ชนะใจด้วยไมตรี
นิตยสาร IMAGE กันยายน ๒๕๕๘
ชนะใจด้วยไมตรี
ภาวัน
เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล กับ ยวาหะลาล เนห์รู ไม่เพียงอยู่คนละทวีปเท่านั้น หากยังอยู่คนละฝั่งทางการเมืองอีกด้วย เชอร์ชิลเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ในขณะที่เนห์รูเป็นผู้นำขบวนการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ อันดับสองรองจากคานธี เชอร์ชิลนั้นไม่เคยปิดบังอคติที่มีต่อคนอินเดีย “ผมเกลียดคนอินเดีย” เขาเคยกล่าวอย่างเปิดเผย “พวกเขาเป็นพวกป่าเถื่อน ที่นับถือศาสนาป่าเถื่อน” ตลอดเวลาที่มีอำนาจเขาใช้นโยบายแข็งกร้าวต่อขบวนการเรียกร้องเอกราชในอินเดีย โดยไม่ยอมประนีประนอมด้วยเลย ผลก็คือผู้นำชาวอินเดียถูกจับกุมคุมขังครั้งแล้วครั้งเล่า รวมทั้งคานธีและเนห์รู จำเพาะคนหลังนั้นการติดคุกครั้งที่ ๙ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของเขากินเวลาเกือบสามปี
อินเดียได้เอกราชก็ต่อเมื่อเชอร์ชิลพ้นจากอำนาจแล้ว แต่ขณะที่เป็นผู้นำฝ่ายค้าน เขาก็ยังต่อต้านอินเดียทุกวิถีทาง รวมทั้งสนับสนุนปากีสถาน ซึ่งแยกมาจากอินเดียและกลายเป็นศัตรูสำคัญของอินเดีย อย่างไรก็ตามเนห์รูซึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย กลับมีท่าทีเป็นมิตรกับอังกฤษ และในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า แม้กระทั่งกับเชอร์ชิล เขาก็มีความเป็นมิตรให้ด้วยเช่นกัน
ในปี ๒๔๙๖ เนห์รูได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ ๒ ณ พระราชวังบัคกิงแฮม เมื่อเสร็จพิธี ขณะที่เนห์รูกำลังจะกลับ ก็เหลือบเห็นเชอร์ชิล ซึ่งตอนนั้นกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง กำลังยืนรอรถ เขาจึงตรงเข้าไปทักทายเชอร์ชิลราวกับคนคุ้นเคย ทั้ง ๆ ที่นั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกัน
เชอร์ชิลประทับใจในเหตุการณ์ครั้งนั้นมาก ในเวลาต่อมาเขาได้พูดกับอินทิรา คานธี ลูกสาวของเนห์รูว่า “ผมไม่คาดคิดว่าเขาจะทำเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่ถูกผมจับเข้าคุกหลายครั้งแต่เขากลับเอาชนะความเกลียดชังได้ เขาปฏิบัติกับผมโดยไม่มีเค้าของความเจ็บแค้นเลย”
เหตุการณ์เพียงแค่ไม่กี่นาทีครั้งนั้นไม่เพียงเปลี่ยนทัศนคติของเขาต่อเนห์รู หากยังทำให้ท่าทีของเขาต่ออินเดียเปลี่ยนไปด้วย เขาเคยพูดกับคนสนิทไม่นานหลังจากนั้นว่า “หากผมย้อนกลับไปได้ในปี ๒๔๘๘ (ปีสุดท้ายในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกของเขาและสองปีก่อนที่อินเดียจะได้รับเอกราช) ผมจะเสนอให้มีรัฐสภาในอินเดีย” เขายอมรับว่าเสียใจที่ไม่ได้ผูกมิตรกับชาวอินเดียเลย แค่ติดต่อสัมพันธ์กันแต่ในเรื่องการเมืองเท่านั้น
“แรงมาก็แรงไป” คือวิธีการที่หลายคนนิยม เพราะเห็นว่าถูกต้องเหมาะสมแล้ว เขากระทำกับเราอย่างไร ก็ต้องตอบโต้กลับไปให้สาสมหรือหนักกว่า เพราะเชื่อว่าเราจะชนะเขาได้ก็ด้วยวิธีนี้เท่านั้น แต่ที่จริงแล้วน้ำใจไมตรีหรือความเป็นมิตรต่างหากที่นำมาซึ่งชัยชนะ เป็นชัยชนะอันยั่งยืนเพราะเป็นการชนะใจเขา แม้กระทั่งคนซึ่งมีจิตใจแข็งแกร่งอย่างเชอร์ชิล ซึ่งสามารถนำอังกฤษชนะสงคราม และสยบฮิตเลอร์ได้ในท้ายที่สุด ก็ยังแพ้ใจของเนห์รู ซึ่งไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าหยิบยื่นไมตรีให้โดยไม่ถือโทษโกรธเคืองในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
ใจที่ไร้ความโกรธเกลียด มีแต่ความเป็นมิตรนั้น คือใจที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง เพราะเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง สามารถโน้มน้าวใจที่แข็งกระด้าง กราดเกรี้ยว หวาดระแวง ให้กลายเป็นใจที่อ่อนโยน นุ่มนวล และกลายเป็นมิตรได้ จะว่าไปแล้วในส่วนลึกของใจทุกดวงที่แข็งกระด้าง ก็คือความรักและความอ่อนโยน ที่ยังหลับใหลอยู่ แต่มันจะตื่นขึ้นมาทันทีเมื่อได้สัมผัสกระแสแห่งความเป็นมิตรจากผู้อื่น ความรักและความอ่อนโยนที่ถูกปลุกขึ้นมานี้หากมีพลังมากพอก็สามารถเอาชนะความแข็งกระด้าง และเปลี่ยนใจของผู้นั้น ให้หันมาเป็นมิตรกับผู้อื่น และทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามได้
อย่างไรก็ตามก่อนที่คิดจะชนะใจผู้อื่น อย่างแรกที่ต้องทำคือชนะใจตนเอง นั่นคือ รู้จักให้อภัย ไม่ปล่อยใจไปตามอำนาจของความโกรธเกลียด หรือผูกใจเจ็บไม่เลิกรา