jos55 instaslot88 Pusat Togel Online นิทานในประวัติศาสตร์และพงศาวดารจีน: เส้นทางของการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของรัฐจิ้น(2) - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

นิทานในประวัติศาสตร์และพงศาวดารจีน: เส้นทางของการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของรัฐจิ้น(2)

นิทานในประวัติศาสตร์และพงศาวดารจีน: เส้นทางของการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของรัฐจิ้น(2)

สงครามระหว่างรัฐฉิน(秦)กับรัฐจิ้น(晉)

ในปีที่ 646 ปีก่อนคริสต์ศักราช   รัฐฉินทำสงคราม กับรัฐจิ้น เป็นเวลานานนับปี   สงครามสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของรัฐจิ้น  ในที่นี้จะไม่เล่ารายละเอียดของสงคราม แต่จะกล่าวถึงผลที่สืบเนื่องมาจากสงคราม    กล่าวคือ   จิ้นฮุ่ยกงถูกจับเป็นเชลยศึก และถูกขังในรัฐฉิน เป็นเวลาสามเดือนก่อนจะถูกปล่อยตัว    ฝ่ายรัฐฉินเมื่อจับจิ้นฮุ่ยกงได้  ขุนนางบางคนเสนอให้ฆ่าจิ้นฮุ่ยกง   แต่บางคนเห็นว่าควรปล่อยให้เขากลับไป โดยมีเงื่อนไขว่า จิ้นฮุ่ยกงต้องส่งมอบดินแดนให้รัฐฉินห้าเมืองตามที่ได้รับปากไว้  และให้รัฐจิ้นส่งลูกชายของจิ้นฮุ่ยกง คือ คุณชายหวี่(公子圉)มาอยู่รัฐฉินเพื่อเป็นตัวประกัน ในที่สุดฝฉินมู่กงก็ตัดสินใจปล่อยตัวฮุ่ยกง กลับรัฐจิ้นและให้ส่งลูกชายมารัฐฉินเป็นตัวประกัน  เมื่อคุณชายหวี่มาอยู่ฉิน  ฉินมู่กงได้ดูแลความเป็นของคุณชายหวี่เป็นอย่างดี

 

เมื่อกลับถึงรัฐจิ้น สิ่งแรกที่จิ้นฮุ่ยกงทำคือส่งคนไปฆ่าฉงเอ่อ พี่ชายของเขาซึ่งลี้ภัยอยู่ที่รัฐตี๋(翟国)   ในเวลานั้น ฉงเอ่อได้ลี้ภัยอยู่ที่รัฐตี๋นาน12 ปี และมีภรรยาอยู่ที่นั่นแล้ว    ข้าราชการที่ฮุ่ยกงจะส่งไปฆ่าฉงเอ่อกล่าวกับฮุ่ยกงว่า การไปฆ่าฉงเอ่อที่อยู่ต่างรัฐนั้นไม่ควรทำอย่างเปิดเผย ควรจ้างผู้อื่นไปฆ่าอย่างลับๆ ซึ่งฮุ่ยกงก็เห็นด้วย

แต่ข่าวการจ้างคนไปลอบฆ่าฉงเอ่อนี้  เล็ดลอดออกไปถึงฉงเอ่อก่อน เขาจึงรีบพาผู้ติดตามเดินทางออกจากรัฐตี๋  โดยไม่ทันได้บอกกล่าวผู้ครองรัฐตี๋ และไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆจากรัฐตี๋   ยิ่งไปกว่านั้น  ลูกน้องฉงเอ่อชื่อโถวซวี(头须)ที่ได้รับมอบหมาให้ดูแลทรัพย์สมบัติของเขาและผู้ติดตาม ยังได้ชิงเอาทรัพย์สมบัติที่เหลืออยู่ทั้งหมด  แล้วหนีออกไปก่อนที่คณะของฉงเอ่อจะออกเดินทาง  ฉงเอ่อและผู้ติดตามจึงต้องออกจากรัฐตี๋โดยปราศจากทรัพย์สินใดติดตัวไป

 

การเดินทางไปยังรัฐต่างๆของฉงเอ่อและคณะผู้ติดตาม

ฉงเอ่อและคณะฯ  ตั้งใจจะไปรัฐฉี(齐)ซึ่งเป็นรัฐมหาอำนาจในขณะนั้น เพื่อขอความช่วยเหลือจากฉีหวนกง(齐桓公) แต่การเดินทางจากรัฐตี๋ไปรัฐฉี  ต้องผ่านหลายรัฐ  และต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐต่างๆที่ผ่านแต่ไม่มีรัฐใดยอมต้อนรับคณะของฉงเอ่อ  แม้ขุนนางบางรัฐ ที่รู้ว่าฉงเอ่อเป็นคนดี และมีผู้ติดตามที่เป็นคนเก่งยอมช่วยเขา แต่ก็ช่วยได้ไม่มาก  เพราะผู้ครองรัฐไม่ยอมต้อนรับคณะของฉงเอ่อ   จึงต้องแอบช่วยโดยไม่ให้ผู้ครองรัฐรู้

 

 

ในที่สุด คณะของฉงเอ่อก็เดินทางถึงรัฐฉี    ฉีหวนกงต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดี  ทั้งยังยกหลานสาวให้เป็นภรรยาของฉงเอ่อด้วย (ตอนที่คณะของฉงเอ่อออกจากรัฐตี๋   เขาไม่ได้พาภรรยาออกมาด้วย ต่อเมื่อเขากลับไปเป็นผู้ครองรัฐได้แล้ว จึงส่งคนไปรับภรรยาคนแรกมารัฐจิ้น)

ฉงเอ่อและคณะอยู่ที่รัฐฉีเป็นเวลาเจ็ดปี มีชีวิตที่สุขสบาย จนไม่คิดที่จะกลับรัฐจิ้น  แต่หลังจากฉีหวนกงเสียชิวิต  ลูกของฉีหวนกงแย่งอำนาจกันรัฐฉีเกิดความวุ่นวายนานนับปี  จึงได้ผู้ครองรัฐคนใหม่ รัฐฉีอ่อนแอลงเนื่องจากความไม่สงบภายใน ก็ไม่ได้เป็นรัฐมหาอำนาจอีกต่อไป

เหล่าขุนนางข้าราชการที่ติดตามฉงเอ่อ เห็นฉงเอ่อไม่ยอมกลับรัฐจิ้น ก็แอบปรึกษาหารือกันอย่างลับๆในสวนแห่งหนึ่ง  ต่างเห็นว่าถ้าอยู่รัฐฉีต่อไป คงไม่มีทางกลับรัฐจิ้นได้  เวลานั้นรัฐฉีอ่อนแอลงมากแล้ว ผู้ครองรัฐคนใหม่คงไม่สามารถช่วยฉงเอ่อให้กลับไปเป็นผู้ครองรัฐจิ้นได้  ทางที่ดีเราควรเดินทางออกไปอยู่รัฐอื่น เช่น รัฐซ่ง(宋)รัฐฉู่(楚)หรือ รัฐฉิน(秦)  โดยเฉพาะรัฐฉิน ขอให้ช่วยเหลือให้พวกเรากลับไปรัฐจิ้น  มิฉะนั้น พวกเราคงต้องแก่ตายที่นี่  แต่เจ้านาย(ฉงเอ่อ)มีความสุขกับภรรยาใหม่ และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี   พวกเราต้องเลี้ยงสุรามอมเมาเจ้านาย แล้วลักพาตัวเขาออกจากที่นี่

 

ขณะนั้นสาวใช้ของภรรยาฉงเอ่อ ซึ่งดูแลดอกไม้ในสวนเผอิญได้ยินการปรึกษาหารือนี้  จึงไปรายงาน ฉีเจียง(齐姜) ภรรยาของฉงเอ่อ  ฉีเจียงเห็นด้วยกับเรื่องเดินทางออกจากรัฐฉี  จึงให้สาวใช้ไปเชิญผู้ติดตามฉงเอ่อมาปรึกษาหารือกันอย่างลับๆ

เมื่อฉีเจียงได้พบกับผู้ติดตามฉงเอ่อ  นางเสนอกลอุบายว่า ให้พวกท่านแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  นางจะมอมเหล้าฉงเอ่อ แล้วให้พวกท่านเอารถม้าที่เตรียมไว้พาฉงเอ่อเดินทางออกไปในขณะเมาหลับอยู่

วันรุ่งขึ้น ผู้ติดตามฉงเอ่อชวนเขาออกไปล่าสัตว์ แต่ฉงเอ่อปฏิเสธไม่ไป  ในค่ำนั้น  ฉีเจียงทำอาหารเเลี้ยงอำลาฉงเอ่อ   บอกว่า ได้ข่าวว่าลูกน้องของท่านกำลังจะพาท่านเดินทางออกจากรัฐฉี ไปขอความช่วยเหลือรัฐอื่นให้ท่านกลับไปเป็นผู้ปกครองรัฐจิ้น  ดิฉันเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าดิฉันไปด้วย อาจสร้างความไม่สะดวกในการเดินทางไกล จึงจัดงานเลี้ยงอำลา  ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ  ฉงเอ่อตอบว่าข้าฯ อยู่ที่นี่สบายดีแล้ว แม้อี๋อู๋(จิ้นฮุ่ยกง)จะไม่ได้รับความนิยมจากประชาชนมาก แต่ยังมีลูกน้องในรัฐจิ้นที่จงรักภักดีกับเขาเป็นจำนวนมาก  อยู่ที่นี่มีภรรยาที่ดี และมีความเป็นอยู่สะดวกสบาย  ข้าฯไม่อยากกลับไปรัฐจิ้น  ฉีเจียงกล่าวว่า  ถ้าเช่นนั้นอาหารมื้อนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นงานเลี้ยงขอบคุณท่านที่ยังอยู่รัฐฉี ไม่ยอมทิ้งภรรยาไปไหน  ขอเชิญดื่มฉลองกันให้เต็มที่  ฉงเอ่อจึงดื่มเหล้าจนเมามายไม่ได้สติ

เมื่อเห็นฉงเอ่อเมาจนหลับไป ฉีเจียงจึงบอกให้ผู้ติดตามฉงเอ่อที่เตรียมรถม้าไว้แล้วมาพาเขาออกเดินทาง วันรุ่งขึ้นเมื่อฉงเอ่อสร่างเมา ก็ได้เดินทางออกจากรัฐฉีแล้ว เมื่อรู้ว่าตนถูกลักพาตัวออกมาจึงโกรธมาก แต่ผู้ติดตามเขาบอกว่า ที่พวกเรายอมทิ้งการงานและครอบครัวตามท่านออกมาอยู่รัฐอื่น  เพราะอยากเห็นว่าสักวันหนึ่งท่านจะได้กลับไปเป็นผู้ครองรัฐ ทำให้รัฐจิ้นเจริญ แต่นี่ออกมาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้กลับไป   ถ้าอยู่ต่อไปอีก พวกเราคงต้องแก่ตายอยู่ที่รัฐฉี และกลับไปรัฐจิ้นไม่ได้   เมื่อฉงเอ่อได้ยินดังนั้น และเห็นว่าตนเองได้เดินทางออกจากฉีแล้ว จึงต้องจำยอมเดินทางต่อไป

 

การเดินทางของคณะฉงเอ่อนี้ มีจุดหมายปลายทางที่รัฐฉิน แต่กว่าจะถึงฉิน ต้องผ่านดินแดนหลายรัฐ คือ รัฐเฉา(曹)รัฐเจิ้ง(郑)และรัฐฉู่(楚) รัฐเฉา และ รัฐเจิ้งไม่ให้การต้อนรับ  มีแต่รัฐฉู่ที่ต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดี  คณะของฉงเอ่ออยู่รัฐฉู่ได้หลายเดือน  ฉินมู่กงได้ส่งคนมาเชิญฉงเอ่อไปรัฐฉิน  ผู้ครองรัฐฉู่เห็นว่าฉินเป็นรัฐที่มีแสนยานุภาพเข้มแข็งและมีดินแดนใกล้กับรัฐจิ้น น่าจะช่วยฉงเอ่อให้กลับรัฐจิ้นได้ดีกว่า จึงสนับสนุนให้เขาไปรัฐฉิน

คุณชายหวี่ขึ้นเป็นผู้ครองรัฐจิ้น

 

ก่อนหน้านั้นไม่นาน จิ้นฮุ่ยกงป่วยหนัก  คุณชายหวี่ที่เป็นตัวประกันที่ฉิน  เมื่อทราบว่าบิดาอาจมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน จึงพาลูกน้องหลบหนีออกจากรัฐฉินโดยไม่บอกกล่าว  เมื่อฉินมู่กงทราบข่าวก็โกรธมาก บอกว่า จิ้นฮุ่ยกงเนรคุณต่อฉิน ลูกเขาก็เป็นเช่นนี้ด้วย

คุณชายหวี่กลับไปได้ไม่นาน ฮุ่ยกงก็เสียชีวิต และหวี่ขึ้นเป็นผู้ปกครองรัฐ ชื่อจิ้นฮ่วยกง(晋怀公) สิ่งที่ฮ่วยกงกังวลที่สุดคือฉงเอ่อจะกลับมาแย่งอำนาจ  จึงมีคำสั่งลงโทษคนในครอบครัวของผู้ติดตามฉงเอ่อทุกคน  พ่อของผู้ติดตามฉงเอ่อสองคนชื่อหูทู(狐突) ซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือก็ได้รับคำสั่งว่า ต้องให้ลูกชายของเขากลับมาโดยด่วน  มิฉะนั้น หูทูจะถูกลงโทษประหารชีวิต แต่หูทูไม่ยอมทำตาม เพราะรู้ว่าถ้าลูกตนกลับมา ก็ต้องถูกลงโทษแน่นอน   จิ้นฮ่วยกงจึงสั่งประหารชีวิตหูทู  ทั้งยังสั่งทำร้ายคนในครอบครัวของผู้ติดตามฉงเอ่อคนอื่นๆอีกด้วย รัฐจิ้นจึงตกอยู่ในสภาพโกลาหลอีกครั้งหนึ่ง

จิ้นเหวินกงให้อภัยผู้ทำผิด

เมื่อคณะของฉงเอ่อมาถึงรัฐฉิน  ฉินมู่กงจึงส่งกองกำลังทหารอารักขาคณะฉงเอ่อกลับจิ้น  ขุนนางที่คุมกองกำลังทหารจิ้นขณะนั้น คือซียุ่ย(郤芮)และหลวีเสิ่ง(吕省)ซึ่งเคยเป็นคนสนิทของจิ้นฮุ่ยกง ที่เสี้ยมสอนให้ฮุ่ยกงอย่ายกที่ให้รัฐฉินตามสัญญา  เมื่อเห็นว่าไม่มีทางต่อสู้กองทัพฉินได้ จึงยอมจำนน และประกาศว่า ต่อไปนี้ทั้งสองคนจะจงรักภักดีต่อฉงเอ่อผู้ครองรัฐจิ้นคนใหม่ ส่วนฮ่วยกงก็หลบหนีออกไปรัฐอื่น

ฉงเอ่อจึงได้เป็นผู้ครองรัฐจิ้น เป็นจิ้นเหวินกง(晋文公) ท่ามกลางความยินดีของขุนนางข้าราชการ ขณะนั้น เขามีอายุ 62 ปี  แต่หลังขึ้นเป็นผู้ครองรัฐหลายวัน   เหวินกงยังไม่ปูนบำเหน็จให้คนที่มีความดีความชอบ และลงโทษผู้เป็นปรปักษ์   ซียุ่ยและหลวีเสิ่งที่ถูกปลดออกจากผู้คุมกองกำลัง แต่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใดๆ หวาดระแวงมาก    จึงพากันเข้าพบจิ้นเหวินกง และ สาบานต่อหน้าเขาว่า แม้ก่อนหน้านี้จะมีความผิด แต่ต่อไปนี้จะเป็นคนดี และจงรักภักดีกับผู้ครองรัฐคนใหม่   เหวินกงฟังแล้วไม่ได้แสดงท่าทีอะไร  ทำให้ทั้งสองยังกังวลใจ จึงคิดแผนทำร้ายเหวินกง แล้วหาคนอื่นมาเป็นผู้ครองรัฐแทน

แต่ซียุ่ยและหลวีเสิ่งไม่ได้คุมกำลังแล้ว สิ่งที่คิดได้ คือ จ้างคนมาลอบฆ่าเหวินกง  ทั้งสองจึงไปจ้างโป๋ตี(勃鞮) ผู้ที่เขาเคยมอบหมายให้ไปลอบฆ่า เหวินกงตอนที่อยู่ในรัฐตี๋  โป๋ตีกล่าวว่า  การลอบฆ่าเหวินกงในเวลานี้ทำได้ลำบาก ทางที่ดีควรฆ่าเขาด้วยวิธีอื่น เช่น จุดไฟเผาวัง แม้ในการนี้คนอื่นต้องตายไปด้วยก็ตาม แต่เหวินกงก็จะไม่รอด ซียุ่ยและหลวีเสิ่งเห็นด้วยกับแผนการนี้ จึงให้เขาดำเนินการ

การเสนออุยายเผาวังของโป๋ตีนั้น เป็นการถ่วงเวลา  ที่แท้เขาไม่ยอมทำตามคำสั่งของซียุ่ยและหลวีเสิ่ง เพราะเห็นว่า การลอบฆ่าจิ้นเหวินกง ถ้าทำได้สำเร็จ อย่างมากก็ได้รับการปูนบำเหน็จ  แต่ถ้าไม่สำเร็จแล้วถูกจับได้  เขาจะต้องถูกประหารชีวิต  เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว  โป๋ตีจึงไปหาผู้ติดตามเหวินกงขณะลี้ภัยคนหนึ่ง  บอกว่าเขามีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับอนาคตของรัฐต้องเข้าพบจิ้นเหวินกงโดยด่วน เมื่อโป๋ตีได้เข้าพบ จึงบอกเหวินกงว่าตนมีความลับสุดยอดที่จะมาเปิดเผย  เมื่อพบโป๋ตี เหวินกงรู้สึกโกรธมาก บอกว่า เจ้าเป็นคนที่จะไปฆ่าข้าฯเมื่อหลายปีก่อน  ข้าฯกำลังจะไปจับเจ้ามาลงโทษอยู่แล้ว ยังกล้ามาพบข้าฯอีกหรือ?  โป๋ตีทำเป็นหัวเราะลั่น บอกว่า ท่านลี้ภัยเป็นเวลาเกือบยี่สิบปีแล้ว ยังไม่รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำอีกหรือ    ข้าพเจ้าเป็นเพียงคนรับใช้ที่ต้องทำงานตามคำสั่ง เมื่อเจ้านายสั่งให้ทำอะไร ก็ต้องทำตาม จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้  บัดนี้ท่านเป็นผู้ครองรัฐแล้ว เป็นเจ้านาย ข้าพเจ้าจึงเอาความลับที่จะส่งผลกระทบต่อท่านมาบอก แล้วท่านยังจะไม่รับฟังอีกหรือ?  จิ้นเหวินกงจึงกล่าวว่า  ถ้าเช่นนั้น เจ้ามีเรื่องอะไรก็บอกมา หากเป็นเรื่องมีประโยชน์  ข้าฯ ก็จะรับฟัง โป๋ตีจึงเล่าแผนการเผาวังให้เหวินกงทราบ  แล้วบอกว่า ท่านต้องหลบหนีออกไปอย่างลับๆ โดยไม่มีใครรู้  ถ้าจะไปจับซียุ่ยและหลวีเสิ่งตอนนี้ ในขณะที่ไม่มีหลักฐานใดๆ ก็ลงโทษเขาไม่ได้

 

จิ้นเหวินกงจึงกำชับผู้ดูแลวังว่า ในฤดูแล้งเช่นนี้ ต้องระวังเรื่องอัคคีภัย และต้องเตรียมทางหนีไฟไว้ให้ดี   โดยไม่ได้บอกว่า จะมีคนมาลอบวางเพลิงเผาวัง   เหวินกงเองก็พาลูกน้องผู้ใกล้ชิด เดินทางออกจากรัฐจิ้นอย่างลับๆ โดยไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เคยติดตามลี้ภัยด้วยกันเป็นเวลาเกือบ 20 ปี ก็ไม่มีใครทราบ

ส่วนซียุ่ยและหลวีเสิ่งก็ทำการเผาวังตามแผน  เมื่อไม่เห็นจิ้นเหวินกงปรากฏตัวหลายวัน คิดว่าเหวินกงคงถูกไฟไหม้เสียชีวิตไปแล้ว  จึงคิดที่่จะเชิญหลานของฮุ่ยกงคนหนึ่งขึ้นเป็นผู้ครองรัฐ   โปซีบอกว่า เวลานี้เราไม่มีกองกำลัง  แม้ยังมีลูกน้องคนสนิทอยู่มาก ถ้าจะยกให้ผู้ใดขึ้นเป็นผู้ครองรัฐใหม่  ควรประกาศให้รับทราบโดยทั่วกัน แล้วส่งคนไปรัฐฉิน ให้ฉินมู่กงรับทราบ  ขอให้เขาสนับสนุนผู้ปกครองรัฐคนใหม่  ในที่สุด ซียุ่ยและหลวีเสิ่งก็ตกลงกันไปเชิญคุณชายยง(公子雍)ที่สนิทสนมกับรัฐฉิน มาเป็นผู้ครองรัฐจิ้นแทนเหวินกง

ต่อมา ซียุ่ยและหลวีเสิ่งได้ข่าวมาว่า จิ้นเหวินกงยังไม่ตาย แต่ได้หลบหนีไปแล้ว  กลัวว่าข่าวอาจจะจริง เพราะไม่พบศพเหวินกงในกองเพลิง และถ้าถูกจับได้ว่าเขาทั้งสองเป็นหัวโจกเผาวัง  เขาทั้งสองก็จะตกอยู่ในอันตราย  โป๋ตีเสนอว่า เราควรไปรัฐฉิน บอกฉินมู่กงว่า จิ้นเหวินกงเสียชีวิตไปแล้ว ขอให้มู่กงสนับสนุนคุณชายยงเป็นผู้ครองรัฐจิ้น  ซียุ่ยและหลวีเสิ่ง ยังไม่รู้ว่าโป๋ตีได้แปรพรรคไปแล้ว คิดว่ายังเป็นลูกน้องตนอยู่  จึงเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้

เมื่อได้พบฉินมู่กง ขอให้เขาสนับสนุนคุณชายยงเป็นผู้ครองรัฐจิ้น  มู่กงกล่าวว่า ผู้ครองรัฐจิ้นที่เขาเห็นชอบมาอยู่ที่นี่แล้ว  พวกเจ้าอยากพบเขาไหม  เมื่อทั้งสองตอบว่าอยากพบ  มู่กงจึงให้คนไปเซิญจิ้นเหวินกงออกมา  เมื่อซียุ่ยและหลวีเสิ่งได้เห็นเหวินกง ก็ตกใจมาก คุกเข่าขอให้อภัยโทษแก่เขาทั้งสอง  และสาบานว่าต่อจากนี้จะจงรักภักดีต่อเหวินกงและไม่คิดทรยศใดๆ   เหวินกงกล่าวว่า สิ่งที่ทั้งสองทำ ไม่สามารถให้อภัยได้เลย  ซียุ่ยและหลวีเสิ่งบอกว่า เรื่องนี้เป็นข้อเสนอของโป๋ตี ถ้าลงโทษเขาทั้งสอง  ต้องลงโทษโป๋ตีด้วย  เหวินกงกล่าวว่า ถ้าโป๋ตีไม่ได้มาแจ้งข่าว บัดนี้เขาคงเสียชีวิตไปแล้ว

 

ฉินมู่กงสั่งประหารชีวิตซียุ่ยและหลวีเสิ่ง แล้วส่งกองทหารอารักขาส่งเหวินกงกลับรัฐจิ้น  เมื่อถืงรัฐจิ้นไม่นาน โถวซวี(头须)มาขอพบ  จิ้นเหวินกงเมื่อได้พบโถวซวี พูดว่า ตอนที่หนีออกจากรัฐตี๋ ทรัพย์สมบัติของเขาถูกโถวซวีขโมยไปทั้งหมด  ทำให้เขาและคณะต้องประสบกับความลำบากมากระหว่างเดินทางไปรัฐฉี  นี่มามอบตัวก็ดีแล้ว จะได้ลงโทษอย่างสาสม  โถวซวีกล่าวว่า ท่านไม่ลงโทษโป๋ซี  จึงรอดพ้นจากอันตราย   ข้าพเจ้ามีความผิดน้อยกว่าโป๋ซี  ขอให้ท่านได้ฟังข้าพเจ้าก่อน แล้วค่อยลงโทษ   เหวินกงกล่าวว่า ถ้ามีอะไรก็พูดออกมา   โถวซวีกล่าวว่า แม้ซียุ่ยและหลวีเสิ่ง จะเสียชีวิตไปแล้ว   ลูกน้องที่จงรักภักดียังมีอยู่มาก  คงลงโทษได้ไม่หมด  แต่ถ้าไม่ลงโทษ พวกเขาก็จะหวาดระแวง และอาจร่วมกันก่อความไม่สงบในภายหลัง  ทางที่ดี ควรออกประกาศให้ทราบทั่วกันว่า  หัวหน้าผู้วางแผนก่อการกบฏได้ถูกประหารชีวิตไปแล้ว ต่อจากนี้ท่านจะไม่ถือโทษทุกคนที่เคยเป็นลูกน้องของซียุ่ยและหลวีเสิ่ง และเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ท่านควรนั่งรถม้าออกไปตรวจราชการ โดยให้ข้าพเจ้า(โถวซวี)เป็นคนขับรถม้า และประกาศว่า ท่านไม่ถือโทษโกรธเคืองคนที่เคยทำผิดที่กลับตัวกลับใจ เมื่อลูกน้องซียุ่ยและหลวีเสิ่งเห็น จะได้เชื่ออย่างสนิทใจว่า ท่านยอมให้อภัยกับทุกคนที่เคยทำผิดมาก่อน

นอกจากให้โถวซวีเป็นผู้ขับรถม้าแล้ว เหวินกงยังแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินเหมือนเดิม   การแสดงตนของโถวซวีครั้งนี้ ประสบผลสำเร็จมาก หลังจากนั้น พรรคพวกและลูกน้องของจิ้นฮุ่ยกง ซียุ่ยและหลวีเสิ่ง ต่างพากันมาสวามิภักดิ์ต่อเหวินกง

จิ้นก้าวขึ้นเป็นรัฐมหาอำนาจ

มาถึงตอนนี้ จิ้นเหวินกง จึงปกครองรัฐจิ้นได้อย่างสบายใจ ปูนบำเหน็จให้ขุนนางข้าราชการที่มีความดีความชอบ  แต่ไม่ลงโทษพรรคพวกของฮุ่ยกง ซียุ่ยและหลวีเสิ่งที่เป็นคู่อริกันมาก่อน  เรื่องการปูนบำเหน็จผู้ที่มีความดีความชอบของจิ้นเหวินกง มีเรื่องน่าสนใจหลายเรื่อง แต่จะไม่กล่าวในที่นี้

 

จิ้นเหวินกงเป็นผู้ครองรัฐได้เก้าปี จึงเสียชีวิต  ในเก้าปีนี้ สภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของรัฐจิ้นมีความเจริญรุ่งเรืองมาก จิ้นเป็นรัฐที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ และมีแสนยานุภาพเข้มแข็ง แต่ไม่รุกรานรัฐอื่น วางตัวเป็นคนกลาง เป็นมิตรกับทุกรัฐ และช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาท  ลดความขัดแย้งของรัฐต่างๆ  เหวินกงจึงเป็นผู้ครองรัฐที่ได้รับความเคารพนับถือจากรัฐอื่นมาก จึงได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ราชวงศ์โจวให้เป็นรัฐมหาอำนาจต่อจาก รัฐฉีในยุคชุนชิว(春秋时期)

จิ้นเหวินกงกว่าจะได้เป็นผู้ครองรัฐ ใช้เวลาประมาณ 20 ปี แต่เมื่อได้อำนาจ  ก็ทำให้รัฐจิ้นก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจ  ความสำเร็จของเขา  ส่วนสำคัญมาจากความคิดและอุปนิสัยของเขา  หลังจากบิดาเขาเสียชีวิตไปแล้ว เขาลี้ภัยอยู่ต่างรัฐ  เมื่อมีผู้ไปเขิญให้เขากลับมาเป็นผู้ครองรัฐ  เขาก็ตอบปฏิเสธ เพราะเห็นว่า แม้จิ้นเซี่ยนกงและหลีจีเสียชีวิตไปแล้ว แต่พรรคพวกของหลีจียังมีอยู่มาก ต่างกับอี๋อู๋ที่รีบกลับมาเป็นผู้ครองรัฐ ทั้งรับปากว่าจะปูนบำเหน็จให้แก่ผู้ที่เชิญเขามา จะยกดินแดนชายแดนห้าเมืองให้รัฐฉิน แต่ต่อมาก็ตระบัดสัตย์ ไม่ยอมทำตามคำสัญญา แม้อี๋อู๋เป็นผู้ครองรัฐจิ้นนานถึงสิยสี่ปี แต่อยู่ได้ด้วยสภาพที่ไม่มีความสงบ

คุณสมบัติที่ดีของจิ้นเหวินกง มีหลายอย่าง คือ รู้จักใช้คนมีความรู้ความสามารถมาช่วยบริหารบ้านเมือง  รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ  ยอมยกโทษให้แก่ผู้ที่เป็นศัตรูกับตนมาก่อนเมื่อมีความจำเป็น รักษาสัจจะ ทำตามสิ่งที่ได้ประกาศไปแล้วโดยไม่กลืนคำพูดของตนเอง เมื่อเขาได้เป็นผู้ครองรัฐ ก็ไม่ลืมบุญคุณของภรรยาเก่า  ส่งคนไปรับกลับมาอยู่ด้วยกัน  แม้มีภรรยาสามคนและคนสุดท้ายเป็นลูกสาวของฉินมู่กง ซึ่งมู่กงยกให้หลังจากที่ไปรับเหวินกงจากรัฐฉู่  เขาจึงมีภรรยาสามคน คนแรกมาจากรัฐตี๋ คนที่สองมาจากรัฐฉี และคนที่สามจากรัฐฉิน  ภรรยาทั้งสามอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก ไม่ทะเลาะเบาะแว้งหรือแก่งแย่งแข่งดีกัน

 

หลังจากที่รัฐจิ้นเป็นมหาอำนาจแล้ว ฉินมู่กงในรัฐฉินก็ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจต่อจากนั้น มู่กงเป็นผู้ครองรัฐฉินเป็นเวลายาวนานประมาณ 40 ปี ในระหว่างที่มู่กงเป็นผู้ครองรัฐอยู่  อาณาเขตของรัฐฉินเพิ่มขึ้นมามาก ส่วนใหญ่ได้จากการรบชนะชนเผ่าอื่นที่มีพื้นที่ใกล้เคียง  เรื่องราวของฉินมู่กงจะเล่าในตอนต่อไป

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *