ตำนานเครื่องทำวาฟเฟิลและหนวดปลาหมึก
ตำนานเครื่องทำวาฟเฟิลและหนวดปลาหมึก
เรามีหลายตัวอย่างของสตาร์ทอัพเกิดจากความต้องการของบุคคลหนึ่งค้นหาข้อแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์ที่พวกเขาเผชิญส่วนบุคคล บุคคลเหล่านี้ไม่อดทน และไม่รอบุคคลอื่นแก้ปัญหาของพวกเขาเพื่อพวกเขา และในที่สุดจบลงด้วยการพัฒนาข้อแก้ปัญหาไม่เพียงแต่พวกเขาเองเท่านั้น แต่เพื่อบุคคลอื่นด้วย “การเกาที่คันตัวคุณเอง” เป็นคำแนะนำที่เราได้ยินกันอย่างมากภายในวงจรของสตาร์ทอัพและนวัตกรรมตามคำแนะนำนี้เมื่อตัดสินใจผลิตภัณฑ์อะไรที่จะสร้าง คุณควรจะสร้างบางสิ่งบางอย่างที่แก้ปัญหาของคุณเอง และกังวลเกี่ยวกับลูกค้าต่อมา เมื่อคุณสร้างบางสิ่งบางอย่างเพื่อตัวคุณเอง มันคลุมเครือน้อยลง คุณไม่ต้องทำมากกับการวิจัยตลาด เราไม่มีอะไรเลยตื่นเต้นมากกว่าทำบางสิ่งบางอย่างที่คุณใช้ส่วนบุคคล มุมมองเหล่านี้ได้ถูกทำให้นิยมแพร่หลายอย่างมากโดยเจสัน ฟรายด์ ผู้เขียนหนังสือ
“Rework”การเกาที่คันตัวคุณเองเป็นคำพังเพยที่มีอิทธิพลมากที่สุดอย่าหนึ่งภายในการเป็นผู้ประกอบการ มันอยู่เบื้องหลังบริษัทที่บรรลุความสำเร็จเหมือนเช่นเเอปเปิ้ล ดรอบบอกซ์ และคิคสตาร์ทเตอร์ แต่มันสามารถนำผู้ประกอบการไปสู่ความล้มเหลวได้ วิถีทางนี้ต่อการเป็นผู้ประกอบการเพิ่มความรู้การตลาดของคุณ ในฐานะของผู้ใช้ที่มีศักยภาพ คุณรู้ปัญหาของคุณ คุณพยายามแก้มันในขณะนี้อย่างไร และคุณลักษณะอะไรที่สำคัญ คุณสามารถใช้ความรู้หลีกเลี่ยงความเสี่ยงภัยของตลาดต่อการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ผู้ก่อตั้งเบสแคมป์ เจสัน ฟรายด์ และเดวิด แฮนส์สัน ผู้เขียนหนังสืิอขายดีที่สุด Rework กล่าวว่า วิถีทางง่ายที่สุดและตรงไปตรงมามากที่สุดสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ยิ่งใหญ่คือ สร้างบางสิ่งบางอย่างที่คุณต้องการใช้ คือ การเกาที่คันของตัวคุณเอง เมื่อคุณแก้ปัญหาของคุณเอง ไฟเริ่มสว่างขึ้น คุณรู้อย่างแน่นอนว่าคำตอบที่ถูกต้องคืออะไร ผู้เขียนได้กระตุ้นเราที่จะเการอยคันของเราเอง ตามพวกเขาเเล้ววิถีทางง่ายที่สุดและสามัญสำนึกที่สุดที่จะเริ่มต้นคือ สร้างบางสิ่งบางอย่างที่เราต้องการใช้ แล้วแท้จริงเกี่ยวกับมัน คุณไม่เอาใจบุคคลทุกคน ดังนั้นมันดีที่สุดที่ไม่พยายามทำ คุณต้องลากเส้นบนพื้นทราย ชัดเจนเกี่ยวกับตำเเหน่งของคุณ เจสัน ฟรีดและเดสิด แฮนส์สันมีรอยคันและเกามันเพื่อตัวเขาเอง พวกเขาไม่ต้องคิดมันมาก เเต่ในที่สุดเบสแคมป์ได้ทะยานขึ้นลูกค้าชอบซอฟท์แวร์ของพวกเขา และในขณะนี้มันได้กลายเป็นธุรกิจหลายร้อยล้่านเหรียญการพัฒนาธุรกิจที่ทำกำไรใช้หลายปี การเริ่มต้นทำบางสิ่งบางอย่าง ความคิดไร้คุณค่า การกระทำเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง วิถีทางเเก้ปัญหาของคุณเอง เป็นวิถีทางเรียบง่ายที่สุด ตรงไปตรงมาที่สุด สร้างผลิตภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ ความคิดราคาถูกและมากมาย คำถามที่แท้จริงคือ คุณได้ดำเนินการดีเเค่ไหนยิ่งกว่านั้น วิถีทางแก้ปัญหาของคุณเองนี้ทำให้คุณตกหลุมรักกับอะไร ที่คุณสร้าง และคุณจะมีชีวิตอยู่กับมัน บางทีตลอดชีวิตของคุณด้วย คุณรู้ปัญหาและคุณค่าของข้อแก้ปัญหาทันที คุณคิดว่าความคิดของคุณคุ้มค่า จนกว่าคุณได้เริ่มต้นอย่างแท้จริงสร้างบางสิ่งบางอย่าง ความคิดที่ยิ่งใหญ่ของคุณเป็นเพียงแค่ความคิด…..สิ่งสำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นบิลล์ บาวเวอร์แมน ผู้ฝึกสอนการวิ่งไอคอนจากมหาวิทยาลัยโอเรกอน ได้พิจารณาว่าทีมของเขาต้องการรองเท้าวิ่งที่ดีขึ้นและเบาขึ้น ดังนั้นเขาได้เข้าไปห้องทำงานของเขา และเทยางลงไปที่เครื่องทำวาฟเฟิลของครอบครัว มันคือพื้นรองเท้าวาฟเฟิลที่มีชื่อเสียงได้กำเนิดอย่างไร และสร้างสัญลักษณ์ของไนกี้ พื้นรองเท้าวาฟเฟิล แมรี เคย์ วากเนอร์ ผู้ก่อตั้งแมรี เคย์ คอสเมติก รู้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของเธอยิ่งใหญ่ เพราะว่าเธอใช้มันด้วยตัวเธอเอง เธอได้มันจากผู้ให้คำแนะนำความงามท้องที่ขายสูตรทำที่บ้านแก่ญาติพี่น้องและเพื่อน แมรี เคย์ ได้ซื้อสูตรจากครอบครัว เธอไม่ต้องการกลุ่มสนทนา หรือศึกษาเพื่อที่จะรู้ว่าผลิตภัณฑ์ดีหรือไม่ เธอเพียงแค่ดูที่ผิวของเธอเองวิค ฟริธ ได้ค้นพบความคิดของไม้ตีกลองที่ดีกว่า ในขณะที่ตีกลองใหญ่แก่บอสตัน ซิมโฟนี ออร์เครสต้า ไม้ตีกลองที่เขาซื้อไม่ดีเพียงพอกับงาน ดังนั้นเขาได้เริ่มต้นผลิตและขายไม้ตีกลองจากห้องใต้ถุนที่บ้านของเขา วันหนึ่งเขาได้ทำไม้ตีกลองกำใหญ่หล่นบนพื้น และได้ยินเสียงระดับแตกต่างกัน นั่นคือเมื่อเขาได้เริ่มต้นจับคู่ไม้ตีกลองโดยดูความชื้น น้ำหนัก ความหนาแน่น และระดับเสียง ดังนั้นมันจะเป็นคู่ที่เข้ากันได้ดี ผลลัพธ์กลายเป็นคำโฆษณาว่า คู่ที่สมบูรณ์ วันนี้โรงงานของวิค ฟริธ ผลิตไม้ตีกลองมากกว่า 85,000 อันต่อวัน และมีส่วนแบ่งตลาด 62%
ในขณะที่ผู้ประกอบการหลายคนแสวงหาที่จะแก้ปัญหาโลกที่ซับซ้อนภายนอกขอบเขตชีวิตประจำวันของพวกเขาเอง เรามีหลายตัวอย่างของผู้ประกอบการที่พบความสำเร็จด้วยการเกาที่คันของพวกเขาเองเหมือนเช่น รีด ฮาสติ้งส์ เเรงผลักดันของเขาเพื่อการเริ่มต้นเนตฟลิกซ์คือ เมื่อเขาได้ค้นพบวีดีโอเช่าเกินเวลาของอพอลโล 13 ภายในตู้เสื้อผ้าของเขา และต้องจ่ายค่าปรับส่งช้า 40 เหรียญ ในขณะที่รีด ฮาสติ้งท์ เป็นผู้ประกอบการที่บรรลุความสำเร็จภายในโลกซอฟท์แวร์อยู่แล้ว มันดูเหมือนว่าธุรกิจที่บรรลุความสำเร็จมากที่สุดของเขา เนตฟลิกซ์ ได้ถูกสร้างจากความต้องการที่จะแก้ปัญหากระทบต่อเขาโดยตรง เนตฟลิกซ์ ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ 1997 โดยรีส ฮาสติ้งส์และมารค แรนดอล์ฟ รีด ฮาสติ้งท์ ได้กล่าวว่าความคิดได้ถูกจุดประกายด้วยค่าปรับ 40 เหรียญต่อการเช่าอพอลโล 13 จากบลอคบัสเตอร์ และได้ส่งมันคืนกลับช้าไปหกสัปดาห์ ในขณะที่ออกกำลังกาย ณ โรงยิมวันหนึ่ง ความขุ่นเคืองค่าปรับบันดาลใจเขาสร้างบริษัทเมื่อ ค.ศ 1997 การเริ่มต้นด้วยการเช่าดีวีดีทางไปรษณีย์เพื่อค่าสมัครสมาชิกแต่กระนั้นผู้ก่อตั้งร่วม มาร์ค แลนดอล์ฟ ออกไปจากบริษัทเมื่อ ค.ศ 2002 กล่าวว่าเรื่องราวเป็นความคิดไม่จริง เพียงแต่อธิบายทำไมบริษัทดีกว่าคู่แข่งขันเท่านั้น มาร์ค เเรนดอล์ฟ อ้างว่าบริษัทเริ่มต้นเมื่อเขาและรีด ฮาสติ้งท์ ตัดสินใจพวกเขาต้องการสร้างอเมซอนดอคคอมของบางสิ่งบางอย่างเนตฟลิกซ์ได้ทำลายบอลคบัสเตอร์ภายในเพียงแค่หกปีอย่างไร บริษัทสามารถช่วยชีวิตตัวมันเองจากการทำลายโดยเนตฟลิกซ์ ถ้าพวกเขาได้ซื้อมัน 50 ล้านเหรียญ เมื่อผู้ก่อตั้งร่วมเนตฟลิกซ์ รีด ฮาสติ้งให้ข้อเสนอแก่พวกเขา ไม่เพียงแต่บอลคบัสเตอร์ปฏิเสธข้อเสนอของเนตฟลิกซ์ แต่พวกเขาได้หัวเราะเยาะมันด้วย บอลคบัสเตอร์ต่อสู้เนตฟลิกซ์เป็นเรื่องราวเดวิดต่อสู้โกไลเเอธชีวิตจริงเมื่อ ค.ศ 1997 รีด ฮาสติ้ง ได้ส่งคืนอพอลโล 13 แก่บลอคบัสเตอร์ และต้องเสียค่าปรับส่งช้า 40 เหรียญ ค่าปรับดูแล้วแปลกและไม่ยุติธรรมต่อเขา ดังนั้นเขาได้สร้างเนตฟลิกซ์ ณ วันนั้น เรื่องราวธุรกิจเดวิดและโกไลแอธ ได้กำเนิดขึ้นณ ตอนนั้น บอลคบัสเตอร์ เป็นผู้เล่นยิ่งใหญ่ภายในธุรกิจการเช่าดีวีดี ด้วยรายได้และกำไรสูงมาก พวกเขามีกระเป๋าและหนุนหลังจากเจ้าของเวียคอม ป้องกันต่อการคุกคามใดก็ตามที่เข้ามา เมื่อเว็บไซต์เนตฟลิกซ์เปิดตัวด้วยวีดีโอจำนวนน้อยเท่านั้นเพื่อการเช่า ผู้บริหารบอลคบัสเตอร์ไม่ได้เหลือบมองเลย ต่อมาเนตฟลิกซ์ได้ประกาศการสมัครสมาชิกรายเดือนเพื่อการเช่าดีวีดี และไม่มีค่าปรับ บอลคบัสเตอร์ยังคงไม่มีการก้าวไปทางการเเข่งขันเลย
เมื่อ ค.ศ 2000 บลอคบัสเตอร์มีโอกาสที่จะซื้อเนตฟลิกซ์ 50 ล้านเหรียญพวกเขาได้ปฏิเสธข้อเสนอ เนตฟลิกซ์เจริญเติบโตต่อไปโดยไม่ถูกสนใจจากโกไลเเอธ จนกระทั่งค.ศ 2004 เมื่อผู้บริหารได้เปิดตาของพวกเขา และรับรู้ว่าเนตฟลิกซ์มีรายได้สูง และในขณะนี้พวกเขาเป็นคู่เเข่งขันที่เจริญเติบโต ตอนนั้นบลอคบัสเตอร์ยังคงเป็นโกไลเเอธที่เชื่อมั่นอยู่ และเดินเข้าไป ต่อสู้กับเดวิดที่มีทรัพยาน้อยกว่าแม้ว่าโกไลเเอธใหญ่โตกว่า มันไม่ได้หมายความโกไลแอธดีกว่า ดังกรณีภายในเรื่องราวไบเบิล โกไลเเอธมีข้อเสียเปรียบใหญ่โตบางอย่าง ทำให้เขาเป็นเป้าที่ง่ายต่อก้อนหินจากเชือกแรงเหวี่ยงของเดวิดบลอคบัสเตอร์เป็นระบบราชการที่อุ้ยอ้ายไม่มีวัฒนธรรมของนวัตกรรมแม้แต่ภายหลังเปิดตัวดีวีดีตามความต้องการ ซีอีโอและคณะกรรมการบริษัทยังขัดเเย้งกันเกี่ยวกับแข่งขันอย่างไร และพวกเขาไมมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนต่อวิถีทางไปข้างหน้าบางทีสิ่งสำคัญที่สุด บอลคบัสเตอร์พัวพันกับหนี้สินจากร้านวีดีโอและการลงทุนที่ไม่ดี เอาความคล่องตัวออกไปบนสนามสู้รบ ในขณะที่เนตฟลิกซ์มีความคล่องแคล่ว บุคคลของเนตฟลิกซ์เด็ดเดี่ยวต่อวิสัยทัศน์ของพวกเขา และพวกเขาไม่มีเกาะที่หนักหรืออาวุธที่ไร้ประโยชน์กดทับพวกเขา พวกเขารู้สึกแข็งเเรงภายในการวางตำแหน่งแข่งขันของพวกเขาบริษัทสองบริษัทได้ผ่านการทำสงครามราคาหกปี และการแข่งขันตัวต่อตัว เมื่อ ค.ศ 2010 ฝุ่นได้จางลง เนตฟลิกซ์มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าสี่เท่าตัว….. ในขณะที่บอลอคบัสเตอร์ล้มลงกับพื้นล้มละลายทางการเงิน เดวิดชนะโกไลเเอธ
คุณคิดว่าคุณต้องการสำนักงานบริษัทที่จะเริ่มต้นธุรกิจหรือ คิดอีกครั้งหนึ่ง เราได้มองเห็นบริษัทพันล้านเหรียญส่วนใหญ่เริ่มต้นภายในโรงรถ พวกเขาเริ่มต้นด้วยบางสิ่งบางอย่างที่เล็ก การเริ่มต้นอย่างถ่อมต้วเหล่านี้ได้สอนเราว่าความคิดอย่างน่าทึ่งไม่มีพรมแดน จากโรงรถเช่าไปสู่บริษัทพันล้านเหรียญ ใครก็ตามที่ลุ่มหลงต่อความคิดสามารถเริ่มต้นและพัฒนาความคิดนั้นได้ที่ไหนก็ตาม เรามีบริษัทใหญ่ที่สุดของโลกเก้าบริษัทเริ่มต้นภายในโรงรถคือ แอปเปิ้ล วอลท์ ดิสนีย์ ไมโครซอฟท์ ฮิวเลตต์-เเพคการ์ด เดลล์ อเมซอน กูเกิ้ล ฮาร์เลย์ เดวิดสัน และไนกี้บริษัทที่บรรลุความสำเร็จเรามองเห็นกันวันนี้ใช้หลายทศวรรษของการทำงานหนักที่จะไปถีงตรงที่เป็นอยู่วันนี้ บริษัทเหมือนเช่น กูเกิ้ล อเมซอน แอปเปิ้ล กูเกิ้ล หรือไนกี้ เริ่มต้นด้วยการสร้างสตาร์ทอัพของพวกเขาภายในโรงรถ ห้องใต้ถุน หรือหอพักเป็นต้น บุคคลเบื้องหลังบริษัทเหล่านี้แท้จริงแล้วมีจิตใจธรรมดาถูกกระตุนให้ทำบางสิ่งบางอย่างมีความหมายต่อชีวีตของพวกเขาเลอบรอน เจมส์ ไมเคิล จอร์แดน คริสเทียโน โรนัลโด ไทเกอร์ วูด พวกเขามีอะไรร่วมกัน พวกเขาทุกคนใส่สวูชไนกี้ มันมาจากที่ไหน และแม้แต่ไนกี้หมายถึงอะไร อะไรทำให้บุคคลเชื่อถือตราสินค้า อะไรทำให้บุคคลที่ชอบรองเท้าและนักกีฬาหลงใหลกับมัน เรื่องราวของไนกี้เป็นเรี่องราวของความคิดสร้างสรรค์ ฟิล ไนท์ เป็นจิตใจเบื้องหลังไนกี้ และเขาเป็นบุคคลหนึ่งที่บันดาลใจกรีซโบราณได้ถูกมองเป็นสถานที่เกิดของอารยธรรมตะวันตก ถ้าคุณ ย้อนหลังไป 2500 ปี ต่อสังคมของบุคคลเหล่านี้ คุณจะได้เรียนรู้เทพธิดาที่ยิ่งใหญ่ ลูกสาวของไททัน พัลลาส และเทพธิดาสติกซ์ เธอได้ถูกเคารพเป็นเทพธิดาแห่งชัยชนะ ชื่อของเธอคือ ไนกี้ ภายในหนังสือขายดีที่สุดของเขา “Shoe Dog ” ฟิล ไนท์ ความสนใจของเขาต่่อกรีซโบราณ และได้อธิบายความน่าเกรงขามที่เขาอยู่ ณ วิหารพาร์ เธนอน ภายในกรีซ อย่างไร ระหว่างการเดินทางของเขา เขาได้เขียน “Shoe Dog” บันทึกชีวะประวัติที่น่าทึ่งแก่คุณ เขาต้องการบันดาลใจคุณด้วยการเดินทางของเขาเป็นผู้ประกอบการคนหนึ่ง เขาต้องการแสดงคุณว่าอุปสรรคควรจะไม่เคยสกัดกั้นคุณ เขาบรรลุเป้าหมายของเขาใช่หรือไม่ ใช่ ใช่ และใช่ความฝันที่มีพลังมากที่สุดของเขาคือ การขายรองเท้าวิ่งญี่ปุ่นภายในอเมริกา เขาต้องการไปญี่ปุ่นทำให้มันเกิดขึ้น ประเทศที่อัศจรรย์ทางจิตวิญญานต่อเขา ผมได้ใช้หลายชั่วโมงนั่งบนม้านั่งภายในสวนและอ่านเกี่ยวกับศาสนาของญี่ปุ่น ศาสนาพุทธ และชินโต ผมประหลาดใจกับแนวคิดของเคนโช หรือซาโตริ การเรียนรู้ที่ส่องวาบขึ้นมา ฟิล ไนท์ได้กลายเป็นลุ่มหลงกับการเรียนรู้ ความรู้สึกเป็นเอกลักษณ์ และการสูญเสียตัวเอง ความคิดเหล่านี้ได้นำทางปรัชญาของไนกี้ของเขาเมื่อฟิล ไนท์ ได้พบบริษัทรองเท้าญี่ปุ่น โอนิทสุกะ เขาได้บอกต่อผู้บริหารโอนิทสุกะว่า เขาจะขายโอนิทสุกะ ไทเกอร์ ภายในอเมริกา พวกเขาเห็นด้วยกับข้อเสนอ แต่ฟิล ไนท์ ไม่ได้กลับบ้านทันที คุณสามารถมองเห็นได้ว่าฟิล ไนท์ เป็นนักศิลปะด้วยหัวใจ เขาเดินทางต่อไปทั่วโลก ฟิล ไนท์ใช้การเดินทางเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจส่วนบุคคล ฮ่องกง ไทย ฟิลิปปินส์ เวียตนาม อินเดีย อียิปจ์ อิสราเอล ฝรั่งเศส กรีซ ประเทศเหล่านี้จุดประกายจินตนาการของฟิล ไนท์ เมื่อเขาได้มาถึงกรีซ เขาได้บรรลุความฝันอีกอย่างหนึ่ง เขาได้ไปเยี่ยมอโครโพลีสที่มีชื่อเสียง เขาได้มองเห็นวิหารพาร์เธนอน และวิหารของอเธนาไนกี้ เทพธิดาเเห่งชัยชนะ ต่อมาเหตุการณ์เหล่านี้มีอิทธิพลต่อฟิล ไนท์ภายในการสร้างบริษัทของเขา
ฟิล ไนท์ ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับสงคราม โดยเฉพาะหนังสือเขียนเกี่ยวกับแม่ทัพและผู้นำ วีรบุรุษสามคนของเขาคือ วินสตัน เชอร์ชิล จอห์น เคนเนดี้ และลีโอ ตอลสตอย เขาไม่ชอบสงครามหรือความรุนแรง แต่เขาชอบที่จะเรียนรู้บทเรียนเกี่ยวกับความเป็นผู้นำ เขาต้องการที่จะรู้บุคคลบางคนควบคุมภายในสถานการณ์ที่รุนแรงมากเหมือนเช่นสงครามได้อย่างไร ข้อสังเกตุที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของฟิล ไนท์ คือ การเทียบเคียงธุรกิจต่อสงคราม การเก็บความเจ็บปวดภายในความพ่ายแพ้ พยายามหาจุดเเข็งภายในมัน และใช้บทเรียนชัยชนะที่ยากลำบากสร้างใหม่อนาคต มันเป็นประมาณ ค.ศ 1962 อเมริกาเพิ่งจะทำสงครามกับญี่ปุ่นดังนั้นเมื่อฟิลไนท์ได้ไปเยี่ยมญี่ปุ่นครั้งแรกเพื่อที่จะพบผู้บริหารโอนิทสุกะ ตอนที่ฟิลไนท์นั่งรถแทกซี่ไปโรงแรมดินจีภายในโตเกียว เขาได้มองเห็นว่าแม้ว่า 17 ปีต่อมา เมืองยังคงฟื้นตัวจากการทิ้งระเบิดระหว่างสงครามฟิล ไนท์ ห่วงใยอย่างมากว่าสงครามโลกครั้งที่สองจะปรากฏอยู่ภายในห้องประชุมของโคนิทสุกะหรือไม่ เขากังวลเกี่ยวกับชาวอเมริกัน – ฟิล ไนท์ และชาวญี่ปุ่น – โอนิทสุกะ สามารถเก็บสงครามที่ผ่านไปอย่างเจ็บปวดอย่างไร และก้าวไปสู่การทำงานด้วกันอย่างกันเองเพื่อบลู ลิบบอน แต่ท่าทางของชาวญี่ปุ่นหลายคนไม่ได้แสดงตามตามความห่วงใยของฟิลไนท์ เลยบุคคลแรกคือ นายโอนิทสุกะ ตัวเขาเอง ผู้ก่อตั้งของโอนิทสุกะ ไทเกอร์ได้แสดงการยืนหยัดเฉพาะตัวเขาเองของความพ่ายแพ้ที่ประทับใจบิลล์บาวเวอร์แมนอย่างมาก โอนิทสุกะ ได้บอกบิลล์เกี่ยวกับการก่อตั้งบริษัทรองเท้าของเขาภายในการพังทลายของญี่ปุ่น เมื่อเมืองใหญ่ทุกเมืองยังคงคั่งแค้นจากการทิ้งระเบิดของอเมริกา ฟิล ไนท์ ได้ค้นพบความชื่นชมต่อการยอมรับความพ่ายแพ้อย่างอดทนความพ่ายแพ้ไม่เคยสบายใจ และมักจะอ้างถึงความอ่อนแอหรือเเม้แต่ล้มเหลว แต่ฟิล ไนท์ ได้ค้นพบมันเป็นพลังและเเม้แต่วีรบุรุษ ชาวญี่ปุ่นได้วางสงครามลงอย่างสะอาดเบื้องหลังพวกเขา และสร้างใหม่ประเทศของพวกเขา ภายในวันเริ่มแรก เมื่อบลู ริบบอนอยู่ ณ ระยะเวลาทางการเงินที่ไม่มั่นคง ฟิล ไนท์ ได้กล่าวว่า ถ้าผมล้มเหลว ผมล้มเหลวอย่างรวดเร็วดังนั้นผมมีเวลาเพียงพอ ดำเนินการบทเรียนชัยชนะที่ยากลำบากมันทุกอย่างเริ่มต้นภายในโกเบ ญี่ปุ่น ด้วยชายหนุ่มที่มีชีวิตผจญภัยอยู่เเล้วเบื้องหลังเขา คิฮาชิโร โอนิทสุกะ ขายเบียร์บนตลาดมืดแก่บริษัทหนึ่ง ภายหลังการเป็นทหารของเขาจากสงครามโลกครั้งที่สอง เขามีวิสัยทัศน์ที่จะสร้างบริษัทเพื่ออนาคตของญี่ปุ่น ต่อสู้กับระยะเวลาที่หดหู่ และสร้างโอกาสต่อบุคคลวัยหนุ่มสาวของบ้านเกิดของเขาผลตามหลังของสงครามโลกครั้งที่สองเป็นเวลาของการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าทึ่งภายในญี่ปุ่น การยึดครองโดยพันธมิตรได้บังคับญี่ปุ่นไปสู่ประชาธิปไตย และล้มเลิกจักรวรรดิ์อย่างเป็นทางการภายในทศวรรษแรก ประเทศเกาะสันโดษก่อนหน้านี้ได้ถูกเปิดต่อโลกและเริ่มต้นส่งออกวัฒนธรรมของพวกเขา เมื่อ ค.ศ 1949 ห้าปีภายหลังสงครามโลกได้สิ้นสุดลง ผู้ขายเหล้าเถื่อนก่อนหน้านี้ชื่อ คิฮาชิโร โอนิทสุกะมองเห็นโอกาสใช้ประโยขน์ความลุ่มหลงที่ค้นพบใหม่กับกีฬาอเมริกัน และเห็นได้ชัดที่จะนำชุมชนที่พังทลายจากสงครามมารวมกัน ด้วยการสร้างรองเท้าที่แท้จริงเพื่อนักกีฬาวันหนึ่ง โอนิทสุกะ ได้ยินถ้อยคำ ถ้าคุณไปสวด คุณควรจะสวดเพื่อร่างกายที่เเข็งแรง และจิตใจที่ดี เขาได้พบว่ากีฬาเป็นวิถีทางที่ดีที่สุดของการพัฒนาร่างกายและจิตใจที่ดี ภายในความยุ่งยากภายหลังสงครามกีฬาชัดเจนที่จะช่วยเหลือชาวญี่ปุนวัยหนุ่มสาวฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเขาได้ใช้ชีวิตของเขาทำงานแพร่กระจายความเชื่อนี้ โอนิทสุกะคิดถึงการกลายเป็นผู้สร้่างรองเท้า ทำไมเป็นผู้สร้่างรองเท้า เพราะว่ารองเท้าจำเป็นต่อทุกประเภทของกีฬา ณ เวลานั้น รองเท้าแตะผ้าใบ และถุงเท้าญี่ปุ่น ถูกใช้เพื่อกีฬาส่วนใหญ่บุคคลวัยหนุ่มสาวต้องการรองเท้าทำให้พวกเขาใช้ความแข็งเเรงได้อย่างเต็มที่ และทำลายสถิติ ตาของเขาได้ถูกเปิดต่อความรู้สึกของภารกิจ เเต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความคิดเอาเอง โอนิทสุกะเป็นผู้เริ่มต้นและไม่มีความรู้ร้องเท้าที่เหมาะสมดีที่สุดกับกีฬา ดังนัีนสิ่งเเรกที่เขาได้สร้างคือรองเท้าบาสเกตบอล คำร้องของจากผู้ฝึกสอนโรงเรียนมัธยมปลาย โอนิทสุกะ ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ 1949 โดยคิฮาชิโร โอนิทสุกะ ณ โกเบ ญี่ปุ่น เเละเปิดตัวเริ่มแรกด้วยรองเท้าบาสเกตบอลเท่านั้น การบันดาลใจด้วยตัวดูดของหนวดปลาหมึก เขาได้พัฒนาพื้นตัวดูดที่ปฏิรูปรองเท้าของเขาเพื่อการยึดอย่างน่าทึ่ง เขาได้เริ่มต้นการเดินทางของเขาด้วยโอนิทสุกะครั้งหนึ่งเขาได้มาเยี่ยมแม่ของเขา พวกเขาได้ทานอาหารเที่ยง พวกเขามีสลัดญี่ปุ่น เมื่อเขากินเกือบหมดจาน เขาได้พบชิ้นของปลาหมึกติดอยู่ที่ข้างล่างของจาน ยากที่เขาจะดึงมันจากข้างล่างด้วยตะเกียบสองอันของเขา ณ ช่วงเวลานี้ มันชัดเจนต่อคิฮาชิโร โอนิทสุกะ การใช้เทคโนโลยีนี้ที่จะยึดพื้นได้ดีขึ้น ผลลัพธ์ของอาหารเที่ยงมื้อนี้เป็นรองเท้าบาสเกตบอลด้วยเทคโนโลยีที่เลียนแบบหนวดปลาหมึกด้วยผลลัพธ์ดังกล่าวนี้ เขาได้ทุ่มเทชีวิตของเขามากขึ้นต่อการพัฒนารองเท้าวิ่ง วิวัฒนาการไปสู่การสร้างรองเท้าที่เหนือกว่าน้ำหนักเบาและอากาศหมุนเวียนดี ป้องกันการบวม และรองเท้าใส่สบายมากขึ้น โอนิทสุกะ ได้ทำงานกับนักวิ่งมาราธอน โตรู ทีระซอล เมื่อ ค.ศ 1953 พัฒนารองเท้าวิ่งที่ป้องกันนักวิ่งทางไกลจากเท้าบวม นักวิ่งเอธิโอเปีย อบีบี้ บีกิล่า ใส่รองเท้าวิ่งโอนิทสุกะ ไทเกอร์ เมื่อ ค.ศ 1957 ก่อนหน้านี้ไม่เคยใส่รองเท้าที่จะวิ่ง และเขาได้ตัดสินใจมันเหนือกว่าการวิ่งเท้าเปล่าของเขา โอนิทสุกะมุ่งการขายครั้งแรกภายในตลาดญี่ปุ่น และในไม่ช้า ฟิล ไนท์ ผู้ก่อตั้งบลู ริบบอน ได้กลายเป็นผู้จัดจำหน่ายรายเดียวของโอนิทสุกะภายในอเมริกา
โอนิทสุกะได้มุ่งอย่างต่อเนื่องต่อการกลายเป็นรองเท้าผ้าใบทางเลือกเพื่อนักกีฬาของโลก และได้ทะลุผ่านเมื่อการออกแบบไอคอนของโอนิท สุกะ ไทเกอร์ ได่กลายเป็นที่นิยมแพร่หลายบนเวทีโลกระหว่างโอลิมปิค 1968 ภายในเม็กซิโก ซิตี้ กากบาทเส้นโค้งที่มีชื่อเสียงของแถบโอนิทสุกะ ไทเกอร์ ปรากฏครั้งเเรกภายในโอลิมปิครอบคัดเลือก และต่อมาได้กลายเป็นรองเท้าใช้โดยทีมชาติของญี่ปุ่น
เมื่อ ค.ศ 1978 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อของพวกเขาเป็นเอซิคส์ คำย่อของสุภาษิตลาติน “Anima Sana In Corpore Sano” หมายความว่าจิตใจที่ดีร่างกายที่สมบูรณ์ แต่กระนั้แม้ว่าได้เปลี่ยนชื่อตราสินค้า รองเท้าโอนิทสุกะยังคงถูกขายภายใต้ชื่อต้นกำเนิดของพวกเขา ก้มศรีษะไปสู่ร่องรอยคุณภาพและโต้เเย้งไม่ได้ที่พวกเขาได้ทิ้งไว้กับแฟชั่นและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเมื่อโอนิทสุกะ ได้เจริญเติบโตกลายเป็นเอซิคส์ และไปต่อที่จะสร้างตัวมันเองเป็นหนึ่งของตราสินค้ากืฬาแนวหน้าของโลก พวกเขารู้อยู่เสมอว่าจิตวิญญานของมรดกต้องมีชีวิตอยู่ ประวัติที่ภูมิใจตัวมันเองต่อการเป็นช่างฝีมือของญี่ปุ่นรวมกับกีฬาที่ไร้เวลาได้ถูกค้นพบบนลู่วิ่ง และต่อมาได้ถูกใส่บนถนนโอนิทสุกะอาจจะได้การเริ่มต้นของมันภายในสนามกีฬา แต่อิทธิพลของมันในไม่ช้าได้แพร่กระจายไปสู่วัฒนธรรมประชานิยม บรูซ ลี ได้ปรากฏใส่ชุดจั้มสูทสีเหลืองและรองเท้าโอนิทสุกะสีเหลืองและดำของภาพยนตร์ 1978 “Game of Death” ด้วยชุดเสื้อผ้าและรองเท้าได้ถูกเลือก เพราะว่าม้นคล้ายคลึงกับสีของเสือโอนิทสุกะ ได้บอกบิลล์ บาวเวอร์เเมน เกี่ยวกับการก่อตั้งบริษัทของเขาภายในการพังทลายของญี่ปุ่น เมื่อทุกเมืองใหญ่ยังคงคุกรุ่นจากการทิ้งระเบิดของอเมริกา เขาได้สร้างรองเท้าบาสเกตบอล แม้ว่ารองเท้าบาสเกตบอลของเขาขายไม่ได้ โอนิทสุกะ ไม่ยอมแพ้ เขาเพียงแค่เปลี่ยนแปลงไปสู่รองเท้าวิ่ง นักวิ่งญี่ปุ่นทุกคนภายใน 1964 โอลิมปิคเกม ได้ใส่โอนิทสุกะ ไทเกอร์โอนิทสุกะ ได้บอกบิลล บาวเวอร์แมนว่าแรงบันดาลใจต่อพื้นเฉพาะบน ไทเกอร์ มาจากหนวดปลาหมึกภายในจาน ในขณะที่เขากำลังกินสลัดปลาหมึก มองลงที่จานของเขา ณ ด้านล่างของหนวดปลาหมึก เขาคิดว่าคล้ายกับยางดูดอาจจะใช้ได้บนพื้นรองเท้าของนักวิ่ง เขาได้เปรียบเทียบการยึดของรองเท้าต่อพลังดูดของหนวดปลาหมึก ด้วยจุดแข็งนี้ รองเท้าทำให้นักกีฬายกระดับเกมของพวกเขาได้
เมื่อทำงานกับบุคคล เรามีวิถีทางสองอย่างดูเหมือนอยู่ ณ ปลายสุดของเส้นตรง บอกพวกเขาทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างไร หรืออย่าบอกพวกเขาทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างไร ฟิล ไนท์ เลือกอย่างหลัง บางสิ่งบางอย่างที่เขาได้เรียนรู้จากนายพลจอร์จ แพตตัน ปรัชญาความเป็นผู้นำของเขาบันดาลใจโดยคำพูดอ้างอิงของนายพลจอร์จ แพตตัน
“อย่าบอกบุคคลทำอะไรอย่างไร บอกพวกเขาทำอะไร และปล่อยพวกเขาประหลาดใจเราด้วยผลลัพธ์ของพวกเขา”ฟิล ไนท์ ต้องการปล่อยให้บุคคลเป็นตัวพวกเขาเอง ภายในการทำสิ่งนี้ ฟิล ไนท์ ไม่ยอมบริหารแบบไมโครกับบุคคลของเขา การว่าจ้างบุคคลที่ยิ่งใหญ่ และปล่อยให้พวกเขาทำอะไรของพวกเขาเป็นส่วนที่สำคัญต่อความสำเร็จของไนกี้ ฟิล ไนท์ ให้โอกาสบุคคลที่จะเจริญเติบโต ประหลาดใจ และประทับใจเขา และมันบังเกิดผล พนักงานขายของเขายึดครองความเป็นเจ้าของความสำเร็จของพวกเขา และมักจะเลยพ้นความคาดหวังของเขา บดขยี้ตัวเลขขายของพวกเขา ในฐานะของผู้จัดการขาย มันสามารถล่อใจที่จะบริหารแบบไมโคร แตควรจะพิจาณาวิถีทางการบริหารนี้แทน บทเรียนหนึ่งที่ผมได้จากโรงเรียนของผมเกี่ยวกับวีรบุรุษคือ พวกเขาไม่พูดมาก ไม่มีใครเลยปากพล่อย ไม่มีใครเลยจู้จี้ อย่าบอกบุคคลให้ทำอย่างไร บอกพวกเขาต้องทำอะไร และปล่อยให้พวกเขาประหลาดใจเรากับผลลัพธ์ของพวกเขา ดังนั้นฟิล ไนท์ได้พยายามเป็นผู้นำไม่ก้าวก่ายอย่างมาก ณ ไนกี้ เขายอมให้บุคคลแก้ปัญหาด้วยตัวพวกเขาเองกลยุทธ์ของเขาคือ การบอกบุคคลทำอะไร แต่ไม่ใช่อย่างไร บรรลุความสำเร็จอย่างชัดเจน ส่วนที่สำคัญอย่างหนึ่งของกลยุทธ์ของฟิล ไนท์ คือ การเลือกที่จะว่าจ้างบุคคลที่ลุ่มหลงเกี่ยวกับการวิ่งเหมือนเขา มันได้ทำให้พวกเขารู้สึกลุ่มหลงเกี่ยวกับภารกิจของไนกี้ระหว่างการเดินทางของเขา ความคิดที่บ้ายังคงอยู่ข้างในจิตใจของเขา นั่นคือทำไมใกล้สิ้นสุดการเดินทาง เขาได้วางแผนลงที่ญี่ปุน เขาต้องการจะพูดกับบริษัทผลิตรองเท้าที่นี่ เขาไม่แน่ใจเขาจะบรรลุความสำเร็จ แต่เขาได้ตัดสินใจที่จะมองเห็นถ้าบางสิ่งบางอย่างสามารถทำได้เกี่ยวกับความคิดที่บ้าของเขา ฟิล ไนท์ มาถึงญี่ปุ่นและติดต่อไปที่บริษัทรองเท้าชื่อโอนิทสุกะผลิตรองเท้าไทเกอร์ เราจินตนาการดูว่าฟิล ไนท์ เพิ่งจะมีอายุยี่สิบกว่า ไม่มีประสบการณ์ทางธุรกิจ และเขาได้เดินเข้าไปบริษัทญี่ปุ่นอย่างแท้จริงนี้ และนั่งที่โต๊ะประชุมกับนักธุรกิจญี่ปุ่นที่จริงจังเหล่านี้ บริษัทคิดว่าฟิล ไนท์เป็นตัวแทนบริษัทอเมริกัน ในขณะที่เขาเป็นเพียงเด็กบางคนที่ไปญี่ปุ่นคนเดียว เมื่อชาวญี่ปุ่นถามเขาเป็นตัวแทนบริษัทอะไร ฟิล ไนท์ กล่าวว่า บูล ริบบอน นั่นเป็นชื่อแรกที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเขา เพราะว่าเขาคิดถึงบูล ริบบอนที่เขาชนะภายในกีฬาของโรงเรียน น่าประหลาดใจ โอนิทสุกะ มองเห็นโอกาสภายในอเมริกาด้วย พวกเขาตกลงที่จะให้ฟิล ไนท์ ขายรองเท้าของพวกเขาภายในอเมริกา และเพียงแค่นี้บริษัทของเขา บูล ริบบอน ได้กำเนิดขึ้นมา ฟิล ไนท์ ได้ออกคำสั่งซื้อครั้งแรกรองเท้าไทเกอร์ไม่กี่พันคู่ที่จะผลิตและส่งไปอเมริกา เมื่อเขาลงนามคำสั่งซื้อ เขาไม่ได้มีเงินที่จะจ่ายแค่ารองเท้า ไม่รู้ว่าเขาจะได้เงินมาอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามเขาได้สั่งซื้อรองเท้า การมีความเชื่อมั่นตัวเขาเองที่เขาจะค้นหาข้อแก้ปัญหาได้ เขากลับไปอเมริกาและได้บิลล์ บาวเวอร์แมน ผู้ฝึกสอนการวิ่งก่อนหน้านี้ของเขาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของเขา ฟิล ไนท์ ลุ่มหลงเกี่ยวกับพลังของการวิ่งและกีฬา และเขาเชื่อว่ารองเท้าไนกี้ควรจะช่วยเขากระจายความลุ่มหลงนี้ไปสู่บุคคลมากขึ้น
Cr : รศ สมยศ นาวีการ