อิสลามการเมืองและหลังอิสลามการเมือง (2)
อิสลามการเมืองและหลังอิสลามการเมือง (2)
จรัญ มะลูลีม
อิทธิพลในการแสดงออกของอิสลามทางการเมืองต่อการเมืองเอเชียตะวันตก
แนวคิดวะฮาบีกับการสร้างรัฐซาอุดีอาระเบีย
รัฐซาอุดีอาระเบียแห่งแรกที่ตั้งขึ้นในเมืองนัจญ์ด (Najd) ทางตอนกลางของอาระเบียในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ได้นำหลักคำสอนของศาสนาอิสลามที่นำเสนอโดยชัยค์ มุฮัมมัด บิน อับดุล วาฮ้าบ(Sheikh Muhammad ibn Abdul Wahhab) มาเป็นหลักคำสอนพื้นฐาน ซึ่งเป็นผลมาจากพันธสัญญาระหว่างนักการศาสนากับมุฮัมมัด อิบนุ สะอูด (Muhammad ibn Saud) ผู้ปกครองของเมืองดีรรียะฮ์ (Dirriyah)
ความสัมพันธ์ระหว่างหลักคำสอนและรัฐนี้ยังคงดำเนินต่อไปในศตวรรษที่ 20 เมื่อกษัตริย์อับดุลอาซิสตั้งรัฐที่สามขึ้นในปี 1932 ในฐานะราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย หลักคำสอนดังกล่าวได้มอบความชอบธรรมบนพื้นฐานความศรัทธาที่ไม่เหมือนใครให้กับคำสั่งด้านการปกครอง ทำให้แตกต่างจากผู้อ้างสิทธิ์อำนาจรายอื่น หลักคำสอนของศาสนาอิสลามที่เผยแผ่โดยมุฮัมมัด อิบนุ อับดุล วาฮ้าบ ซึ่งเรียกอย่างหลวมๆ ว่าลัทธิวะฮาบีจึง สะท้อนถึงความเข้าใจในศาสนาอิสลามมากที่สุด
ข้อตกลงในรัฐซาอุดีอาระเบียยุคใหม่คือการที่นักการศาสนาสายวะฮาบีจะได้รับอิทธิพลอย่างมากในด้านการศึกษา ศาลยุติธรรม และประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรม และในทางกลับกัน พวกเขาจะให้การสนับสนุนหลักคำสอนนี้ให้อยู่ในนโยบายทางการเมืองและเศรษฐกิจของผู้ปกครอง
ข้อตกลงใหม่นี้มีการบังคับใช้บนบรรทัดฐานที่เข้มงวดที่สุดของความประพฤติในที่สาธารณะ เช่น เครื่องแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อยสำหรับผู้หญิง การจำกัดการเคลื่อนไหวอย่างเสรีของผู้หญิง (รวมถึงการห้ามผู้หญิงขับรถ) และการแบ่งแยกทางเพศ สิ่งเหล่านี้กลับเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้และเป็นคำสั่งของผู้มีอำนาจปกครอง
ตลอดช่วงเวลาเหล่านี้ ซาอุดีอาระเบียยังเป็นแนวหน้าในการเผยแพร่แนวคิดอิสลามแบบวะฮาบีของตนไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลก ด้วยเงินทุนช่วยเหลือจำนวนมากสำหรับมัสญิด นักการศาสนา การศึกษา ทุนการศึกษา ฯลฯ สิ่งนี้ทำให้ราชอาณาจักรมีฐานการสนับสนุนที่มั่นคงในด้านต่าง ๆ ของประเทศ
ซาอุดีอาระเบียกำลังละทิ้งแนวคิดวะฮาบี?
เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2022 กษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุลอาซิส ผู้ปกครองซาอุดีอาระเบียได้ออกพระราชกฤษฎีกาประกาศให้วันที่ 22 กุมภาพันธ์เป็น “วันก่อตั้งประเทศ” ซึ่งเป็นวันที่บรรพบุรุษของพระองค์ มุฮัมมัด อิบนุ สะอูด ได้ก่อตั้งรัฐซาอุดีอาระเบียแห่งแรกขึ้นมาโดยมีการเผยแพร่โลโก้เพื่อรำลึกถึงวันนี้ด้วย โดยมีสี่สัญลักษณ์ด้วยกันได้แก่ วันที่แสดงถึงการเติบโตและความเอื้ออาทร สภามัจญ์ลิส ซึ่งแสดงถึงความสามัคคีและความปรองดองทางสังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งม้าอาหรับซึ่งเป็นตัวแทนของความกล้าหาญและความแข็งแกร่ง และตลาดที่สะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ความเปิดกว้าง และความหลากหลายโดยไม่มีการกล่าวถึงสัญลักษณ์ทางศาสนาแต่อย่างใด
“วันก่อตั้ง” ดังกล่าวมิได้พูดถึงเรื่องเล่าที่เป็นแกนกลางของรัฐซาอุดีอาระเบีย : ก่อนหน้านั้น เรื่องเล่าระดับชาติได้ยืนยันว่ารัฐซาอุดีอาระเบียแห่งแรกเกิดขึ้นในปี 1744 ตาม “พันธสัญญา” ระหว่างมุฮัมมัด อิบนุ สะอูดและชัยค์ มุฮัมมัด อิบนุ อับดุล วาฮ้าบ
ปัจจุบัน รากฐานของรัฐถูกผลักดันย้อนกลับไปเมื่อ 27 ปีที่แล้ว แม้ว่าความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับลัทธิวะฮาบีจะไม่ถูกแยกออกจากเรื่องเล่าระดับชาติก็ตาม
การปรับเปลี่ยนแนวคิดวะฮาบีนี้เริ่มขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่ปี 2018 เมื่อมกุฎราชกุมารบิน ซัลมานได้เปิดเสรีว่าด้วยบรรทัดฐานทางสังคมในประเทศของพระองค์ด้วยการยกเลิกการแบ่งแยกทางเพศ การคลุมฮิญาบ และจำกัดการขับรถของผู้หญิง และอนุญาตให้มีการฉายภาพยนตร์ การแสดงดนตรี และการสาธารณะอื่นๆ รวมทั้งการแสดงสำหรับผู้เข้าชมที่หลากหลาย
บรรดานักการศาสนา (อุลามาอ์) ซึ่งก่อนหน้านี้บังคับใช้ข้อจำกัดทางสังคมเหล่านี้ในนามของอิสลาม บัดนี้ได้รีบเร่งยืนยันว่าการผ่อนปรนตามพระราชโองการเหล่านี้ไม่ได้ถูกห้ามโดยหลักคำสอนของอิสลาม
แนวทางใหม่ของซาอุดีอาระเบียนี้มีจุดมุ่งหมายอยู่สองประการ ประการแรก เป็นการกระชับสายสัมพันธ์ของมกุฎราชกุมารกับเยาวชนในประเทศของตนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งชื่นชมยินดีในสภาพแวดล้อมเสรีนิยมใหม่ของพวกเขาและเชื่อมโยงกับเจ้าชายของพวกเขา และประการที่สองคือ การถอนความเชื่อออกจากวาทกรรมระดับชาติ
มันช่วยทำให้กลุ่มภราดรภาพมุสลิมยุติการได้รับการตีตรามากขึ้น ดังนั้น รัฐมนตรีกิจการอิสลามของซาอุดีอาระเบียจึงอธิบายว่าบรรทัดฐานใหม่เหล่านี้สะท้อนถึง “ประเทศสายกลางที่ปฏิเสธลัทธิสุดโต่ง”
กลุ่มภราดรภาพมุสลิมอยู่ในอำนาจ
พรรคอิสลามที่เข้าร่วมกับอุดมการณ์ของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมได้รับการอธิบายในตอนแรกว่าเป็นเรื่องราวความสำเร็จของ Arab Springในตูนิเซีย ซึ่งการลุกฮือเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคม 2010 พรรคซึ่งถูกสั่งห้ามในประเทศก่อนหน้านี้และผู้นำพรรคถูกเนรเทศ ได้รับคะแนนนิยมร้อยละ 37 ได้แก่พรรคแนวทางอิสลาม อัลนะฮ์เฏาะฮ์ (Al-Nahdah) ทั้งนี้จากการเลือกตั้งในปี 2011 พรรคสามารถจัดตั้งรัฐบาล ต่อมาในปี 2016 อัล นะฮ์เฎาะฮ์ได้ประกาศตนเป็นพรรคอิสลามประชาธิปไตย ซึ่งเป็นไปตามแนวทางเดียวกันของพรรคคริสเตียนประชาธิปไตยในยุโรป
ในอียิปต์ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ในปลายศตวรรษที่แล้ว ปัญญาชนจากกลุ่มภราดรภาพมุสลิมได้พยายามทำให้องค์กรของตนผสมผสานด้วยแนวคิดสมัยใหม่เกี่ยวกับประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 อำนาจที่แท้จริงในองค์กรตกเป็นของนักวิชาการแบบดั้งเดิม ซึ่งถูกวิพากษ์ว่าเป็นกลุ่มก้อนที่ยังคงยึดมั่นใน “อุดมการณ์ที่ล้าสมัย ตื่นเขิน เข้มงวด และซ้ำซากจำเจ”
ไม่น่าแปลกใจที่แม้จะประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง แต่พวกเขาก็ยังไม่พร้อมสำหรับความท้าทายในการเลือกตั้งที่เสรีและมีธรรมาภิบาลที่เป็นข้อเสนอที่มาจากการลุกฮือในเหตุการณ์อาหรับสปริงในอียิปต์ ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของฮุสนี มุบาร็อกในเดือนกุมภาพันธ์ 2011
หลังการลุกฮือ กลุ่มภราดรภาพมุสลิมได้รับการรับรองและจัดตั้งพรรคเสรีภาพและความยุติธรรม ในฐานะกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีการจัดการดีที่สุดในประเทศ พรรคนี้ได้รับที่นั่งในสภาถึงร้อยละ 42 ในการเลือกตั้งปี 2011-2012 จากนั้นมุฮัมมัด มุรซี (Muhammad Mursi) ผู้สมัครของพรรคก็ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างฉิวเฉียด
อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ในอำนาจในปี 2012-2013 กลุ่มภราดรภาพมุสลิมแสดงการขาดประสบการณ์ทางการเมืองให้เห็นตลอดการดำรงตำแหน่ง ทำให้ตัวเขาถูกตำหนิว่าเป็นหนึ่งในบรรดาข้อบกพร่องที่มีมาอย่างยาวนานของประเทศ
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า 2 รัฐในอ่าว ได้แก่ ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ให้ทุนสนับสนุนการเดินขบวนต่อต้านมุรซีอย่างกว้างขวางทั่วอียิปต์ ซึ่งนำไปสู่การเข้ายึดอำนาจของกองทัพเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2013 โดยนายพลอับเดล ฟัตตะฮ์ อัล-ซิซี อดีตรัฐมนตรีกลาโหม
กองกำลังติดอาวุธแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะไม่สนับสนุนผู้เห็นต่างด้วยการสังหารสมาชิกกลุ่มภราดรภาพมุสลิมหลายร้อยคนที่จัตุรัสเราะบาอะฮ์ (Rabaa Square) ในกรุงไคโรในเดือนสิงหาคม นอกจากนี้ ประชาชนกว่า 60,000 คน ที่ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกกลุ่มภราดรภาพมุสลิมถูกคุมขัง อดีตประธานาธิบดีมุรซีจบชีวิตลงในคุก
ในเดือนมิถุนายน 2019 นาดิร ฮาชิมี (Nader Hashemi) นักวิชาการในโลกมุสลิมที่ได้รับการยอมรับเขียนว่า “การปราบปรามของรัฐในอียิปต์ทุกวันนี้เกินกว่าวันที่มืดมนที่สุดของการปกครองแบบเผด็จการภายใต้ฮุสนี มุบาร็อกเสียอีก”