สุนัขจิ้งจอกทำหลายสิ่ง แต่เม่นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างเดียว
สุนัขจิ้งจอกทำหลายสิ่ง แต่เม่นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างเดียว
นักปรัชญากรีก อาร์ชิโลคัส ได้สรุปนิยายเม่นและสุนัขจิ้งจอกว่า สุนักจิ้งจอกรู้หลายสิ่ง แต่เม่นรู้สิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างเดียว มันจบลงอยู่เสมอด้วยสุนัขจิ้งจอกถูกต่อต้าน การล่าถอยด้วยจมูกเต็มไปด้วยหนามของเม่น เม่นสามารถทำสิ่งเดียวเท่านั้น และทำได้อย่างสมบูรณ์ มันป้องกันตัวมันเองด้วยการขดตัวเป็นก้อนกลม และยกหนามของมัน จิม คอลลินได้ประยุกต์กับการเปรียบเทียบกับบริษัทภายในหนังสือของเขา Good to Great จิม คอลลินส์ ได้อธิบายเรามีบริษัทสองประเภท บริษัทที่ดีและบริษัทที่ยิ่งใหญ่ บริษัทบางบริษัทฉลาดและชั้นเชิง ออกแบบกลยุทธ์มากมาย และมุ่งเป้าหมายหลายอย่างเวลาเดียวกัน บริษัทเหล่านี้เป็นสุนัขจิ้งจอก แต่บริษัทบางบริษัทมุ่งที่สิ่งเดียว การทำให้โลกที่ซับซ้อนเรียบง่ายเป็นความคิดเดียว บริษัทเหล่านี้เป็นเม่น จิม คอลลินส์ ได้ใช้
ความเข้าใจการเปรียบเทียบแยกบริษัทที่ดีออกจากบริษัทที่ยิ่งใหญ่
บุคคลที่เริ่มต้นบริษัทใหญ่และทำให้มันบรรลุความสำเร็จสามารถเปรียบเทียบได้กับเม่น พวกเขามุ่งสิ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่ บริษัทที่มุ่งหลายสิ่งครั้งเดียวเป็นสุนัขจิ้งจอก พวกเขาสามารถสูญเสียจุดมุ่ง ทำลายโอกาสความสำเร็จของพวกเขา แม้ว่าเม่นช้าและฉลาดน้อยเปรียบเทียบกับสุนัขจิ้งจอก มันสามารถทำให้โลกรายรอบมันเรียบง่าย การทำให้เม่นมุ่งที่วิสัยทัศน์อย่างเดียว
ความเเตกต่างเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญระหว่างบริษัทดีไปสู่ยิ่งใหญ่และบริษัทที่เปรียบเทียบอยู่ที่ความแตกต่างรากฐานคือ บริษัทดีไปสู่ยิ่งใหญ่สร้างกลยุทธ์ของพวกเขาบนความเข้าใจอย่างลึกซึ้งตามมิติที่สำคัญสามอย่าง – สิ่งที่เราเรียกว่าแนวคิดของเม่น
“เเนวคิดของเม่น” ของจิม คอลลคินส์ กล่าวว่า มันดีกว่าที่จะมุ่งการทำสิ่งเดียว แทนที่จะกระจายความพยายามระหว่างหลายสิ่ง มันเดินตามว่าองค์การควรจะมุ่งบางสิ่งบางอยาางที่พวกเขาดีที่สุด ลุ่มหลงเกี่ยวกับมัน และทำกำไร เขายืนยันว่าบริษัทน่าจะบรรลุความสำเร็จมากกว่า ถ้าบริษัทมุ่งทำสิ่งเดียวได้ดีมาก การนำเสนอธุรกิจที่กระจายหลายอย่างสามารถทำลายความสามารถแข่งขันภายในธุรกิจอย่างเดียว ดังนั้นบริษัทควรจะพยายามระบุแนวคิดของเม่นของพวกเขา และลงทุนทรัพยากรทุกอย่างภายในสิ่งนั้น นี่เป็นกลยุทธ์การแข่งขันระยะยาวทนต่อการแข่งขัน และทำให้บริษัทอยู่รอดได้
ชื่อเเนวคิดของเม่น มาจากนักปรัชญากรีกโบราณ อาชิโลคัส เขียนว่า สุนัขจิ้งจอกรู้หลายสิ่ง แต่เม่นรู้สิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างเดียว เรามีการตีความแตกต่างกันหลายอย่างของข้อความนี้ แต่ ณ ที่นี่ เรามุ่งวิถีทางที่มันเกี่ยวพันกับผลงานของจิม คอลลินส์ สุภาษิตนี้ยึดข้อเท็จจริงที่สุนัขจิ้งจอกมีเล่ห์เหลี่ยมหลายอย่างพยายามจะกินเม่น โดยพื้นฐานสุนัขจิ้งจอกเป็นนักล่าที่ฉลาด สามารถได้อาหารโดยวิธีการหลายอย่าง เม่นรู้เพียงแค่วิธีการอย่างเดียวของการรอดชีวิตจากการล่าของสุนัขจิ้งจอก ในขณะที่สุนัขจิ้งจอกมีความสามารถหลายอย่าง เม่นมีความสามารถอย่างเดียวเท่านั้น
ัเมื่อสุนัขจิ้งจอกโจมตีเม่น เม่นบรรลความสำเร็จอยู่เสมอภายในการป้องกันตัวมันเอง ไม่ว่าสุนัขจิ้งจอกจะพยายามอย่่างไร แต่เม่นมีเพียงแค่การตอบสนองที่พยายามและทดสอบแล้วอย่างเดียว ขดตัวเป็นก้อนกลมที่ป้องกันตัวมันเอง
ภายในหนังสือ Good to Great จิม คอลลินส์ ได้เล่าเรื่องซีอีโอของวอลกรีนส์ ชาร์ล “คอร์ค” วอลกรีน ได้เจริญเติบโตบริษััท เป็นลูกโซ่การค้าปลีกยาใหญ่ที่สุดภายในอเมริกาอย่างไร เราลงทุน 1 เหรียญลงทุนภายในวอลกรียส์เมื่อ ค.ศ 1975 พุ่งสูงขึ้นเป็น 562 เหรียญเมื่อ ค.ศ 2000 ภายใต้ความเป็นผู้นำของเขา ชนะดัชนีตลาดหุ้นสูงกว่าสิบห้าเท่า ระหว่างเวลานี้วอลกรีนส์ ได้ดำเนินการแนวคิดที่สำคัญ : สร้างร้านขายยาดีที่สุด สะดวกที่สุดภายในอเมริกา
ปัญหาอย่างหนึ่งที่วอลกรีนส์เผชิญในขณะที่ดำเนินการกลยุทธ์นี้เป็นการระบุตัวชี้วัดเเกน สอดคล้องกับสิ่งจูงใจของผู้นำภายในบริษัท ไปสู่แนวคิดของความสะดวก สมัยเดิมลูกโซ่ค้าปลีกใหญ่ รวมทั้งเอคเคิรด คู่แข่งขันที่สำคัญของวอลกรีนส์ภายในปลาย ค.ศ 1900 วัดความสำเร็จบนพื้นฐานของกำไรต่อร้านค้า แต่กระนั้นตัวชี้วัดนี้ จูงใจบริษัทเหล่านี้ลดจำนวนของร้านค้าที่สะดวกแต่ต้นทุนแพง และซื้อร้านค้าที่สะดวกน้อยลง ณ ราคาถูกกว่า และทำเลที่ตั้งไกลกว่า
ดังที่จิม คอลลินส์ ได้อธิบายว่า วอลกรีนส์ ตัดสินใจอย่างฉลาด เปลี่ยนแปลงตัวชี้วัดแกน ไม่ยอมรับตัวชี้วัดสมัยเดิม
“วอลกรีนส์ เปลี่ยนแปลงจุดมุ่งของพวกเขาจากกำไรต่อร้านค้า ไปเป็นกำไรต่อการเยี่ยมของลูกค้า ทำเลที่ตั้งสะดวกต้นทุนแพง แต่ด้วยการเพิ่มกำไรต่อการเยี่ยมของลูกค้า วอลกรีนส์สามารถเพิ่มความสะดวกได้ – เก้าร้านค้าภายในหนึ่งไมล์ และพร้อมกันเพิ่มการทำกำไรทั่วทั้งระบบ มาตรฐานตัวชี้วัดของกำไรต่อร้านค้าขัดแย้งกับแนวคิดของความสะดวก”
การเปรียบเทียบระหว่างแจ็ค เอคเคิรด และคอร์ค วอลกรีน น่าตะลึง ในขณะที่แจ็ค มีความฉลาดต่อการเลือกร้านค้าเหมาะสมที่จะซื้อ คอร์ค มีความฉลาด
ต่อการเลือกบุคคลเหมาะสมที่จะว่าจ้าง
ชาร์ลส์ วอลกรีนที่สาม นำร้านขายยาที่ใช้ชื่อครอบครัวของเขาผ่านช่วงเวลา
ของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ การกำจัดธุรกิจรอบนอกหลายอย่าง และมุ่งที่การเจริญเติบโตของธุรกิจยา นักนวัตกรรมภายในการแนะนำเทคโนโลยีต่อการดำเนินงาน ชาร์ลส์ วอลกรีน – รู้จักกันด้วยชื่อเล่นของเขา “คอร์ค” ได้ปฏิรูปฐานการค้าปลีกวอลกรีนส์ การเปลี่ยนแปลงร้านค้าจากร้านค้าต่อกันเป็นแนวไปสู่ร้านค้าอิสระ ความเป็นผู้นำของคอรค ไม่เพียงแต่ผู้ถือหุ้นร่ำรวยขึ้นเท่านั้น
เเต่ประชาชนหลายหมื่นคนมีอาชีพที่ยิ่งใหญ่และการเกษียนที่สุขสบาย
ชาร์ลส์ “คอร์ค” วอลกรีนที่สาม เป็นหนึ่งของสิบเอ็ดซีอีโอ ระบุโดยจิม
คอลลินส์ นำบริษัทที่ดีไปสู่ความยิ่งใหญ่ ชาร์ลส์ วอลกรีนที่สาม กลายเป็น
ซีอีโอของวอลกรีนส์ เมื่อ ค.ศ 1971 และเกษียณจากซีอีโอเมื่ิอ ค.ศ 1998 ในฐานะของซีอีโอ เขาทำการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ การวางตำแหน่งใหม่บริษัท และนำไปสู่นานกว่าสองทศวรรษของการเจริญเติบโตของยอดขายและรายได้ที่เหนือกว่า
จิม คอลลินส์ ได้ระบุ คอร์ค วอลกรีน เป็น ” ผู้นำระดับ 5″ เขาอ้างว่าผู้นำระดับ5 รวมความมุ่งมั่นทางวิชาชีพกับความถ่อมตัวส่วนบุคคล การปฏิรูปบริษัทที่ดีไปสู่ยิ่งใหญ่ไม่สามารถเกิดขึ้นโดยไม่มีผู้นำระดับ 5 ณ ตำแหน่งผู้นำ ภายใต้ความเป็นผู้นำของชารลส์ วอลกรีนที่สาม จำนวนของร้านค้าได้เจริญเติบโตมากกว่า 2,400 แห่งจาก 561 แห่ง และยอดขายต่อปีเพิ่มลูงขึ้นเป็น 13 พันล้านเหรียญจาก 817 ล้านเหรียญ เขาเป็นหลานชายของผู้ก่อตั้งร้านขายยาวอลกรีนส์ ออกแบบแผนใหม่เพื่อบริษัท ภายหลังจากที่กลายเป็นซีอีโอเมื่อ ค.ศ 1971 : กลับไปสู่พื้นฐาน เขาเป็นบุคคลที่พูดน้อย เขาได้บอกทีมผู้บริหารของเขามุ่งที่ร้านขายยา และกำจัดธุรกิจรอบนอกมีทั้งร้านอาหาร ร้านสรรพสินค้าส่วนลด และตัวแทนท่องเที่ยว ก่อนหน้านี้วอลกรีนส์บรรลุความสำเร็จภายในธุรกิจร้านอาหารด้วย การหากำไรจากการค้นพบมอลท์ เชค จนกระทั่งชาร์ลส วอลกรีนที่สาม ชื่อเล่น คอร์ค ได้รับรู้ว่าเงินที่แท้จริงอยู่ภายในร้านขายยา
เมื่อเราพิจารณาตัวอย่างของร้านขายยาลูกโซ่ วอลกรีนส์ แนวคิดของเม่นของวอลกรีนส์ เป็นร้านขายยาดีที่สุด สะดวกที่สุด ด้วยกำไรลูกค้าที่สูงต่อการเยี่ยม ด้วยการดำเนินตามมันอย่างไม่ย่อท้อ วอลกรีนส์ มีผลงานดีกว่าตลาดหุ้นโดยทั่วไปด้วยตัวคูณ 7 ตรงกันข้าม คู่แข่งขันของพวกเขา เอคเคิรด ฟาร์มาซี ขาดแนวติดของเม่นที่เรียบง่าย และเจริญเติบโตภายในหลายทิศทาง
วอลกรีนส์ ตามจิม คอลลินส์ ตั้งแต่ ค.ศ 1975 ถึง 2000 วอลกรีนส์ ได้เจริญเติบโตอัตราตลาดมากกว่า 15 เท่า ร้านขายยาที่ไม่รู้จักกันเจริญเติบโตรวดเร็วกว่าตราสินค้าที่รับรู้กันเหมือนเช่น อินเทล โคคา โคลา จีอี และเมิรค อย่างไร ด้วยการมุ่งแนวคิดอย่างเดียวที่ขับเคลื่อนการตัดสินใจทางธุรกิจทุกอย่าง ชาร์ลส์ วอลกรีนที่สาม ซีฮีโอก่อนหน้านี้ ได้กล่าวว่า เมื่อเราเข้าใจแนวคิด เราเพียงแค่มุ่งตรงไปข้างหน้า เเนวคิดอะไรเรียบง่าย วอลกรีนส์ เป็นเม่น มุ่งหมายเป็นสิ่งเดียว “ร้านขายยาดีที่สุด สะดวกที่สุดด้วยกำไรที่สู่งต่อการเยี่ยมของลูกค้า” ภายในสไตล์ของเม่นคลาสสิค วอลกรีนสได้ใช้เเนวคิดที่เรียบง่ายนี้ และดำเนินการมันอย่างสม่ำเสมอและคลั่งใคล้ มันดำเนินการบนโครงการที่มีระบบทดแทนร้านค้าไม่สะดวกทุกแห่งด้วยร้านค้าที่สะดวก ตรงที่ลูกค้าเข้ามาและออกไปได้ง่ายจากหลายทิศทาง
ภารกิจของวอลกรีนส์คือ การนำเสนอลูกค้าด้วยบริการร้านขายยาดีที่สุดภายในอเมริกา เราถูกนำทางโดยประเพณีเก่าแก่เป็นศตวรรษของความยุติธรรม ความไว้วางใจ และความซื่อสัตย์ เมี่อเราได้ต่อเนื่องขยายฐานร้านค้าของเรา
และเสนอโอกาสทางอาชีพแก่กลุ่มของชายและหญิงที่หลากหลายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เป้าหมายของเราคือ พัฒนาบุคคลที่ปฏิบัติลูกค้า และระหว่างกัน ด้วยความเคารพและความมีเกียรติ เราจะสนับสนุนความพยายามเหล่านี้ด้วยความคิดการค้าปลีกอย่างสร้างสรรค์มากที่สุด ความสำเร็จที่เราบรรลุจะทำให้เราคิดค้นใหม่ภายในอนาคตของเรา และความมั่นคงทางการเงินระยะยาวต่อบุคคลของเราและผู้ถือหุ้นของเรา
วอลกรีนส์ ร้านขายยาลูกโซ่ใหญ่ที่สุดของอเมรืกา ย้อนรอยต้นกำเนิดไปยัง ค.ศ 1901 เมื่อชารลส์ วอลกรีน ได้ซื้อร้านขายยา ทางด้านใต้ของชิคาโก ที่เขากำลังทำงานอยู่เป็นเภสัชกร
เขาซื้อร้านที่สองเมื่อ ค.ศ 1909 เมื่อ ค.ศ 1915 เขามีร้านขายยาวอลกรีนส์
ห้าแห่ง วอลกรีนส์ได้เริ่มต้นสร้างสายผลิตภัณฑ์ยาของเขาเอง
ที่จะมั่นใจคุณภาพของพวกเขาและความสามารถจ่ายซื้อได้ เขาได้เสนอยา
ณ ราคาที่ต่ำกว่าคู่เเข่งขัน เขาได้ติดตั้งโซดา ฟาวเท่น ผลิตเครื่องดื่มและ
ไอสครีมภายในฤดูร้อน เเละร่วมทีมกับภรรยาของเขาผลิตซุ้ปและแซนวิสภายในฤดูหนาว เมื่อ ค.ศ 1925 วอลกรีนส์ มีร้านค้ามากกว่า 65 แห่ง เขานำบริษัทออกสู่สาธารณะสองปีต่อมา ภายหลังจากการเสียชีวิตของวอลกรีนเมื่อ ค.ศ 1939 ธุรกิจได้ถูกถ่ายโอนไปยังลูกชายของเขา เมื่อ ค.ศ 1975 ยอดขายได้เลยพ้น 1 พันล้านเหรียญ และร้านวอล กรีนส์ ที่ 1000 ได้ถูกเปิดเมื่อ ค.ศ 1984
ชาร์ลส์ วอลกรีน เป็นเภสัชกรและนักธุรกิจอเมริกัน รู้จักกันเป็นบิดาของร้านขายยาสมัยใหม่ เขาเป็นผู้สร้างร้านขายยาลูกโซ่ใหญ่ที่สุดภายในอเมริกา
วอลกรีน เป็นลูกชายชองผู้อพยพชาวสวีเดน และย้ายตามพ่อเเม่ของเขามาสู่ดิกซ์สัน อิลลินอยส์ เมื่อ ค.ศ 1887 ภายหลังจากการเข้ามหาวิทยาลัย เขาได้ทำงานภายในโรงงานรองเท้า ในไม่ช้าเขาได้สนใจเภสัชวิทยา และกลายเป็นเภสัชกรเมื่อ ค.ศ 1987
วอลกรีนส์ ใช้ขั้นตอนเเรกของพวกเขาไปสู่การซื้อบริษัทภายใน ค.ศ 2012 เมื่อพวกเขาได้ซื้อส่วนได้เสีย 45 % ภายในอัลไลเเอนซ์ บูทส์ รากฐานสวิสเซอร์แลนด์ 6.7 พันล้านเหรียญ ด้วยทางเลือกต่อมาที่จะซื้อส่วนที่เหลืออยู่ 55%
ผู้ถือหุ้นได้เห็นด้วยอย่างท่วมท้น การซื้อบริษัทได้ขยายตัวอย่างยิ่งใหญ่ของการปรากฏตัวของวอลกรีนส์ ระหว่างประเทศ บริษัทที่รวมกันมีร้านค้ามาก
กว่า 12,800 แห่งภายใน 25 ประเทศ การว่าจ้างบุคคลมากกว่า 370,000 คน
การสร้างวอลกรีนส์ บูทส์ อัลไลแอนซ์ เป็นเสาบอกระยะทางที่สำคัญต่อทั้ง
วอลกรีนส์ และบูทส์ อัลไลแอนซ์ การรวมกันของตราสินค้าไอคอน แต่ละตราสินค้าย้อนหลังไปมากกว่า 100 ปี ภายใต้เงื่อนไขของการซื้อ สองบริษัท
ที่รวมกันสร้างบริษัทผู้ถือหุ้นใหม่ชื่อ วอลกรีนส์ บูทส์ อัลไลแอนซ์ สำนักงานใหญ่อยู่ภายในเดียร์ฟิลด์ อิลลินอยส์ เป็นเจ้าของร้านค้าปลีกยาลูกโซ่วอล
กรีนส์ และบูทส์ และบริษัทการผลิต การค้าส่ง และการกระจายสินค้า
วอลกรีนส์ ได้กลายเป็นบริษัทลูกของบริษัทที่สร้างใหม่ เมื่อ ค.ศ 2020
วอลกรีนส์ บูทส์ อัลไลแอนซ์ อยู่ลำดับที่ 19 บนการเรียงลำดับฟอร์จูน 500 ของบริษัทอเมริกันมีรายได้รวมสูงสุด
อัลไลแอนซ์ บูทส์ เป็นร้านขายยาแนวหน้าภายในอังกฤษ และเป็นหนึ่งของ
ผู้ค้าส่งยาใหญ่ที่สุดภายในยุโรป บริษัทก่อตั้งเมื่อ ค.ศ 2006 ผ่านการรวมบริษัท
ระหว่างบูทส์ กรุ้ป และอัลไลแอนซ์ ยูนิเคม ประวัติของบูทส์ กรุ้ป ขยายย้อนหลังไปยังการเปิดร้านเล็กภายในกูสเกต นอตติ้งแฮม เมื่อ ค.ศ 1949 ในขณะที่อัลไลเเอนซ์ ยูนิเคม
เป็นผลผลิตของการรวมบริษัทข้ามพรมแดนของยูนิเคม พีเอลซีและอัลไลแอนซ์ ซาน เต้ เอสเอ บริษัทต้อนกำเนิดย้อนหลังไปยัง ค.ศ 1938 และ ค.ศ 1976 ตามลำดับ
บูทส์ เป็นหนึ่งตราสินค้าเก่าที่สุดและไว้วางใจที่สุดบนถนนใหญ่ของอังกฤษ
และต้นกำเนิดของพวกเขาอยู่บนรากฐานที่มั่นคงภายในนอตติ้งแฮมมากกว่า
160 ปี มันริ่มต้นเป็นร้านสมุนไพรท้องที่ และเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นร้านขายยาลูกโซ่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ด้วยการปฏิรูปการเข้าหาของบุคคลต่อยาที่สามารถซื้อได้ บูทส์ได้กลายเป็นชื่อครัวเรือน การรักษาตำแหน่งที่ดีเด่นและยั่งยืนท่ามกลางมรดกค้าปลีกของประเทศของเรา ว้นนี้บูทส์รักษาสถานที่พิเศษภายในชุมชนชีวิตของนอตติ้งแฮม ทั้งการเป็นนายจ้างที่สำคัญ และผ่านทางประเพณีที่ยาวนานของการให้บริจาค
เจสซี บูท ผู้ก่อตั้งบริษัท เกิดภายในนอตติ้งแฮมเมื่อ ค.ศ 1850 ลูกชายคนแรกและคนเดียวเท่านั้นของจอห์น บูท และภรรยาคนที่สองของเขา เป็นแรงงานเกษตร เขาไดัย้ายมาที่นอตติ้งแฮมเริ่มต้นธุรกิจใหม่ของเขา จอห์น บูท ได้เปิดร้านสมุนไพรแห่งแรกภายในนอตติ้งแฮม นำเสนอทางเลือกที่สามารถจ่ายซื้อได้ต่อยาสมัยเดิม ร้านของเขาอยู่บนกูสเกต การใช้สมุนไพร
รักษาโรคทุกอย่าง และนิยมแพร่หลายต่อคนยากคนที่ไม่สามารถรับภาระจ่ายเงินแก่หมอได้ หน้าต่างเหล็กและแก้วขนาดใหญสมัยใหม่อย่างมากต่อยุคนั้น
ทำให้ผู้เดินผ่านเหลือบมองร้านขายยาบูทส์ แต่เขาเสียชีวิตเมื่อเจสสี่ยังเป็นเด็กอยู่
เจสซี่ บูท ออกจากโรงเรียนเมื่ออายุสิบสามปี และช่วยเหลือแม่ของเขาทำธุรกิจครอบครัว ภายในเวลาว่างของเขา เขาได้ศึกษาเภสัชกรรม และเมื่อ ค.ศ 1877 เขาได้เปิดร้านขายยาแห่งแรกของเขา เจสซี่ บูท ได้รับรู้ว่าร้านขายยาภายในนอตติ้งแฮมมีนโยบายกำหนดราคาตายตัว ดังนั้นเขาได้ตัดสินใจขายยาของเขาถูกกว่าร้านขายยาอื่น เจสซี่ บูท ได้โฆษณาการขายยาราคาถูกของเขา เขาได้ว่าจ้างผู้สั่นระฆังไปตามถนนของนอตติ้งเเฮมบอกกล่าวประชาชนถึงยาราคาถูก การรณรงค์นี้บรรลุความสำเร็จอย่างมาก เจสซี่ บูท เป็นเมโธดิสท์
ห่วงใยอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความยากจนที่เขามองเห็นภายในนอตติ้งแฮม เขาเชื่อว่าราคาถูกของเขาสามารถทำให้คนยากจนซื้อยาที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่สามารถซื้อได้ ต่อมา เจสซี่ บูท ได้เปลี่ยนชื่อร้านของเขาเป็น เดอะ พีเพิล สโตร์
ณ เวลานั้น หมอสร้างใบสั่งยาของพวกเขาเอง ภายหลังจากการตรวจอาการของคนไข้ของพวกเขาแล้ว ต้นทุนของใบสั่งยาสูง และทำให้คนยากจนไม่ได้รับการช่วยเหลือทางแพทย์ที่พวกเขาต้องการ เจสซี่ บูท ได้ตัดสินใจทำลายการผูกขาดนี้โดยการว่าจ้างเภส้ชกรวัยหนุ่มให้ใบสั่งยา ต้นทุนเฉลี่ยของใบสั่งยาเหล่านี้ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งที่เรียกโดยหมอ นี่เป็นความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ และช่วยเจสซี่ บูทขยายตัวธุรกิจของเขา
แนวคิดของเม่นที่ตกผลิกและเรียบง่ายเกิดขึ้นจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการตัดกันของวงกลมสามวง : 1 เราได้ลุ่มหลงเกี่ยวกับอะไร 2 เราสามารถทำอะไรได้ดีที่สุดภายในโลก และ 3 แรงขับเคลื่อนที่ดีที่สุดของเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของเราคืออะไร การปฏิรูปจากบริษัทที่ดีไปสู่บริษัทที่ยิ่งใหญเกิดขึ้นจากการตัดสินใจที่ดีสอดคล้องกับแนวคิดของเม่นสิ่งที่สำคัญคือบริษัทไม่เพียงแต่จะรู้ว่าอะไรที่พวกเขาสามารถเป็นได้ดีที่สุดภายในโลก แต่ต้องรู้ว่าอะไรที่พวกเขาไม่สามารถเป็นได้ดีที่สุดภายในโลกด้วย เราจะต้องเป็นดีที่สุดภายในธุรกิจแกนของเรา ิเราจะต้องค้นหาความสามารถที่เราจะทำได้ดีที่สุดภายในโลก และจากนั้นละทิ้งความสามารถอื่นอะไรก็ตาม แม้แต่ความสามารถนั้นจะเป็นความสามรถแกนของเราในขณะนี้
เราจะต้องเข้าใจแรงขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของเรา สิ่งที่สำคัญคือการรู้ถึง “ตัวหารทางเศรษฐกิจ” อัตราส่วนเดียวที่กระทบมากที่สุดการถามคำถามว่าถ้าเราจะต้องเลือกอัตรสวนเดียวเท่านั้นที่มีผลกระทบมากที่สุด ต่อจากนั้นอัตราส่วนนั้นคืออะไรแนวคิดของเม่นจะอยู่บนรากฐานของนิทานเปรียบเทียบกรีซโบราณที่ได้เล่าว่า สุนัขจิ้งจอกรู้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่เม่นรู้สิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างเดียว สุนัขจิ้งจอกใช้กลยุทธ์หลายอย่างพยายามจะจับเม่น แต่ทุกครั้งมันจะเดินออกไปด้วยความพ่ายแพ้ สุนัขจิ้งจอกจะไม่เคยเรียนรู้ว่าเม่นได้รู้จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างเดียวได้อย่างไร : การป้องก้นตัวเองด้วยการหดตัวกลมเพื่อที่จะเอาเอาหนามแหลมออกมา จิม คอลลินส์ ได้อธิบายการปฏิรูปของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ด้วยแนวคิดของผลกระทบของล้อตุนกำลัง ด้วยการให้เรามองภาพล้อตุนกำลังใหญ่และหนัก – จานโลหะใหญ่มากติดตั้งกับเพลา เส้นผ่าศูนย์กลาง 30 ฟุต หนา 2 ฟุต น้ำหนัก 5,000 ปอนด์
การดันล้อตุนกำลังให้รวดเร็วและนานเท่าที่จะเป็นไปได้จุดสำคัญคือมันต้องใช้เวลาและรวมความพยายามของบุคคลหลายคนตัดสินใจและทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อที่จะบรรลุความสำเร็จ ภาพพจน์ของล้อตุนกำลังจะแสดงถึงการปฏิรูปภายในบริษัทที่ดีไปสู่ยิ่งใหญ่ ตรงกันข้ามภาพพจน์ของวงล้อหายนะจะแสดงถึงการปฏิรูปภายในบริษัทอื่นที่ไม่บรรลุความสำเร็จ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มักจะเริ่มดำเนินการแผนงานใหม่ ด้วยการป่าวประกาศและความมุ่งหมายที่โอ้อวดจะจูงใจบุคคล – มองเห็นแผนงานเหล่านี้ล้มเหลวที่จะสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนเท่านั้น พวกเขาจะดันล้อตุนกำลังไปทิศทางหนึ่ง ต่อจากนั้นจะหยุด และเปลี่ยนแปลงไปสู่ทิศทางใหม่ ต่อจากนั้นพวกเขาจะหยุด เปลี่ยนแปลงแปลงไปสู่ทิศทางใหม่อีก
ภายหลังจากการแกว่งไปแกว่งมาอยู่หลายปี บริษัทเหล่านี้ได้ล้มเหลวที่จะสร้างแรงเหวี่ยงไปสู่การพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ และได้ตกลงไปอยู่ภายในวงจรแห่งความหายนะบริษัทที่ยิ่งใหญ่รับรู้ว่าเราจะไม่มีการกระทำอย่างเดียวที่ขับเคลื่อนบริษัทไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้ แต่มันจะเป็นลำดับของการกระทำที่สะสมที่บวกเพิ่มแก่ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจและยั่งยืน จิม คอลลินส์ อ้างว่ามันเป็นเหมือนลัอตุนกำลัง ผลกระทบของล้อตุนกำลัง ล้อตุนกำลังจะใหญ่ หนัก เสียงดังเอี้ยด ตอนเริ่มต้นเราจะดัันมันได้ยาก และต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะให้มันหมุน แต่กระนั้นเมื่อมันได้เริ่มต้นหมุน และเราได้ใช้แรงอย่างต่อเนื่อง หมุนมันไประยะหนึ่ง
มันจะสร้างแรงเหวี่ยงและกลายเป็นหมุนเร็วขึ้นและเร็วขึ้นภายใต้วิถีทางเดียวกัน นานหลายปีบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้ทำงานหนักด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้อง ความก้าวหน้าเริ่มแรกจะช้า และตลอดเวลามันจะสร้างแรงเหวี่ยง จนในที่สุดบริษัทได้ไปถึงจุดแห่งความยิ่งใหญ่ การสร้างบริษัทที่ยิ่งใหญ่จะใช้เวลานาน เวลาเฉลี่ยของบริษัทที่จะบรรลุความยิ่งใหญ่คือเจ็ดปี เราจะไม่มีเรื่องราวของความสำเร็จเพียงข้ามคืน
Cr : รศ สมยศ นาวีการ