กิติมา อมรทัต ไร่นาน อรุณรังษี สองปัญญาชนมุสลิมร่วมสมัย (23)
กิติมา อมรทัต ไร่นาน อรุณรังษี สองปัญญาชนมุสลิมร่วมสมัย (23)
จรัญ มะลูลีม
คำนำของอิสมาอีล รอญี อัลฟารูกี
หนังสือหะยาตมุฮัมมัดของ ดร.ฮัยกัลมีเรื่องราวยืดยาวและแปลกอยู่ เมื่อโรงพิมพ์มหาวิทยาลัยชิคาโกได้แปลและจัดพิมพ์ออกเป็นภาษาอังกฤษ ก็ได้รับการพูดถึงจากผู้เชี่ยวชาญ ชาวตะวันตกเป็นจำนวนมากในทศวรรษที่สี่สิบและต้นทศวรรษที่ห้าสิบ ทั้งๆ ที่แลเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าจำเป็นจะต้องมีหนังสือชีวประวัติของท่านศาสดาที่เขียนอย่างมีความเห็นอกเห็นใจและอย่างนักวิชาการ แต่กระนั้นก็ดีการเจรจากันก็เป็นไปหลายปีกว่าจะจบ อย่างไรก็ดีก็ยังไม่มีการตกลงกันแต่อย่างใดจนกระทั่ง ค.ศ. 1964 เมื่อการจัดแปลสำเร็จเรียบร้อยลงในปี 1968 และได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงแห่งกิจการอิสลาม กรุงไคโรประเทศอียิปต์และโรงพิมพ์มหาวิทยาลัยชิคาโก มีการตรวจต้นฉบับเสร็จแล้วและเริ่มจัดพิมพ์จริงๆ ก็ได้มีพลังอันลึกลับมาขัดขวางไว้ แล้วโรงพิมพ์มหาวิทยาลัยชิคาโกก็ได้ถอนตัวไปจากข้อตกลงแต่ข้างเดียว
ได้มีการตกลงกันใหม่อีกระหว่างผู้แปลกับโรงพิมพ์มหาวิทยาลัยเทมเปิล โดยใช้ข้อตกลงอย่างเดียวกับโรงพิมพ์มหาวิทยาลัยชิคาโก ในปี 1969 แต่เวลาห้าปีก็ผ่านไปโดยไม่มีการลงมืออะไรหรือมีแต่เพียงเล็กน้อย ครั้งแล้วก็มีพลังลึกลับมาขัดขวางได้อีก เป็นผลให้โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยเทปเปิล ถอนตัวไปจากข้อตกลงแต่ฝ่ายเดียวอีก
การต่อต้านโดยเจตนาต่อการจัดพิมพ์งานนี้มิได้ทำให้ผู้แปลหมดกำลังใจในการที่จะจัดการตระเตรียมการแปลขึ้นใหม่ด้วยการให้กำลังใจของสมาคมนักศึกษามุสลิมแห่งสหรัฐอเมริกาและแคนาดา อันเป็นตัวแทนหนึ่งที่สนใจในการส่งเสริมวิชาการอิสลาม
อิสมาอีล รอญี อัลฟารูกี
มหาวิทยาลัยเทมเปิล
มลรัฐฟิลาเดลเฟีย
เดือนซอฟัร ฮ.ศ. 1396/กุมภาพันธ์ 1976
คำนำของชัยค์ แห่งอัลอัซฮัร
ในขณะที่ชัยค์ มุศเฎาะฟา อัลมะรอฆีแห่ง อัลอัซฮัร กล่าวว่า นับตั้งแต่มนุษย์อุบัติขึ้นบนโลกนี้ เขาก็มีความวิตกกังวลใคร่จะแทงทะลุเข้าไปในจักรวาล และค้นหากฎเกณฑ์และความลี้ลับของมัน เขายิ่งรู้มากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งมีความรู้สึกพิศวงในความยิ่งใหญ่ของจักรวาล และเขายิ่งรู้สึกถึงความอ่อนแอของตนเองและแลเห็นเหตุผลน้อยลงที่จะหลงละเมอไป ท่านนบีแห่งอิสลาม (ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานสันติแก่ท่านด้วย) นั้นคล้ายคลึงกับจักรวาลเป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่แรกเริ่มทีเดียว นักวิชาการได้ทำงานหนักในอันที่จะค้นหาความเป็นมนุษย์อันยิ่งใหญ่ของท่านในแง่มุมต่างๆ เพื่อจะได้ประจักษ์ถึงคุณลักษณะอันประเสริฐในความคิดนึกของท่าน ลักษณะและความปรีชาของท่าน แน่นอนคนเหล่านั้นได้บรรลุถึงความรู้เป็นจำนวนมากพอดู แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขายังจับไม่ได้ก็ยังมีอีกมาก จึงยังคงมีหนทางอันยาวไม่รู้จบทอดอยู่เบื้องหน้า
ความเป็นศาสดานั้นเป็นพรสวรรค์ที่มิอาจหาเอาเองได้ ด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์อัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้า ทรงประทานให้แก่ผู้ที่พร้อมสำหรับพรนั้นและมีความสามารถที่จะดำเนินภารกิจนั้นได้ พระองค์ทรงทราบดีที่สุดว่าความเป็นนบีจะมีประโยชน์ที่สุดได้เมื่อไรและที่ไหน ท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) เป็นผู้พร้อมที่จะนำเอาสารแห่งศาสดาไปสู่มนุษยชาติทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์ได้ ท่านได้รับการเตรียมพร้อมที่จะนำคำสั่งสอนของศาสนาที่สมบูรณ์ที่สุดที่จะเป็นข้อสรุปสุดท้ายของความเป็นศาสดา เป็นแสงสว่างที่ไม่มีแสงสว่างใดเทียบเท่าได้ ในการนำทางไปชั่วนิรันดร
ความไม่มีผิดพลาของศาสดาท่านต่างๆ ในการนำสารและการกระทำหน้าที่ที่ได้รับความไว้วางใจจากพระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นเรื่องที่นักวิชาการทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันมาเป็นเวลานานแล้ว เมื่อศาสดาได้รับเลือกให้ทำงานนั้น การนำข่าวสารของท่านและการปฏิบัติหน้าที่ที่ท่านได้รับมอบหมายมานั้น ท่านไม่ได้รับรางวัล งานของศาสดาทั้งหลายนั้นเป็นผลลัพธ์อันจำเป็นของการเปิดเผยของพระผู้เป็นเจ้า (วะหฺยุ) เช่นนั้น ศาสดาทั้งหลายย่อมมีข้อผิดพลาดได้อย่างแท้จริงเหมือนคนอื่นๆ ทั้งหลาย แต่ความแตกต่างของศาสดานั้น อยู่ที่ว่าพระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงปล่อยให้ความผิดพลาดเป็นไปเช่นนั้น แต่ทรงแก้ไขให้ถูกต้องและมีอยู่บ่อยๆ ที่ได้ทรงตำหนิศาสดาที่ทำผิดพลาดไป
ศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ได้รับคำสั่งให้นำเอาสารของพระผู้เป็นเจ้าไปเผยแพร่ แต่ไม่มีใครแสดงให้ท่านเห็นว่าจะนำคำสั่งนั้นไปอย่างไร หรือจะปกป้องผลแห่งงานของท่านได้อย่างไร ท่านได้รับการปล่อยให้ทำหน้าที่ของท่านตามที่สติปัญญา และความปรีชาของท่านจะนำไปเหมือนกับผู้มีเหตุผลสติปัญญาอื่นๆ วะหฺยุ (วิวรณ์) ที่ได้รับนั้นมีความแม่นยำชัดเจนอย่างสมบูรณ์ในทุกๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับสภาพอันแท้จริง ความเป็นหนึ่งคุณลักษณะและการเคารพภักดี (อิบาดะฮฺ) แด่พระผู้เป็นเจ้า แต่นี่ก็มิใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันสังคมคือครอบครัว, หมู่บ้านและเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสถาบันต่างๆ ที่กล่าวมานี้และกับรัฐอื่นๆ ดังนั้นจึงมีขอบเขตที่กว้างขวาง สำหรับจะทำการวิจัยในเรื่องความยิ่งใหญ่ของท่านศาสดา ก่อนหน้าที่ท่านจะมารับภาระเป็นศาสดา รวมทั้งหลังจากที่ท่านเป็นศาสดาแล้วด้วย ท่านได้กลายเป็นผู้สื่อสารสำหรับพระผู้เป็นเจ้าของท่าน คอยเรียกร้องผู้คนให้มาหาพระองค์ คอยปกป้องศาสนาใหม่นี้และรับประกันอิสรภาพ และความปลอดภัยของผู้สั่งสอนศาสนาอิสลาม ท่านได้กลายเป็นผู้สื่อสารสำหรับพระผู้เป็นเจ้าของท่าน ท่านได้กลายเป็นผู้ปกครองของประชาชาติอิสลาม เป็นผู้บัญชาการในยามสงคราม และเป็นครูเป็นผู้พิพากษา และผู้จัดการกิจการภายในและภายนอกทั้งหมดของประชาชาติอิสลาม ตลอดเวลาที่ท่านทำหน้าที่นี้ ท่านได้สร้างความยุติธรรมและช่วยทำให้ชาติและกลุ่มต่างๆ ที่ไม่มีความสัมพันธ์กันและมีเจตนาร้ายต่อกันให้ปรองดองกัน ความเฉลียวฉลาด มีสายตาไกล มีสติปัญญาหลักแหลม มีความคิดนึกและมีความตั้งใจจริงของท่าน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในทุกสิ่งที่ท่านพูดและทำ ความรู้หลั่งไหลและความคล่องแคล่ว ก็เกิดขึ้นจากตัวท่านจนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ต่างก็น้อมศีรษะด้วยความเกรงกลัวและพิศวง ท่านจากโลกนี้ไปด้วยความพอใจในงานของท่าน มั่นใจในความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าและได้รับความขอบคุณจากผู้คน ชีวิตในด้านต่างๆ เหล่านี้ของท่านศาสดาสมควรได้รับการศึกษาและวิจัยเป็นพิเศษ
ชีวประวัติของท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ก็เช่นเดียวกับชีวประวัติของผู้ยิ่งใหญ่ท่านอื่นๆ ได้ถูกขยายออกไปโดยเรื่องราวที่คิดเอาเองต่างๆ นานา ไม่ว่าจะโดยความบริสุทธิ์ใจหรือเจตนาที่อำพรางไว้ โดยเจตนาหรือโดยบังเอิญก็ตาม อย่างไรก็ตาม ชีวประวัติของท่านศาสดาก็ไม่เหมือนกับชีวประวัติของท่านอื่นๆ คือส่วนใหญ่ของชีวประวัติรวมอยู่ในวะหฺยุของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นจึงได้รับการรักษาไว้ในคัมภีร์กุรอานอันบริสุทธิ์ อีกส่วนหนึ่งที่ใหญ่พอดูได้รับการรักษาไว้ให้เราอย่างปลอดภัยโดยผู้เล่าที่เชื่อถือได้จากแหล่งต่างๆ ที่ไม่มีผิดพลาดเหล่านี้ ควรจะสร้างชีวประวัติของท่านศาสดาได้ และควรจะทำการสำรวจดูความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่และปัญหาสลับซับซ้อนต่างๆ อีกทั้งควรจะสร้างหลักศีลธรรมขึ้นมาด้วยเรื่องต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของมันที่ควรจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ และควรมีการพิจารณาให้ดีถึงการวิเคราะห์แบบนักวิชาการในเรื่องสภาพของเวลาและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งความเชื่อ สถาบันและขนบธรรมเนียมที่มีอยู่ทั่วไป
ในหนังสือ ชีวิตของท่านศาสดามุฮัมมัด (ใช้ชื่อไทยว่าศาสดามุฮัมมัดมหาบุรุษแห่งอิสลาม) ของดร.ฮัยกัลได้ให้ความรู้เกี่ยวกับชีวประวัติของศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) แก่เรา ซึ่งข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้อ่านส่วนหนึ่งก่อนที่จะตีพิมพ์ ดร.ฮัยกัลนั้นเป็นที่รู้จักกันดีของบรรดานักอ่านภาษาอาหรับ หนังสือหลายเล่มที่ท่านเขียนทำให้ไม่จำเป็นต้องมีการแนะนำตัวท่าน ท่านศึกษากฎหมายและมีความคุ้นเคยกับตรรกศาสตร์และปรัชญา สภาพส่วนตัวและอาชีพของท่านทำให้ท่านสามารถศึกษาถึงวัฒนธรรมโบราณและวัฒนธรรมสมัยใหม่ และได้เรียนรู้จากวัฒนธรรมทั้งสองนั้นเป็นอย่างมาก ท่านเคยบรรยายและโต้วาที เคยโจมตีและปกป้องปัญหาต่างๆ ในเรื่องความเชื่อ เรื่ององค์การสังคมและการเมือง ความมีวัยวุฒิของความนึกคิดของท่านนั้นคู่ควรกับความรู้ของท่าน ซึ่งมีอยู่อย่างสมบูรณ์และการที่ท่านได้อ่านหนังสือมามาก ท่านโต้เถียงอย่างมีพลังและมั่นใจ ท่านปฏิบัติต่อเรื่องของท่านด้วยเหตุผลที่มั่นคงและแบบอย่างของท่านเอง การตระเตรียมเช่นนี้มีอยู่เบื้องหลังหนังสือของ ดร.ฮัยกัล ในบทนำของท่าน ดร.ฮัยกัลได้เขียนไว้ว่า “ไม่ควรมีใครคิดว่าการวิจัยเรื่องชีวิตของท่านศาสดามุฮัมมัดได้จบสิ้นลงแล้วด้วยงานชิ้นนี้ และข้าพเจ้าก็มิได้กล่าวอ้างเช่นนั้นเลย สิ่งที่ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น สำหรับข้าพเจ้าก็คือการกล่าวว่างานของข้าพเจ้านั้นที่จริงเป็นเพียงการเริ่มต้นของการค้นคว้าวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์เป็นภาษาอาหรับในด้านนี้” ท่านผู้อ่านอาจจะรู้สึกแปลกใจถ้าเราจะชี้ให้เห็นความละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างมากของวิธีการเชิงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กับคำเรียกร้องของท่านศาสดามุฮัมมัด ในวิธีการเชิงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้นผู้ทำการสำรวจต้องเก็บความเชื่อของเขาเองไว้เสียและต้องหลีกเลี่ยงจากการตัดสินอะไรไว้ล่วงหน้า ให้เริ่มต้นการสังเกตการณ์ของเขาโดยการใช้ข้อมูล ครั้นแล้วก็ดำเนินไปสู่การทดลอง การเปรียบเทียบ การจำแนกประเภท และในที่สุดก็ไปสู่การสรุปความซึ่งขึ้นอยู่กับขั้นตอนตามวัตถุประสงค์เหล่านี้ ดังนั้นข้อสรุปที่ได้มาก็จะเป็นเชิงวิทยาศาสตร์ เนื่องจากว่ามันอยู่ใต้การทดสอบและการวิเคราะห์อย่างจริงจังต่อไปได้ มันจะเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ไปตราบเท่าที่การค้นคว้าเชิงวิทยาศาสตร์ต่อไปจะยังไม่พิสูจน์ให้เห็นว่าหลักฐานที่เป็นรากฐานของข้อสรุปนั้นไม่ถูกต้อง จริงอยู่วิธีการเชิงวิทยาศาสตร์นั้นคือ ความสำเร็จสูงสุดของมนุษยชาติในความพยายามที่จะปลดปล่อยความคิดของมนุษย์ให้เป็นอิสระ แต่ที่จริงนั้นมันก็เป็นวิธีการของศาสดามุฮัมมัดและเป็นรากฐานของคำเรียกร้องของท่าน
วิธีการใหม่ของ ดร.ฮัยกัลนั้นก็คือวิธีการของกุรอานอย่างแท้จริง เพราะท่านได้ใช้เหตุผลเป็นตัวตัดสิน และใช้พยานหลักฐานเป็นพื้นฐานของความรู้ ท่านปฏิเสธอนุรักษ์นิยมและพวกที่ชอบอนุรักษ์นิยม ท่านเห็นด้วยกับหลักการของพระมหาคัมภีร์กุรอานทีว่า “ความคิดเห็นและการเตานั้น มิใช่ส่วนประกอบที่แท้จริงของความรู้” (กุรอาน 53 : 28) ดร.ฮัยกัลได้ตำหนิผู้ที่เดาเอาโดยไม่มีหลักฐาน ผู้ที่ถือว่าของเก่าโดยอายุเท่านั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านได้มอบคำสอนเรื่องความจริงแท้ให้แก่ผู้ที่มีความสามารถที่จะรับไว้ได้ ท่านศาสดามุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) มีปาฏิหาริย์ที่มิอาจต่อต้านได้อยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือกุรอาน แต่กุรอานก็มิใช่สิ่งที่ไร้เหตุผล ข้อความของอัลบุซัยรีนั้นช่างหลักแหลมนัก เขากล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงทดสอบเราด้วยสิ่งใดที่ไร้เหตุผล ดังนั้นเราจึงไม่ตกอยู่ในความสงสัยหรือภาพลวงใดๆ”