jos55 instaslot88 Pusat Togel Online ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (26) - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (26)

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (26)

ผู้เขียน อ.อดุลย์ มานะจิตต์

ถูกทำลายลงอย่างราบคาบในเดือนกรกฎาคม 587 เชลยศึกกลุ่มที่สองถูก นำตัวไปยังนครบาบิโลน

587-539 ชาวยิวอยู่ภายใต้การปกครองของบาบิโลน

ยูดากลายเป็นแผ่นดินที่ถูกทิ้งร้างโดยปราศจากผู้ปกครอง ถึงกระ นั้นภายหลังจากที่กีดาเลียฮ์เจ้าเมืองของจังหวัดนั้นถูกสังหารแล้ว พวกชาล เดียนจึงจัดการเนรเทศอีกเป็นครั้งที่สาม (582) ณ นครบาบิโลน ชาวยิว ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เป็นเรื่องแปลกที่จะกล่าวว่าบรรดาผู้ที่ตกเป็น เชลยนั้น กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่สร้างสรรค์อย่างดีที่สุดในชีวิตความเป็น อยู่ในทางศาสนาและในทางวิชาการของชาวอิสราเอล คำเทศนาของอีซา เกลและอิซซาอะฮ์ตอนสอง มีการเขียนรวบรวมเป็นรูปเล่มขึ้นในช่วงนี้ ประวัติศาสตร์แบบดิวธีโรโนมี ซึ่งมีการรวบรวมขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยของ โจชิอะฮ์ โดยมีการแต่งเติมและทำให้ทันต่อเหตุการณ์ คัมภีร์ฉบับที่เรียก กันว่า ‘Priestly Edition’ ของทั้งหมดห้าเล่ม (Penta Teuch) ได้มีการ จัดเตรียมกันขึ้นในระหว่างช่วงของการลี้ภัยเช่นกัน

539-532 ยูดาภายใต้การปกครองของเปอร์เซีย

อาณาจักรบาบิโลนพ่ายแพ้ต่อกษัตริย์ไซรัสมหาราช ในปี 539 กษัตริย์แห่งเปอร์เซียจึงปลดปล่อยชาวยิว บรรดาผู้ที่ปรารถนาจะกลับคืน สู่ภูเขา ไซออน มีเป็นจำนวนมาก และเดินทางกลับไปในศตวรรษที่ 6 และ 5 ในระหว่างปี 520-515 ได้มีการสร้างโบสถ์วิหารขึ้นมาใหม่ด้วยกับการเร่ง รัดของฮักไกผู้เป็นศาสดา นีเฮเมฮ์เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกษัตริย์อัรตาเชิร เซสที่หนึ่ง (ลองกิมานุส 464-424) ขอลาพักจากราชการเพื่อมาช่วยเหลือ ชุมชนชาวเยรูซาเล็ม ในปี 445 เขากลายเป็นเจ้าเมืองเยรูซาเล็ม เขาจัดการ

ก่อสร้างกำแพงเมืองโบราณขึ้นมาใหม่ ในปี 439 สามารถเอาชนะการต่อต้านของซานบัลลัตเจ้าเมืองแห่งชามาเรีย และโตบิอะฮ์ผู้เป็นเจ้าเมืองแห่งอัม มอน ภารกิจของเอซรา ยังขัดแย้งกันอยู่ว่าเป็นช่วงใด จากหลักฐานที่ชัดเจน เขาเป็นบุคคลร่วมสมัยโดยเป็นรุ่นน้องของนีเฮเมย์ และบางทีภารกิจของเขา อาจกำหนดให้เป็นปี 438 เห็นจะตรงที่สุด เอซราจัดตั้งสถาบันเพื่อการ ปฏิรูปแนวความเชื่อและกฎหมายขึ้น ด้วยกับผลลัพธ์ต่างๆ ที่มีอย่างกว้าง ไกลต่อการพัฒนาศาสนายูดายในช่วงหลังจากการลี้ภัย

332 ปาเลสไตน์ ถูกอเล็กซานเดอร์มหาราชปกครอง 64 เยรูซาเล็ม ถูกจักรพรรดิปอมเปยึดครอง จนถึงการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ ในช่วงศตวรรษที่หนึ่ง แห่งคริสต์สมภพ

จากการที่ได้พรรณามาอย่างยืดยาวเพื่อให้ครอบคลุมประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชาวอิสราเอล นับตั้งแต่การเสด็จสวรรคตของกษัตริย์สุลัย มานในดินแดนปาเลสไตน์ และในวาระที่ต้องลี้ภัยอยู่ ณ ดินแดนบาบิโลน จนถึงวาระสุดท้ายที่ถูกจักรวรรดิโรมันเข้ายึดครอง รวมเวลาได้ทั้งสิ้นเกือบ หนึ่งสหัสวรรษ

ดังนั้นนับตั้งแต่ยูซูอะ บินนูน ซึ่งเป็นผู้นำของชาวอิสราเอลท่านแรก ที่กลับคืนสู่ดินแดนพันธะสัญญา จนถึงการถือกำเนิดของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นศาสดาองค์สุดท้ายของวงศ์วานอิสรออีล พระเจ้าทรงส่งศาสดามาให้ กับชาวยิว ณ ดินแดนปาเลสไตน์เป็นจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 307 คน ผู้ซึ่ง นามของท่านทั้งหมดปรากฏอยู่ในคัมภีร์เตารอตห ซาบูร และอินญีล หาก จะพูดอย่างชาวบ้านๆ ก็คือชาวยิวนั้นใช้ศาสดาเปลืองที่สุด ซึ่งเฉลี่ยในระยะ เวลาหนึ่งพันปี จะได้ 3 ปีต่อ 1 คน ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้พวกยิวได้เผย แผ่ศาสนาของพระเจ้าออกไปในดินแดนต่างๆ แต่ในทางกลับกัน พวกเขากลับหลงใหลอยู่กับอำนาจทางราชอาณาจักร มิพักที่บรรดาศาสดาของ เจ้าจะพร่ำเตือนพวกเขาให้สวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าองค์เดียวอย่างแท้จริง พระ แต่พวกเขาก็หาฟังไม่ ! คนถูกฆ่าสังหารเสีย ศาสดาบางคนถูกพวกเขาเนรเทศและอีกหลาย ดังนั้นชาวยิวจึงทำสงครามระหว่างกันเองและต้องทำ ดงความกับจักรวรรดิอื่นๆ ของพวกกราบไหว้เทวรูปอีกด้วย ในที่สุดราช อาณาจักรของชาวยิวจึงประสบกับความอ่อนแอและล่มสลายในที่สุด

การรบราฆ่าฟันกันและการเป็นศัตรูต่อกันของชาวอิสราเอลเริ่มต้น ขึ้นทันทีที่ศาสดาสุลัยมานเสียชีวิต บรรดาบุตรหลานของพวกเขาในยุค หลังๆ ต่างกล่าวประณามว่าการกระทำของบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นการ กระทำบาปที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งถือเป็นการยอมรับตามหลักของตรรกะว่า ชาวยิวในยุคสมัยหลังๆ นี้ล้วนแต่เป็นผู้สืบตระกูลมาจากบรรพบุรุษของพวก ตนที่กระทำบาปใหญ่ทั้งสิ้น

การที่ผู้รู้และนักประวัติศาสตร์ชาวยิวในยุคหลังๆ ต้องกล่าวคำพูด นี้ออกมาก็เพราะว่า พวกเขาต้องการจะประกาศให้ชาวโลกที่ไม่ใช่ยิวเข้าใจ ว่า พวกยิวในสมัยนี้เป็นผู้พ้นมลทินอันเลวร้ายที่บรรพบุรุษส่วนหนึ่งของ พวกเขาได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้ ตลอดหนึ่งพันปี ณ ดินแดนปาเลสไตน์ ทั้ง นี้ก็เพื่อเป็นการล้างมลทินตนเองเพื่อเอาตัวรอด ซึ่งถือเป็นการหักหลังต่อ บรรพบุรุษของตน

ที่จำเป็นต้องทำเรื่องตรงนี้ให้เป็นที่กระจ่าง ก็เพราะว่าตามความเป็น จริงที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัล กุรอานนั้น พระเจ้าทรงมีบัญชามายังศาสดา ของพระองค์ให้เรียกร้องมายังพวกเขาด้วยกับโองการที่ว่า “ยาบะนีอิสรอ อีล” “โอ้บุตรหลานของอิสรออีลเอ๋ย” ซึ่งหมายความว่า บรรดาศาสดาที่สืบเชื้อสายมาจากศาสดายะฮ์กูบหรืออิสรออีลนั้น เป็นผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ถูกส่งลงมาท่ามกลางประชาชาติอิสรออีล เพื่อคอยอบรมสั่งสอนและกล่าวเตือนพวกเขาด้วยกับคัมภีร์ต่างๆ ของพระเจ้า ถึงความโปรดปรานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าไม่เคยประทานมาให้กับประชาชาติใดมาก่อน ก็คือคัมภีร์ที่มี นามปรากฏอยู่ในอัล กุรอานถึงสามเล่มคือ เตารอต ซาบูรและอินญีล และ ทรงประทานสาสนทูต ศาสดาและนะกีบมายังพวกเขานับเป็นจำนวนหลาย ร้อยท่าน ในช่วงระยะสั้นๆเพียงหนึ่งพันกว่าปีเท่านั้น และยังมอบแผ่นดิน อันศักดิ์สิทธิ์คือ ดินแดนปาเลสไตน์ที่มีนครเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงให้อีกด้วย

พวกยิวเองไม่ใช่หรือที่พวกเขาได้ทำลายล้างคัมภีร์ทั้งสามเล่มของ พระเจ้า ด้วยกับการบิดเบือนความหมาย และสลับสับเปลี่ยนคำต่างๆ ให้ ผิดไปจากที่ของมัน จนถึงให้ความจริงแท้ของคัมภีร์เตาเราะฮ์สูญหายไป พวกเขาเริ่มเขียนคัมภีร์ด้วยมือของพวกเขาเอง เริ่มต้นเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช เรียกว่า ทัลมูด โดยแบ่งเป็น 2 เล่ม คือ มิชนะฮ์ และ กีมาระ ส่วนคัมภีร์อินญีลที่พระเจ้าทรงประทานมาให้กับศาสดาอีชา ผู้สืบ เชื้อสายโดยตรงมาจากศาสดาดาวูด พวกยิวต่างพากันประณามหยาม เหยียดท่าน และปฏิเสธคัมภีร์อินญีลที่ท่านนำมาให้กับพวกยิวโดยเฉพาะ มิหนำซ้ำยังวางแผนการร้ายที่จะฆ่าสังหารท่านอีกด้วย

ความจริงนี้คือเครื่องพิสูจน์อันชัดแจ้งว่า พวกเขาคือลูกหลานของ พวกยิวที่ก่อกบฏกับบรรดาศาสด บรรดากษัตริย์ และบรรดาศาสนทูตที่ สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากศาสดายะฮ์กูบผู้เป็นบรรพบุรุษของชาวอิสรอ อีล นั่นเอง

ดังนั้นจึงสรุป ณ ตรงนี้ได้ว่า ประชาชาติอิสราเอลที่แตกออกเป็น 71 จำพวกนั้น มีจำพวกเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้คนของบรรดาศาสดาหรือเป็น มุอ์มีนีน อย่างแท้จริง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นชาวสวรรค์ ส่วนที่เหลืออีก 70

จำพวกล้วนตกเป็นชาวนรกทั้งสิ้นบุคคลกลุ่มแรกที่เป็นฝ่ายอธรรมและเป็นพันธมิตรกับพญามารก็คือเจโรบ่วมที่หนึ่ง ซึ่งในสมัยของกษัตริย์สุไลมานนั้น เขาได้คิดวางแผนการร้ายจึงถูกเนรเทศไปอยู่ที่อียิปต์ การสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์สุไลมาน เหนือ ตัวเขาและพญามารต่างรอคอยวันเวลา จึงกลับมายึดแผ่นดินอิสราเอลตอน สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์เพื่อการล้มล้างกษัตริย์รีโฮบ่วมแห่ง อาณาจักรยูดาทางตอนใต้ ผู้เป็นราชบุตรของกษัตริย์โสโลมอน ซึ่งคงความ เข้มงวดที่จะให้ชาวอิสราเอลยึดมั่นอยู่ในหลักคำสอนของพระเจ้าที่ปรากฏ อยู่ในคัมภีร์เตาเราะฮ์และคัมภีร์ซาบูร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์ทรงเป็น ผู้ครอบครองมรดกซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติ โบสถ์ วิหาร และพระราชวังอัน วิจิตรตระการตาของพระราชบิดาของพระองค์ ซึ่งเจโรบ่วมที่หนึ่งหมายจะ ยกทัพมายึดไว้ สงครามกลางเมืองที่ล้างเลือดของชาวอิสราเอลด้วยกันเอง จึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในแผ่นดินปาเลสไตน์ ดังได้กล่าวถึงแล้ว

ในที่สุดพวกยิวนั่นเองที่ได้หยิบยื่นนครเยรูซาเล็มให้กับผู้ปกครอง ชาวโรมันหรือราชวงศ์เฮรอด ผู้เป็นบุตรหลานของจักรพรรดิปอมเป เพื่อ แลกเปลี่ยนกับอำนาจอันโสมมที่ฝ่ายเจ้าเมืองมอบให้ ตามคำบัญชาของ พญามาร

นครเยรูซาเล็ม จึงตกอยู่ภายใต้การยึดครองของจักรวรรดิโรมัน ผู้นับถือศาสนาของการกราบไหว้บูชาเทวรูปด้วยประการฉะนี้

เมื่อยึดนครเยรูซาเล็มได้ตามแผนการที่พญามารและลูกหลานของ มันได้วางไว้อย่างแยบยลแล้ว ในขณะนั้นดวงตาของพวกมันจึงมุ่งมองไป ยังบัยตุลลอฮ์หรือบ้านของพระเจ้าที่ศาสดาอิบรอฮีมและศาสดาอิสมาอีลได้ สถาปนาขึ้นไว้ ณ นครมักกะฮ์ อันเป็นศูนย์กลางของการเคารพสักการะ ต่อพระเจ้าองค์เดียวอย่างแท้จริง

พญามารจะเข้ายึดครองได้หรือไม่อย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามแผน การยึดครองโลกและสถาปนาอาณาจักรแห่งมารร้ายขึ้น จึงเป็นการเหมาะ สมที่จะนำไปกล่าวไว้ในบทต่อไป.

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *