“ทรัมพ์”-”ทักษิณ” : ผู้ก่อการร้ายทางการเมือง ?

สบาย สบาย สไตล์เกษม
เกษม อัชฌาสัย
“ทรัมพ์”-”ทักษิณ” : ผู้ก่อการร้ายทางการเมือง ?
วันนี้ผมใคร่เสนอเรื่องการรั กษามารยาททางการเมืองมาให้อ่ านครับ
ว่าในวงการสากลโดยปกติแล้ วเขากระทำกันและไม่กระทำกันอย่ างไรโดยเฉพาะในระบอบประชาธิปไตย
เรื่องมารยาทนี้ ตามปกติแล้วก็คือเรื่ องของประเพณีหรือธรรมเนียม ซึ่งก็คือวัฒนธรรมนั่นแหละครับ
กล่าวคือ เป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติหรือไม่ ปฏิบัติ ยกตัวอย่าง
ง่ายๆ เช่นร่วมวงกินข้าวแล้วสั่งน้ำมู กดังๆ ไม่กระมิดกระเมี้ยน เป็นต้น
แม้ไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็น่ารังเกียจ ผิดมายาทอย่างแรง อย่าไปทำเข้า
ทีนี้มาว่ากันถึงการผิดผิ ดธรรมเนียม ผิดประเพณีหรือผิ ดมารยาทในระบอบประชาธิปไตย
กรณี“โดนัลด์ ทรัมพ์”อดีตประธานาธิบดีสหรัฐผู้ ลงสมัครชิงตำแหน่งอีกครั้ งในฐานะตัวแทนพรรครีพับลิกัน หาเสียงแข่งกับคู่ต่อสู้สตรีคื อ “กมลา แฮรริส”รองประธานาธิบดีปัจจุบั น ในนามพรรคเดโมแครตนั้น
ปรากฏว่า “ทรัมพ์”พยายามใช้วิธี สกปรกทำลายความน่าเชื่อถือของ “แฮร์ริส”อย่างน่าเกลียดครับ
ผมเคยเขียนมาครั้งหนึ่งแล้วไม่ นานนี้ว่า“ทรัมพ์”ป้ายสี “แฮร์ริ ส”ในสมัยเป็นอัยการรัฐแคลิฟอร์ เนียนั้น ว่าน่ามีอะไรๆ กับผู้ว่าการรัฐ
แม้ไม่ระบุตรงๆ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้ องร้อง ซึ่งสร้างความฮือฮามาก ในเรื่องคาวๆ เช่นนี้ ว่าจริงหรือไม่จริง
เมื่อมีนักข่าวไปถาม “ทรัมพ์”ว่ าทำไมจึงทำเช่นนั้น ไม่น่าจะทำกับคู่แข่งซึ่งเป็ นสตรี
“ทรัมพ์” ก็ตอบหน้าด้านๆ เลยว่า“นี่คือกลยุทธ์ในการหาเสี ยงของผม”
กลยุทธ์ที่ว่านั้นเรียกอย่างหรู ว่า insult-driven politics ซึ่งก็หมายถึงการใช้วิ ธีเยาะเย้ยถากถาง โกหกมดเท็จ นินทาว่าร้ายในทางการเมืองฯลฯ อันเป็นกลยุทธ์เดิมๆ เถื่อนๆ
กลยุทธ์ที่ “ทรัมพ์”มั่นใจว่ าการที่เขาเอาชนะ “ฮิลลารี คลินตัน”ในการเลือกตั้งครั้งปี ๒๐๑๖ได้นั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะใช้กลยุทธ์นี้
ดังนั้น เขาจึงนำมาใช้ซ้ำอีก แม้คณะรณรงค์หาเสียงของเขาจะเตื อนไม่ให้ใช้ก็ตาม
แต่ “ทรัมพ์”ก็ไม่ฟังเสียงเตื อนนั้นเลย
ความทะลึ่งในการรณรงค์ล่าสุดส่ อผิดจริยธรรมอีกอย่างก็คือ
“ทรัมพ์”ใช้สุสานแห่งชาติ “อาร์ ลิงตัน”ในรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นที่ฝังศพของวีรบุรุ ษสงคราม เป็นฉากในการหาเสียง
สร้างความรู้สึกสะอิดสะเอียนกั บคนปกติธรรมดาทั่วไปมาก ที่ไม่ให้ความเคารพ ใช้คนตายเป็นเครื่องมือ
จนในที่สุด “จิมมี แม็คเคน”ลูกชายของอดีตวุฒิสมาชิ ก “จอห์น แม็คเคน”ออกมาให้สัมภาษณ์ “ซีเอ็ นเอ็น”ว่า ๆ“ทรัมพ์”ล่วงเกิน “วีรบุรุ ษสงคราม”
ซึ่งในจำนวนนั้น บิดาของเขา ปู่เขาและทวดเขา ล้วนฝังอยู่ที่นั่น ด้วย เขาจึงทนเฉยอยู่ไม่ได้
จากนั้นเขาก็ไปเปลี่ ยนการลงทะเบียนโหวต(จากพรรครีพั บลิกัน)ให้พรรคเดโมแครต
ยืนยันจะเลือก “แฮร์ริส”จะไม่เลื อก “ทรัมพ์”เด็ดขาด ในการโหวตเสียง ๕ พย.๖๗
ยังมีอีกเยอะครับที่ “ทรัมพ์” ทำอะไรๆ ที่พิสดารผิดปกติในทางการเมือง
ทีนี้มาดูบ้านเราบ้าง
ก็คงจะเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า “ทั กษิณ ชินวัตร”นั้นประพฤติตนนอกลู่ นอกทางโดยไม่สนใจมารยาทหรือจริ ยธรรมทางการเมืองแต่อย่างไร
แต่คนที่รักเขาอย่างไม่ลืมหูลื มตา ก็ชมว่าเก่งและฉลาดล้ำลึก โดบไม่รู้ตัวว่าถูกฉุ ดลากไปในทางที่ผิด
“ทักษิณ”ทำเช่นนี้เพราะเชื่อว่ ากฎหมายไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ด้วยการเล่น“บทบาท”นอมินี”(ในที่ นี้หมายถึง”ตัวแทน”)ซึ่งผมจะเรี ยกว่า“ผู้นำทางจิตวิญญาณ”ตัวจริ งของพรรคเพื่อไทย(“แพทองธาร”เป็ นเพียงผู้นำพรรคปกติ)
ทั้งนี้ ตั้งแต่ออกมาปรากฏตัวต่ อสาธารณะครั้งแรกๆแล้ว เพื่อ ประกาศว่า“ทักษิณกลับมาแล้ว”เพื่ อเรียกร้องความนิยมกลับคื นมาและแสดงว่า ไม่มีใครทำอะไรเขาได้
แม้ในขณะที่ยังคงเป็นนักโทษจำคุ ก(“จอมปลอม”)แต่อยู่ระหว่ างการพักโทษ ไปไหนมาไหนก็ได้
ไปจนกระทั่งหาเสียงด้วยการแสดง“วิสัยทัศน์ประเทศไทย”ที่”เครื อเนชั่น”สมคบคิดกันจัดขึ้น หลังจากได้รับพระราชทานอภั ยโทษแล้ว ในฐานะนักโทษชั้นดี
ถามว่าพฤติกรรมกรรมเช่นนี้ผิ ดจริยธรรมทางการเมืองใช่หรือไม่
แม้จะประกาศตัว ไม่ครอบงำพรรคเพื่อไทย แถมท้าทายว่า ถ้าใครจะร้องเรียนว่า“ครอบงำ”ก็ ให้ร้องออกมาดังๆ ที่จริงแล้ว เขา“ครอบครองลูกสาวคือ” แพทองธาร”ต่างหาก
เป็นพฤติกรรมที่ท้าทายและไม่ สนใจในพระเมตตาบารมีเลยจริงๆ

“ทักษิณ”แสดงความกล้าหาญอย่างบ้ าบิ่นและประพฤติตนเช่นนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าตนเองนั้นเป็น“ผู้ ต้องห้ามทางการเมือง”ตามที่ กฎหมายบัญญัติ
แต่ก็มั่นใจว่าไม่มี ใครสามารถเอาผิดเขาได้
และรู้ด้วยว่าผิดมารยาทและจริ ยธรรม แต่กลับสวนทางเสียอย่างนั้น
ตามนิสัยสันดานที่ชอบท้าทาย
ว่าไปแล้วเท่ากับเป็นการทำลายล้ างพัฒนาการประชาธิปไตยที่ช่วยกั นประคับประคองขึ้นมา ซึ่งทำให้ยิ่งจ่อมจมถอยหลั งลงคลองชนิดที่ไม่สามารถยับยั้ งไว้ได้
ในขณะเดียวกันก็ช่วงชิง ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน มาเข้าร่วมกับพรรครัฐบาล โดยไร้มารยาท(แม้ไม่ผิดกฎหมาย)
แล้วส.ส.ที่ว่า ก็ไร้มารยาทตามไปด้วย ไม่แคร์ ไม่สนใจพรรคเดิมที่สังกัด ยินยอมให้ ความโลภและความหลงครอบงำ
เป็นการสร้างพฤติกรรม new normal ให้ดูเป็นปกติ
ซึ่งนับว่าเป็นการผิดจารี ตการเมืองที่ศิวิไลซ์อย่างยิ่ง
เห็นไหมครับทั้ง“ทรัมพ์”และ“ทั กษิณ”ประพฤติผิดปกติอย่างไร
ทำลายคุณธรรมทางการเมืองด้ วยการฉุดลากการเมือง(ที่น่าจะดี ขึ้น) ออกนอกลู่นอกทางแค่ไหน
นับว่า“กร่อนเซาะ”และ“ทำลาย” ประชาธิปไตยไม่น้อยไปกว่ าการทำรัฐประหารเลย
ถามว่าเช่นนี้ เป็นประพฤติกรรมที่น่าจะเข้าข่ าย“ก่อการร้ายทางการเมือง”หรื อไม่
โปรดช่วยพิจารณาและวิพากษ์ ออกมาดังๆ ด้วยครับ
Facebook Comments