jos55 instaslot88 Pusat Togel Online "The Best and the Brightest" ต้นกำเนิดสงครามเวียดนาม - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

“The Best and the Brightest” ต้นกำเนิดสงครามเวียดนาม

“The Best and the Brightest” ต้นกำเนิดสงครามเวียดนาม

โรเบิรต โรเซนเบิรก เป็นบุคคลแท้จริงวางดังกิ้น โดนัทส์บนแผนที่ ซีอีโอไม่กี่คนสามารถอ้างความยาวนานที่บ้อบ โรเซนเบิรก สามารถ เขาได้บริหารการให้แฟรนไชส์จากร้าน 100 แห่งและยอดขาย 10 ล้านเหรียญ ไปสู่ร้าน 6,500 แห่ง รวมทั้งบาสกิน ไอครีม ช้อป และยอดขายเกือบ 2.5 พันล้านเหรียญเมื่อ ค.ศ 1998 ภายในปีที่เขาได้เกษียณ บริษัทได้ขายหุ้นแก่สารธารณะเมื่อ ค.ศ 1968 ภายหลังกลายเป็นซีอีโอตอนอายุ 25 ปี ตลอด 21 ปี เขาได้อัตราผลตอบแทนสะสมของนักลงทุน 35% ที่สำคัญกว่านั้นคือ วิถีทางที่โรเบิรตโรเซนเบิรกนำองค์การนั้น เขาได้ร่วมบทเรียนความเป็นผู้นำ และเล่าเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่จำนวนมากภายในหนังสือของเขาไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลอเมริกัน บริษัท หรือแม้แต่ครอบครัว อิทธิพลจากระดับบนมาสู่ระดับล่าง ถ้าความเป็นผู้นำแสดงตัวมันเองความไม่สามารถหรือคุณลักษณะที่ไม่ดี มันไม่สามารถแก้ไขจากระดับกลางหรือระดับล่างได้ มันสามารถแก้ไขได้ด้วยการทดแทน ณ ระดับสูงเท่านั้นข้อแรกมันต้องเริ่มต้น ณ ระดับสูง ผู้นำต้องมีเเรงบันดาลใจ ข้อสองคุณควรจะเชื่อผลิตภัณฑ์ที่คุณนำเสนอ มันให้ประโยชน์ที่แท้จริงและดีกว่าอะไรที่มีอยู่ และภายในกรณีของเรา ทำให้ความฝันของเราเป็นความจริงเรามีจุดมุ่งอย่างเข้มข้นต่อพีสามตัว : การวางแผน บุคคล และผลิตภัณฑ์การวางแผนของเรามุ่งหมายที่จะระบุความเป็นจริง มองโลกเหมือนมันแย้งต่อเราอาจจะมองมันเป็นอย่างไร เราต้องมึความเต็มใจและความสามารถระบุความเป็นจริง ไม่ใช่อะไรที่คุณต้องการเป็น ในแง่ของบุคคล เราได้สอดคล้องบุคคลกับงานที่มอบหมาย และเราพยายามว่าจ้างเเละรักษาบุคคลฉลาดที่สุดที่เราสามารถพบ และเราลุ่มหลงเกี่ยวกับความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของเราดีที่สุด


โรเบิรต โรเซนเบิรก ได้กล่าวว่าเขาไม่ได้ทำมันคนเดียว ผมไม่เคยให้ความประทับใจคุณที่เราเจริญเติบโตเป็นธุรกิจเป็นผลลัพธ์ของผม ถ้าธุรกิจบรรลุความสำเร็จ มันเป็นเพราะว่าเรามีทีมบุคคลที่ยอดเยี่ยม รวมทั้งคณะกรรมการบริษัท ทีมความเป็นผู้นำอาวุโสของเขา บุคคลทุกคนและผู้รับแฟรนไชส์ให้ความคิดใหม่และผลิตภัณฑ์ใหม่เมื่อเขาเพิ่งจะไม่กี่วันจบการศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจฮาร์วาร์ด พ่อของเขามีอายุ 47 ปีและสุขภาพดี ได้ยกให้ลูกชายของเขาอายุ 25 ปีเท่านั้นบริหารบริษัท โรเบิรต โรเซนเบิรก เข้ามาด้วยกลยุทธ์ใหม่ เขาได้ขายธุรกิจอาหารอื่นของพวกเขา เขาได้มุ่งอะไรที่เขามองเป็นเพชรที่ไม่เจียระไน ของดังกิ้น โดนัทส์ ธุรกิจอื่นของบริษัท ร้านอาหารอุตสาหกรรม ร้านอาหาร แพนเค้ก อาหารสำเร็จรูป และเครื่องหยอดเหรียญได้สับสนผู้บริหาร ธุรกิจสามารถตายจากอาหารไม่ย่อย ภายในเพียงแค่ห้าปี เขาได้เพิ่มรายได้ของดังกิ้น โดนัทส์ 800%โรเบิรต โรเซนเบิรก กล่าวว่า ภายในประสบการณ์ของผม เรามีหน้าที่ที่สำคัญสี่อย่างของของซีอีโอที่มีประสิทธิภาพ

1. กลยุทธ์ กลยุทธ์เป็นแผนการควบคุม การกำหนดธุรกิจต้องการเป็นอะไร ธุรกิจต้องการบรรลุความสำเร็จอะไร และขั้นตอนการกระทำเพื่อการบรรลุเป้าหมาย ซีอีโอเป็นผู้รักษาทิศทางกลยุทธ์ของธุรกิจ มันเป็นหน้าที่สำคัญที่จะมั่นใจว่าผู้บริหารอาวุโสไม่ได้ระบุข้อได้เปรียบทางการเเข่งขันเดิมเท่านั้น แต่ตรงที่และอย่างไรข้อได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนต่อไปสามารถถูกค้นพบและสร้างด้วย
2. องค์การ การบริหารการสรรหา การรักษา เเละการจูงใจบุคคล การสร้างองค์การที่สามารถดำเนินการกลยุทธ์ ซีอีโอมีความรับผิดชอบของการสรรหา และการรักษาบุคคลด้วยทักษะเเละความสามารถที่จะดำเนินกลยุทธ์ของบริษัท การได้บุคคลที่เหมาะสมภายในงานที่เหมาะสมผมได้ใช้ตำราของ ปีเตอร์ ดรัคเกอร์ ภายในการบรรจุงาน ปีเตอร์ ดรัคเกอร์ มุ่งเน้นการระบุงานที่มอบหมายอย่างละเอียด แล้วสรรหาและประเมินตามข้อกำหนดของงานที่มอบหมายนั้น แต่มันสำคัญที่จะยืดหยุ่นได้ด้วย
3. การสื่อสาร ความมุ่งหมายคือ การวางผู้มีส่วนได้เสียทุกคนบนเเนวเดียวกันเบื้องหลังการบรรลุกลยุทธ์ บุคคลต้องเข้าใจภารกิจ ซีอีโอมีความรับผิดชอบต่อการวาง แต่มันไม่ได้จบลงที่นี่ เพียงแค่คุณคิดว่าคุณได้สื่อสารอย่างชัดเจนแก่ทุกฝ่าย กลับไปยังถ้อยคำของคุณครั้งแล้วครั้งเล่า บุคคลทุกคนขององค์การของคุณไม่เพียงแต่เข้าใจถ้อยคำของคุณเท่านั้น แต่พวกเขาได้ยอมรับมันด้วย
4 การบริหารวิกฤติ การตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อวิกฤติ เพราะว่าวิกฤติมาสู่ชีวิตของมนุษย์ทุกคน และมาสู่ชีวิตของธุรกิจทุกอย่าง ผมเรียกการบริหารวิกฤติตรงที่ผมได้แยกวิเคราะห์เรื่องที่แสดงเป็นการคุกคามหรือโอกาสต่อธุรกิจการเรียกร้องความสนใจของซีอีโอ คุณต้องตระเตรียมที่จะรับมือวิกฤติเมื่อมันเกิดขึ้นถ้อยคำหล่านี้แขวนจากประตูตู้เย็นของโรเบิรต โรเซนเบิรก “ไม่มีอะไรภายในโลกสามารถแทนที่ความอุตสาหะ ความสามารถจะไม่…. ความอัฉริยะจะไม่…. การศึกษาจะไม่…. ความอุตสาหะและความตั้งใจเท่านั้นสำคัญ” และมันได้นำทางโรเบิรต โรเซนเบิรกต่ออาชีพที่มีพลังเป็นซีอีโอของดังกิ้น โดนัทส์ จาก ค.ศ 1963 จนถึงการเกษียณ ค.ศ 1998 ของเขาอย่างไร คุณลักษณะบางอย่างที่สำคัญต่อความสาเร็จคือ มุมมองที่ชัดเจนของความมุ่งหมายของธุรกิจของคุณควรจะเป็นอะไร ความมุ่งหมายของชีวิต และความสำคัญของความอุตสาหะ

โรเบิรต โรเซนเบิรกดูแลบุคคลอย่างแท้จริง และสร้างสภาพแสดล้อมของครอบครัว
เขาเชื่อว่าการมีทีมการบริหารตรงที่ความไว้วางใจหนาแน่นช่วยรับรองผลลัพธ์ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ งานของซีอีโอต้องช่วยเหลือบุคคลและวางพวกเขาบนตำแหน่งที่บรรลุความสำเร็จ โดยพื้นฐานงานของคุณคือเมื่ออะไรไม่ถูกต้อง คุณรับความรับผิดชอบ 100% เพราะว่าความรับผิดชอบสิ้นสุดที่โต๊ะของคุณ และเมื่ออะไรถูกต้อง คุณร่วมการยกย่องบุคคลทุกคน และร่วมรางวัลการเงินกับบุคคลที่ช่วยสร้างมัน แฮร์รี่ ทรูแมน อดีตประธานาธิบดีอเมริการได้วางป้ายที่มีถ้อยคำว่า “The Buck Stop Here” บนโต๊ะภายในทำเนียบขาว หมายความว่า ความรับผิดชอบต้องหยุดที่นี่ การโยนความรับผิดชอบเป็นคำแสลงของชาวอเมริกันมายาวนานของการโยนความรับผิดชอบบางสิ่งบางอย่างแก่บุคคลอื่นโดยปรกติคือบุคคลต่อไปขึ้นหริอลงตามสายการบังคับบัญชาภายในองค์การบุคคลจำนวนมากได้หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ แต่เขาจะไม่โยนความรับผิดชอบแก่บุคคลอื่น เขาต้องมีความรับผิดชอบส่วนบุคคลต่อวิถีทางของการปกครองประทศครั้งหนึ่งเมื่อเพื่อนสนิทของแแฮรี่ย์ ทรูแมน ได้ไปเยี่ยมโรงเรียดัดสันดานแห่งหนึ่ง เขาได้มองเห็นป้ายโต๊ะที่มีถ้อยคำว่า “The Buck Stop Here” และคิดว่าเฮนรี่ ทรูแมน คงจะชอบป้ายนี้ ดังนั้นเขาได้ขอให้ผู้ควบคุมโรงเรียนดัดสันดานทำป้ายนี้ขึ้นมาอีกป้ายหนึ่ง และได้ถูกส่งไปให้แก่แฮรี่ย์ ทรูแมน ทางไปรษณีย์ในที่สุด ด้านตรงกันข้ามของป้ายนี้ มี่ถ้อยคำว่า “I’ m from Missouri” ผมมาจากมิสซูรี่ รัฐบ้านเกิดของแฮร์รี่ ทรูแมน ป้ายนี้วางไว้บนฐานไม้วอลนัททำไมความเป็นผู้นำต้องมีความรับผิดชอบ การนำองค์การหมายถึงการยอมรับความผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นภายในองค์การไม่ว่าดีหรือเลว ความรับผิดชอบหยุด ณ ที่นี่หมายความว่าผู้นำต้องรับผิดชอบในที่สุดเพื่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวภายในองค์การ เหมือนกับประเพณีทางทะเลเก่าแก่ที่ยึดถือมายาวนานว่า “กัปตันต้องจมกับเรือ” และเรามักจะถึงกัปตันที่จมไปกับเรือไททานิก

 

หนังสือ “The Best and Brightest” เป็นเรื่องราวเล่าโดยนักข่าวเดวิด ฮาลเบอร์สแตม ของต้นกำเนิดสงครามเวียตนาม การย้อนหลังต้นกำเนิดของสงครามเวียตนาม บนพื้นฐานการวิจัยหลายปี หนังสือมุ่งที่นโยบายต่างประเทศที่ผิดพลาดสร้างโดยนักวิชาการและผู้มีสติปัญญาอยู่ภายในรัฐบาลจอห์น เคนเนดี และผลตามมาอย่างวอดวายของนโยบายเหล่านี้ภายในเวียตนาม ชื่อหนังสืออ้างอิง วิซี คิดส์ ของเคนเนดี – ผู้นำของอุตสาหกรรมและนักวิชาการได้ถูกนำเข้ามาสู่รัฐบาล ดังที่เดวิด ฮาลเบอร์สแตมได้ระบุการยืนกรานต่อนโยบายที่ฉลาดต่อต้านสามัญสำนึกภายในเวียตนาม และมักจะขัดเเยังคำแนะนำจากบุคคลของกระทรวงต่างประเทศยูเอส แน่นอนบุคคลหนึ่งของพวกเขาคือ โรเบิรต แมคนามารา เคยเป็นประธานบริษัทของฟอร์ด มอเตอร์ พวกเขาคิดว่าเพียงแค่การประยุกต์ใช้กำลังและความฉลาดพวกเขาสามารถทำอะไรให้เกิดขึ้นบนพื้นดินได้ แต่พวกเขาไม่เข้าใจโรเบิรต แมคนามาราได้ถูกรู้จักกันเป็น สถาปนิค ของนโยบายเวียตนามของอเมริกา โรเบิรต แมคนามารา ได้ถูกแสดงด้วยถ้อยคำ The Best and The Brightest ชื่อเรื่องราวคลาสสิคของหนังสือของเดวิด ฮาลเบอร์สแตม การอ้างถึงกลุ่มที่ปรึกษาล้อมรอบจอห์น เคนเนดี และได้นำอเมริกาเข้าสู่สงครามเวียตนาม
หนังสือของเดวิด ฮาลเบอร์สแตน ได้ให้รายละเอียดการตัดสินใจได้ถูกกระทำภายในรัฐบาลจแห์น เคนเนดีและ ลินดอลจอห์นสันนำไปสู่สงครามอย่างไร การมุ่งที่ช่วงเวลา ค.ศ 1960 ถึง ค.ศ1965 สงครามเวียตนามเป็นจุดความสำคัญของจอห์น เคนเนดี เขาได้ขอความช่วยเหลือจากนักวิชาการและนักธุรกิจ – พวกเขาดีที่สุดเเละฉลาดที่สุดของประเทศ – การสร้างนโยบายที่อเมริกาจะบรรลุความสำเร็จภายในเวียตนาม บุคคลที่นำรัฐบาลอเมริกันได้ถูกพิจารณาเป็น “ดีที่สุดและฉลาดที่สุด” พวกเขาเป็นบุคคลที่มีความสามารถดีที่สุดและความมุ่งหวังดีที่สุด เดวิด ฮาลเบอร์ สแตม กล่าว พวกเขาเต็มไปด้วยความโอหังด้วยจุดสำคัญอย่างหนึ่งของเดวิด ฮาลเบอร์สแตมคือ ความผูกพันต่อเวียตนามด้วยการเพิ่มความพยายามทีละน้อยโดยอเมริกาทำให้ยุ่งยากที่จะถอยกลับ แม้ว่าเมื่อสถานการณ์ภายในเวียตนามได้เสื่อมโทรมลง และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม โรเบิรต แมคนามารา ได้เดินทางบ่อยครั้งไปเวียตนาม และเพียงแค่การประชาสัมพันธ์แวดล้อมการไปเยี่ยมเหล่านี้ถูกใช้แสดงความผูกพันของเราที่ลึกลงไป เขาได้เขียนถึงแมคนามาราเขาเป็นบุคคลแห่งพลัง ก้าวไป ผลักด้น ทำให้สำเร็จ บ้อบ แมคนามาราทำให้สำเร็จบุคคลที่สามารถทำได้ภายในสังคมที่สามารถทำได้ ภายในยุคที่สามารถทำได้เดวิด ฮาลเบอร์สแตมได้เล่ากระบวนการตัดสินใจที่ผิดยอมให้กลุ่มของผู้มีความรู้รู้จักกันเป็น วิซ คิดส์ โดยพื้นฐานทำให้เข้าใจผิดด้านที่สำคัญของการจัดการที่มีประสิทธิภาพสงครามกลางเมืองภายในเวียตนามอย่างไรด้วยการลำดับเหตุการณ์การคิดคล้อยตามกลุ่ม ประวัติศาตร์คลาสสิคของทีมจอห์น เคนเนดี โอหังและยะโส จนอเมริกาติดหล่มภายในเวียตนามในที่สุดเรื่องราวของ วิซ คิดส์ และฟอร์ด มอเตอร์ ปรากฏภายในหนังสือของเดวิด ฮาลเบอร์สแตม ต่อการลุกขึ้นมาของอุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่น และแรงกดดันการแข่งขันต่ออุตสาหกรรมอเมริกา เรื่องราวของวิซ คิดส์ของเดวิด ฮาลเบอร์สแตท ได้เเสดงอย่างชัดเจนของความขัดเเย้งระหว่างบุคคลรถยนต์สมัยเดิม และกลุ่มควบคุมทางสถิติที่รู้น้อยเกี่ยวกับรถยนต์และตำแหน่งของผลิตภัณฑ์นี้ภายในจิตใจชาวอเมริกัน วิซ คิดส์ ดูเหมือนได้แสดงความสนใจน้อยภายในการผลิต แต่ทำงานหนักให้ได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ควบคุมการบริหารของบริษัท เดวิด ฮาลเบอร์สแตนได้สรุปว่า หลายปีต่อมาภายในเวียตนาม นายทหารอเมริกันบางคน รู้ความรักตัวเลขของโรเบิรต แมคนามารา ตบตาตัวเลขอย่างฉลาดและเล่นเกมด้วยจำนวนศพเพื่อที่จะทำให้สงครามทางตันดูเเล้วบรรลุความสำเร็จมากกว่ามันเป็นจริง

เดวิด ฮาลเบอร์สแตม ได้เขียนว่า ปัญหาแท้จริงเป็นความล้มเหลวที่จะพิจาณาใหม่สมมุติฐานของยุค โดยเฉพาะภายในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เราไม่มีความพยายามแท้จริง….. วิเคราะห์ตำแหน่งของโฮชิมินท์ในเเง่ของชาวเวียตนาม และในแง่โลกคอมมิวนิสต์ที่กว้างขึ้น การสร้างอะไรที่โงดินห์เดียมเป็นตัวแทน พิจารณาทฤษฎีโดมิโนข้อเท็จจริงถูกต้องหรือไม่ภายในสภาพแวดล้อมนี้ เหตุผลนิยมของโรเบิรต แมคนามาราไม่ได้เปิดเผยความจริงแต่ได้ปิดกั้นมันไว้ การเสริมแรงความเชื่อมั่นที่ยึดถือก่อนหน้านี้ จนกระทั่งอเมริกาได้ติดอยู่ภายในหล่มของสงครามเวียตนาม เดวิด ฮาลเบอร์สแตม ได้บินไปฉากสนามรบ พูดคุยกับผู้บัญชาการ ณ สนามรบ และได้รายงานการแพ้สงคราม นักข่าวใกล้ชิดกับการรบมากกว่าทีมที่ปรึกษาภายในวอชิงตัน เขาได้อธิบายโรเบิรต แมคนามรากลายเป็นเหยื่อของความสำเร็จของเขาเองอย่างไร

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *