INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ไปเชียงใหม่ เดือน พย. ที่ผ่านมานี้

ไปเชียงใหม่ เดือน พย. ที่ผ่านมานี้
-เพื่อนผมเขาชื่อเรืองเดช เราทำงานมาด้วยกันตั้งแต่เริ่มต้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เขาเข้ามาทำงานหลังผมสัก ๒-๓ ปี และเมื่อผมได้ย้ายมาอยู่ส่วนกลาง ก็ได้ชวนเขามาทำงานที่นี่ ซึ่งก็อยู่กันมาจนเกษียณอายุราชการ ผมจำบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเขาได้ เช่น ตอนที่เขาทำงานใหม่ๆ ได้พาสมาชิกยุวเกษตรกรของจังหวัดไปเข้าค่ายที่จังหวัดชลบุรี เมื่อเสร็จกลับมาแล้ว ผมผ่านไปเห็นพอดีว่าเขาจับกลุ่มเด็กๆที่บริเวณใต้สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง แล้วสอนให้เด็กๆรักสามัคคี ติดต่อกันอยู่เสมอๆ เพราะเด็กเหล่านั้น ก็มาจากคนละแห่งคนละอำเภอกัน
-นอกจากนั้น ผมเริ่มได้ข้อคิดเมื่อไปพักโรงแรมที่ต่างจังหวัดด้วยกันว่า เอาแชมพูที่เขาวางไว้ในห้องน้ำใช้ซักผ้าได้สบายๆ จนถึงเดี๋ยวนี้ ใช้แขมพูซักหน้ากากอนามัยทุกวันกลิ่นหอมดี และอีกเรื่องหนึ่ง คือความมีส่วนร่วมของสหกรณ์ออมทรัพย์ เหตุที่สมาชิกสนใจเข้าร่วมกิจกรรมสหกรณ์ เพราะเขาได้เสียเงิน โดยจ่ายค่าหุ้นทุกปีทุกปี ผิดกับกลุ่มเกษตรกรอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกเพื่อจะรับบริการฝ่ายเดียว ไม่ได้เสียอะไรให้กับกลุ่ม นอกจากความคิดต่างๆเหล่านี้ เขายังเป็นเจ้าของนิทานขำๆในวงเหล้า ซึ่งเขาไม่เคยดื่มเพาะแพ้แอลกอฮอล์ แต่สูบบุหรี่จัดมาจนถึงปัจจุบัน
-ได้เดินทางไปเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๒๑ พย. ที่ผ่านมา ผมจึงขับรถไปแวะที่อำเภอศรีสัชนาลัยโดยใช้เส้นทางพิษณุโลก สุโขทัย เพื่อแวะเยี่ยมเยียนเรืองเดชตามคำชวนของเขาทางโทรศัพท์ ซึ่งได้ไปอยู่ที่นั่นเกือบ ๒๐ ปี จนกลายเป็นคนที่นั่นไปแล้ว เมื่อถึงเวลาบ่ายโมงเศษๆ เขาพาไปกินอาหารกลางวัน คือ “ข้าวเปิ๊บ” ซึ่งเป็นชื่ออาหารสูตรยายเครื่อง โดยเอาน้ำแป้งหมักเทบนผ้าที่ขึงบนปากหม้อละเลงแป้งให้เป็นแผ่น แล้ววางผักสด อบด้วยไอน้ำให้สุก ห่อพับตักใส่ชาม วางไข่ หมูแดง หอมเจียว ผักชีแล้วราดด้วยน้ำซุปกระดูกหมู ร้านนี้เป็นบ้านโบราณเรือนไม้ใหญ่ๆ เสาไม้ต้นใหญ่ๆ ใต้ถุนโล่ง อยู่ที่ บ้านนาต้นจั่น หมู่ ๕ ตำบลบ้านตึก ซึ่งมีลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยว นั่งกันเต็มทุกโต๊ะ ทราบว่าการท่องเที่ยวฯของรัฐบาลได้ช่วยรณรงค์ให้ไปที่นั่นด้วย กลุ่มของผมก็ไปนั่งคอย แต่ไม่ได้กิน เพราะคนเยอะมาก ไม่มีเวลาพอที่จะรอได้อีก จึงออกไปที่อื่น ทั้งนี้ เห็นว่าแปลกดี แต่ไม่ทราบว่าอร่อยหรือไม่
-บริเวณแถบจังหวัดทางภาคกลางตอนบนและภาคเหนือตอนล่างนี้ เป็นแหล่งปลูกพืชไร่ ซึ่งผมได้ทำงานทางด้านนี้มาเป็นเวลาเกือบ ๒๐ ปี จึงคุ้นเคยกับสถานที่ เหมือนได้กลับบ้าน แต่เมื่อเห็นพื้นที่ก็ ไม่รู้เปลี่ยนแปลงไปมาก หรือไม่ได้เปลี่ยนมาก แต่ตัวเราเปลี่ยน เพราะผ่านมาหลายปี สมองก็ต้องเลอะเลือนเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม ก็ยังรู้สึกคุ้นๆกับชีวิตเดิมๆอยู่บ้าง
-พื้นที่แถบนั้น เป็นเนินสูงต่ำ ที่ปลูกพืชทั่วๆไป เรืองเดชได้พาไปชมถิ่นที่อยู่อาศัยบนยอดเนินเตี้ยๆ เห็นวิวสวยงาม และอากาศในฤดูหนาวแจ่มใส ต่อจากนั้นได้พาไปชมสวนที่ปลูกพืชไว้ คือปลูกทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองจะใช้เป็นต้นตอ และจะนำเอาทุเรียนพันธุ์มาต่อยอดภายหลัง ที่น่าสังเกต คือทุกหลุมปลูกทุเรียน มีการปลูกกล้วยชิดกับทุเรียนควบคู่ไปด้วย
-ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องทุเรียน เลยสงสัยว่าที่ปลูกกล้วยแบบนี้ถูกต้องหรือไม่ ที่เคยเห็น คือต้นทุเรียนเดี่ยวๆ เป็นหลุมๆห่างกัน เมื่อเติบโตเต็มที่ จะได้รับแสงแดดเพียงพอ เพราะทุเรียนเมื่อโตแล้ว ขยายกิ่งก้านพอควร เรืองเดชบอกว่าทางแถบนี้เขาปลูกกันแบบนี้ และทำให้รากทุเรียนเย็น พอกลับมานั่งคิด ก็ชักจะเห็นด้วยกับวิธีของเขา เพราะกล้วยช่วยบังร่มเงาตอนทุเรียนยังเล็กอยู่ นอกจากนั้น กล้วยอยู่ได้ไม่นาน พอออกผลแตกหน่อ ก็ตัดต้นเดิมทิ้งไปเรื่อยๆ คงเหลือแต่ซากรากกล้วยในดินสลายไปทำให้ดินโปร่ง ระบายน้ำได้ดี ยังเคยได้ยินมาว่า การปลูกทุเรียนแถวภาคตะวันออกบางแห่ง เขายังเอากรวดหินเล็กๆ มาคลุกเคล้ากับดินในหลุมปลูก คงต้องการให้ดินโปร่ง ระบายน้ำได้ดีเช่นเดียวกัน
-ต่อจากนั้น เรืองเดชได้พาไปดูต้น วนิลา ( vanilla ) ซึ่งปลูกใหม่ๆ ไว้ ๑๐๐ ต้น เห็นว่าปลูกง่าย แข็งแรง แต่มีปัญหาตอนออกดอก อาจจะต้องช่วยผสมเกสรให้มัน จึงจะได้ผลผลิตเต็มที่
-ได้อยู่ที่นั่นถึงเวลาประมาณบ่าย ๓ โมง แล้วจึงเดินทางต่อไปเชียงใหม่ ผ่านอำเภอวังชิ้น ได้ใช้แผนที่ google นำทาง ซึ่งบางครั้งไม่มั่นใจก็จอดถามเพื่อนชาวบ้านที่อยู่ข้างทาง ถึงเชียงใหม่ประมาณ ๒ ทุ่ม เพราะแวะกิน เค เอฟ ซี ที่ปั๊ม ปตท. ห้างฉัตร รวบยอดอาหารกลางวันที่ผ่านมาด้วยเลย
-ที่เชียงใหม่ในวันรุ่งขึ้นได้มีโอกาสไปเจอเพื่อนๆ เกษตร๔-๕ คน ที่อยู่กรุงเทพฯ และไปเที่ยวเชียงใหม่ โดยไปสมทบ ที่ร้านกาแฟตอนบ่ายๆ ที่เขานั่งคอยเวลาจะกลับกรุงเทพฯ เมื่อไปถึง ก็ไปซื้อกาแฟเย็นที่เคาน์เตอร์ ที่คนขายบอกให้กลุ่มเราคุยกันค่อยๆหน่อย แต่เมื่อผมกลับมาบอกเพื่อนๆ เขาก็ไม่สามารถลดเสียงลงได้ เพราะวัยพวกเราคุยกันค่อยๆแล้วไม่ได้ยิน ผมคุยเฮฮากับเขาสักพัก ก็ต้องกลับ ต่อจากนั้น อีก ๒-๓ วัน ได้ไปร่วมกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนๆเกษตรชาวเชียงใหม่ที่เป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งก็เช่นเดียวกัน ต่างคนต่างพูด เสียงดังกลบกัน ผมเลยไม่ค่อยได้ยินว่าเขาพูดอะไร ทราบอยู่อย่างเดียวว่า นักดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย ตอนนี้หันไปสนใจน้ำเก็กฮวยร้อนๆกันหมด เหลือเพื่อนที่ยังดื่มเบียร์มีเพียงคนเดียว และเพื่อนคนนั้น แข็งแรงที่สุด ไม่เคยเจ็บป่วย และไม่เคยไปหาหมอ
-กล่าวถึงความเสื่อมถอยของวัยเรา ซึ่งตอนนี้เห็นได้ชัด ทำให้คิดถึงรถไฟฟ้า BTS ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มวิ่งผ่านหน้าบ้านที่ผมอยู่ที่กรุงเทพฯแล้ว คนโดยสารนับวันจะมากขึ้น อีกไม่นานคงแน่นมาก โดยเฉพาะเวลาเร่งด่วน ถ้าจะขึ้นรถไฟฟ้า ผมก็ต้องไปยืนพิงตู้ ตรงหัวหรือท้ายตู้ เพราะทำให้ทรงตัวได้ง่าย ปกติผู้โดยสารที่ขึ้นรถไฟฟ้า จะใช้โทรศัพท์ หรือส่งข่าวสารทางโทรศัพท์ของตัวเองแทบทุกคน แม้กลุ่มยืนอยู่แน่นๆใกล้ๆผมก็ดูโทรศัพท์ ทำให้คิดถึงสมัยก่อน ที่ในประเทศอังกฤษ คนที่ขึ้นรถไฟใต้ดินทุกคนจะซื้อหนังสือพิมพ์รายวันมาอ่านในรถกันคนละฉบับ เมื่อออกจากรถไปก็ทิ้งถังขยะกันเต็ม สำหรับผม ก็อาศัยชะเง้อดูรายการจากโทรศัพท์ของ คนที่ยืนข้างๆ ซ้ายทีขวาที ได้ดู ๒ รายการ ดีกว่าเจ้าของโทรศัพท์แต่ละราย บางครั้ง เห็นสาวน้อยไลน์คุยกับแฟน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ผมก็พลอยมีความสุขกับเขาไปด้วย
-เมื่อคิดแล้ว ว่าอนาคตจะต้องขึ้นรถไฟฟ้า และรถใต้ดินบ่อยๆ เพราะเดินทางสะดวกขึ้น เมื่อวานนี้ จึงได้ไปซื้อไอโฟน ๑๒ ที่ร้าน เอ ไอ เอส เซ็นทรัลเฟสติวัล เพื่อจะเก็บไว้ดูในรถไฟฟ้าต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้รุ่นหลานๆเห็นว่าระดับลุงนี้ก็ทันสมัยไม่เบา เชื่อไหมครับว่าที่นั่น ในวันอาทิตย์เย็น คนไปซื้อโทรศัพท์ ไอโฟน ๑๒ เยอะมากๆ ยี่ห้ออื่นก็ไม่สนใจกัน ไปเข้าคิว ต้องใช้เวลากว่า ๓ ชั่วโมงกว่าจะซื้อได้เรียบร้อย และทางร้านก็ไม่ได้ทำโปรแกรมให้เพราะคนเยอะ แจ้งว่าถ้าอยากให้ทำโปรแกรม ต้องมาสัปดาห์หน้าถึงจะว่าง ซึ่งไม่จำเป็น เพราะเป็นสมาชิกไอโฟนอยู่เดิมแล้ว ตอนนี้ ยังไง ผมก็มีไอโฟน ๑๒ ไปใช้ในรถไฟฟ้าแล้ว ขาดแต่คู่ chat จะหาที่ไหนดี

เชียงใหม่ ๓๐ พย. ๖๓
บู๊ คนเคยหนุ่ม

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *