรัฐอเมริกามากขึ้น
ในปีเดียวกันประธานาธิบดีคลินตันมาเยือนอินเดีย นับเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาที่มาเยือนอินเดียนับตั้งแต่ปี 1978 ซึ่งจีนมองว่าการมาเยือนอินเดียของนายคลินตันเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของสหรัฐอเมริกาที่จะดึงอินเดียเข้ามาอยู่ในแบบแผนการปิดล้อมจีน
ความร่วมมือทางทหารระหว่างอินเดียกับสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาขึ้น[10] อย่างต่อเนื่อง โดยมีความรวดเร็วและก้าวหน้าเป็นพิเศษในสมัยการบริหารของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W.Bush) ซึ่งสร้างความยุ่งยากใจให้กับจีน นักวิเคราะห์ชาวจีนมองความสัมพันธ์ดังกล่าวว่าเป็นความพยายามของสหรัฐอเมริกาในการดึงจีนเข้ามาอยู่ในตารางการปิดล้อมจีน จีนจึงขัดขวางการดำเนินงานเพื่อปิดล้อมจีนเหล่านั้นเสียด้วยการปิดล้อมอินเดีย[11]
ปี 2000 จีนยุติการรณรงค์เพื่อลงโทษอินเดียและเริ่มกระบวนการลดหย่อนอย่างต่อเนื่องอย่างเงียบๆ เพื่อให้อินเดียออกห่างจากการรวมตัวกับสหรัฐอเมริกา พร้อมกับตกลงที่จะมีการสานเสวนาด้านยุทธศาสตร์กับอินเดีย โดยจีนได้กล่าวถึงประเด็นนิวเคลียร์กับอินเดียเป็นครั้งแรก ด้วยพื้นฐานที่ว่าอินเดียมิใช่รัฐอาวุธนิวเคลียร์ตามที่ได้มีการยอมรับกันในสนธิสัญญา NPT
นอกจากนี้จีนยังรับฟังความกังวลใจของอินเดียว่าด้วยการผลิตจรวดของจีนและความร่วมมือด้านนิวเคลียร์ของจีนกับปากีสถาน แต่เดิมมีการย้ำกันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นกิจการของสองประเทศ ไม่ใช่หัวข้อที่จะมาพูดคุยกัน ทั้งนี้อินเดียก็พยายามที่จะลดความขัดแย้งกับจีนให้เหลือน้อยลง โดยอินเดียจะไม่กดดันในประเด็นนี้
เดือนมกราคมปี 2005 จีนและอินเดียได้ร่างการสานเสวนาทางยุทธศาสตร์ขึ้นมา และในเดือนเมษายนปีเดียวกัน ก็ได้ประกาศให้มีการร่างความร่วมมือเพื่อสันติภาพและความรุ่งเรืองของสองประเทศขึ้นมาเช่นกัน
ระหว่างปี 2003 ถึง 2005 จีนให้การยอมรับว่าซิกขิม (Sikkim) เป็นรัฐหนึ่งของอินเดีย ด้วยเหตุนี้จึงยกเลิกนโยบายไม่ยอมรับการรวมซิกขิมเป็นของอินเดีย ซึ่งมีมานาน 30 ปีลง ยิ่งไปกว่านั้นจีนยังยอมให้อินเดียเป็นผู้สังเกตการณ์องค์การความร่วมมือชั่งไห่ (Shanghai Cooperation Organization) หรือ SCO อีกด้วย
การแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ทางทหารระหว่างอินเดียกับจีนและการฝึกทางเรือที่มุ่งไปที่ปฏิบัติการการช่วยเหลือทางทะเลนั้นมีชื่อเรียกว่ามิตรภาพ จีน-อินเดีย 2005 (Sino-Indian Friendship-2005) ได้จัดขึ้นที่มหาสมุทรอินเดีย ในการเยือนอินเดียเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2006 ของประธานาธิบดีหูจินเทา (Hu Jintao) นายชีพชังการ์ เมนอน (Shivshankar Menon) รัฐมนตรีต่างประเทศของอินเดียในเวลานั้น กล่าวว่าจีนจะไม่ปิดกั้นการเข้าเป็นสมาชิกถาวรของอินเดียตามที่อินเดียมีความใฝ่ฝันอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้อินเดียจึงอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบอันเนื่องมาจากการถูกห้อมล้อมโดยจีนและสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้อินเดียกลายเป็นรัฐที่มีความมั่นคงตามระบอบหลังสงครามเย็นระหว่างประเทศ
ความไม่ไว้วางใจกันอย่างลึกซึ้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน การขึ้นมามีอำนาจและขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกอย่างรวดเร็วของอินเดีย ทำให้ทั้งจีนและสหรัฐอเมริกามีความอ่อนไหวต่อการเข้าไปร่วมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดของอินเดีย แน่ละการทูตของอินเดียจำเป็นต้องมีทักษะที่จะบ่งชี้ถึงผลประโยชน์ของอินเดียจากนั้นจึงหาหนทางทางการทูตทำให้ผลประโยชน์นั้นมีประสิทธิภาพในบริบทของสามเหลี่ยมใหม่นี้ต่อไป
[1] ในสภาพแวดล้อมใหม่นี้จีนหวาดกลัวการถูกโดดเดี่ยว เนื่องจากอิทธิพลที่กำลังแผ่ขยายไปสู่ประเทศต่างๆ และการจัดระเบียบโลกใหม่ของสหรัฐอมริกา อาจทำให้จีนต้องถูกครอบงำโดยสหรัฐอเมริกาได้ ในขณะเดียวกันการปรากฎตัวของการเมืองตามแนวทางอิสลามอาจส่งผลกระทบต่อจีน เนื่องจากจำนวนประชากรที่เป็นมุสลิมมีจำนวนมากในจีนนั่นเอง
[2] ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม เมื่อทั้งสองประเทศได้เปิดกงสุลใหญ่ขึ้นอีกครั้งหนึ่งทั้งที่มุมใบหรือบอมเบย์และเซียงไห้ ภายหลังที่ยุติไป 29 ปี รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือซึ่งกันและกันในการค้นคว้าด้านอวกาศและเทคโนโลยี และแถลงการณ์ร่วม (The Joint Communique) ซึ่งมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับกิจกรรมการต่อต้านจีนในอินเดียโดยกลุ่มชาวทิเบต
[3] จีนตอบโต้อินเดียโดยร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ประณามอินเดียในการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ แต่ในเวลาต่อมาเมื่อปากีสถานได้ทำการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ จีนได้กล่าวตำหนิอินเดียว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่บีบให้ปากีสถานต้องทำการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ต่อมาในเดือนมิถุนายน ปี 1998 จีนได้จัดการประชุมหลายฝ่ายขึ้นประกอบด้วยอินเดีย ปากีสถาน สหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย เพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาแคชมีร (Kashmir) อย่างไรก็ตามจีนได้พยายามทำให้ประเด็นแคว้นแคชมีรกลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศเพื่อที่จะให้เป็นข้อกดดันต่ออินเดีย
[4] ปัจจุบันพรรคภารัตติยะชะนะตะประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งครั้งหลังสุด (2014) และขึ้นมาเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี
[5] กล่าวกันว่าจดหมายนี้เขียนโดยนายบราเจสห์ มิสรา
[6] จดหมายนี้รั่วไหลออกมาจากฝ่ายสหรัฐอเมริกาเอง
[7] ดูรายละเอียดของเรื่องนี้ใน Nuclear Anxiety : India’s Letter to Clinton on the Nuclear Testing, New York Times, 13 May 1988.
[8] แถลงการณ์ร่วมเดือนมิถุนายนปี 1998 เรียกร้องให้อินเดียยุติการทดลองอาวุธนิวเคลียร์และลงนามในสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) และยอมรับสถานะของรัฐที่ปราศจากอาวุธนิวเคลียร์ภายใต้สนธิสัญญาดังกล่าวพร้อมกับมีข้อเสนอให้จีนและสหรัฐอเมริกาทำงานร่วมกันในเอเชียใต้เพื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการด้านความมั่นคงของภูมิภาค
[9] Strobe Talbott, Engaging India : Diplomacy, Democracy and the Bomb, New York : Penguin Books : Vikas Publication, 2004
[10] John W.Garver, Evolution of India’s china Policy, in Sumit Ganguly , (ed) India’s Foreign Policy, Oxford : Oxford University Press, 2013, p.191.
[11] Ibid., p.101