ลิ้นชักความโกรธของไอเซนฮาวด์

ลิ้นชักความโกรธของไอเซนฮาวด์
บิลล์ จอร์จ กล่าวว่า บนการเดินทางของความเป็นผู้นำ เราควรจะใช้บันไดหรือเข็มทิศ คำตอบขึ้นอยู่กับเราพยายามที่จะสร้่างอาชีพ หรือบรรลุความ
สมหวังของชีวิต ดังที่เดวิด บรุคส์ เขียนภายใน “The Road to
Character” เรากำลังแสวงหาค่านิยมประวัติย่อ หรือคุณค่านิยมสรรเสริญ
เราไม่ได้ลุ่มหลงกับความสุขเท่านั้น เดวิด บรุคส์ ยืนยันว่าเรามุ่งที่การสะสม
อำนาจ ความมั่งคั่งทางวัตถุ และความสำเร็จทางวิชาชีพ ไม่ใช่การปลูกฝัง
คุณลักษณะที่จะถูกกล่าวถึง ณ งานศพของเรา ดังที่ เดวิดบุคค์ สร้างถ้อยคำว่า ค่านิยมสรรเสริญ
เรามุ่งเน้น ค่านิยมประวัติย่อ เหนือค่านิยมสรรเสริญ
ภายในการแนะนำของเขาต่อ The Road to Character เดวิด บุคส์
ยอมรับหนี้บุญคุณต่อนักบุญ โจเซฟ โซโลเวียคชิค ภายในหนังสือ
1965 ของเขา “The Lonely Man of Faith” เขาได้กล่าวว่าเรามีสอง
เรื่องราวของการสร้างต้นกำเนิด เเละยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้แสดงสองด้าน
ที่ตรงกันข้ามของธรรมชาติมนุษย์ที่เขาเรียกว่า อดัม 1 และอดัม 2
อดัม1 เป็นด้านที่มุ่งอาชีพ ทะเยอทะยานของธรรมชาติของเรา เขา
ต้องการมีสถานภาพที่สูง และได้ชัยชนะ ตรงกันข้าม อดัม 2 ต้องการ
มีคุณลักษณะภายในที่เยือกเย็น ความรู้สึกที่สงบแต่มั่นคงของถูกต้อง
และไม่ถูกต้อง ไม่เพียงทำดีเท่านั้น แต่ทำให้ดีด้วย
เราทุกคนครอบครองธรรมชาติสองอย่าง อย่างแรกมุ่งที่ความสำเร็จ
ภายนอก : ความมั่งคั่ง ชื่อเสียง สถานภาพ อาชีพที่ยิ่งใหญ่ อย่างที่สอง
มุ่งที่ความดีภายใน ขับเคลื่อนโดยจิตวิญญานกระตุ้นไม่เพียงแต่ทำดี
เท่านั้นเเต่ทำให้ดีด้วย : ความซื่อสัตย์ ความรัก และความแน่วแน่ ตัวตน
ภายในไม่ได้แสวงหาความสุข มันแสวงหาความผูกพันทางความรู้สึก
โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง และความสุขทางศีลธรรมอย่างลึกซึ้ง
บุคคลและสังคมเจริญเติบโตเมื่อเรามีความสมดุลระหว่างความจำเป็น
สองอย่างนี้ แต่เราอยู่ภายในวัฒนธรรมที่กระตุ้นเราคิดเกี่ยวกับด้านภาย
นอกของธรรมชาติของเรา ไม่ใช่ตัวตนภายใน เราทะเยอทะยานเพื่อ
การยกย่อง ไม่ใช่เดินตามหัวใจของเรา และเราส่งเสริมตัวเราเอง
แทนที่จะเผชิญจุดอ่อนของเรา
อดัม 1 เป็นการมุ่งอาชีพและมีค่านิยมประวัติย่อ ในขณะที่อดัม 2 เป็น
ศีลธรรมภายในและมีค่านิยมสรรเสริญ อดัม 1 ต้องการพิชิตโลก
ในขณะที่อดัม 2 ต้องการรับใช้โลก
เดวิด บุคส์ ได้พูดเกี่ยวกับความคิดว่าเรามีสองอดัมมีชีวิตอยู่ข้างในเรา
อดัม 1 และอดัม 2 เขากล่าวว่าเราไม่ต้องเลือกข้าง แต่เราต้องค้นหาความ
สมดุลที่แข็งแรงระหว่างสองอดัม
คุณค่าประวัติย่อเป็นความสามารถที่เรานำมาสู่ตลาดที่มีส่วน
ช่วยต่อความสำเร็จภายนอก – ความมั่งคั่ง ชื่อเสียง สถานภาพ และอาชีพ
ที่ยิ่งใหญ่ ทักษะที่เราระบุบนประวัติย่อ เพื่อที่จะได้งาน
แต่ค่านิยมสรรเสริญลึกกว่ามาก
ผลกระทบมากกว่ามาก มันมักจะกล่าวถึง ณ งานศพของเรา – เราซื่ิอสัตย์
เมตตา กล้าหาญ สิ่งที่ระบุแกนของเราคือใคร ค่านิยมที่มีอยู่ ณ แกนของชีวิตของเรา เราส่วนใหญ่กล่าวว่าค่านิยมสรรเสริญสำคัญกว่า แต่มันเป็นค่า
นิยมประวัติย่อที่เรามักจะคิดถึงมากที่สุด
เราทุกคนรู้ว่าค่านิยมสรรเสริญสำคัญกว่าค่านิยมประวัติย่อ แต่วัฒนธรรม
ของเราและระบบการศึกษาของเราใช้เวลากับการสอนทักษะ
ที่เราต้องการเพื่อความสำเร็จของอาชีพมากกว่าทักษะที่เราต้องการที่จะ
แผ่เเสงภายใน เราหลายคนชัดเจนที่จะสร้่างอาชีพภายนอกอย่างไร
มากกว่าที่จะสร้างคุณลักษณะภายในอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างภายใน
สังคมมุ่งไปสู่การปลูกฝังและการพัฒนาของค่านิยมประวัติย่อ เราพูด
แต่ปากต่อค่านิยมสรรเสริญ ในขณะที่เราใช้เวลาของเราจำนวนมาก
สร้างค่านิยมประว้ติย่อ

เดวิด บรุคส์ กล่าวว่า ปัญหาในขณะนี้ของเราคิอ สังคมกระตุ้นมากเกินไปกับการแสดงออกตัวเอง การบรรลุความสมหวังตัวเอง เขาเรียกมันว่า
“บิค มี” วัฒนธรรมของบิค มี มุ่งเน้นความสำเร็จภายนอก เดวิด บรุคส์ได้ขอให้เรากระทำด้วยความถ่อมตัวและยับยั้งมากขึ้น ก้าวไปจากโมเดล บิค มี ของตัวเอง ไปสู่การมองทางศีลธรรม
เราอยู่ภายในวัฒนธรรมของบิค มี สังคมต้องการให้เราส่งเสริมตัวเราเอง
สื่อกระตุ้นเราเผยแพร่จุดเด่นชีวิตของเรา พ่อแม่และครูของเราบอกอยู่
เสมอเราวิเศษแค่ไหน แต่บุคคลที่ผมเคยชื่นชมอย่างลึกซึ้งซื่อสัตย์เกี่ยว
กับจุดอ่อนของพวกเขาเอง พวกเขาระบุบาปหลักของพวกเขา ไม่ว่ามัน
เป็นความเห็นแก่ตัว ความขี้ขลาด ความโหดร้าย หรืออะไรก็ตาม พวก
เขาได้ย้อนรอยบาปหลักนำไปสู่พฤติกรรมที่ทำให้พวกเขารู้สึกละอาย
อย่างไร พวกเขาได้บรรลุความถ่อมตัวอย่างไร
เดวิด บรุคส์ ได้ท้าทายเราและตัวเขาเองที่จะสมดุลใหม่ขนาดระหว่างค่านิยมประวัติย่อของเรา – บรรลุความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และสถานภาพ และค่านิยมสรรเสริญของเรา – ความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญ ความเมตตา อยู่ ณ แกนชีวิตของเรา มุ่งความสัมพันธ์อะไรที่เราสร้าง
เดวิด บรุคส์ ได้เเสวงหาบุคคลที่รับเอาความกล้าหาญทางศีลธรรม การอ้างถึงนักคิดและผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ ตั้งแต่เซนต์ ออกัสติน
และจอร์จ อีลิออท ไปจนถึงดไวท์ ไอเซนฮาวด์และซามวล จอห์นสัน เขาได้ย้อนรอยพวกเขาสามารถเผชิญจุดอ่อนของพวกเขาและอยู่เหนือข้อผิดพลาดของพวกเขาอย่างไร พวกเขาแต่ละคนเลือกที่จะรับเอาความจริงที่เรียบง่ายแต่ขัดความรู้สึก : เพื่อที่จะสมหวังตัวเราเองเราต้องเรียนรู้ที่จะลืมตัวเราเองอย่างไร พวกเขาแสดงค่านิยมที่มีประโยชน์และบันดาลใจ
เช่น ความถ่อมตัว ความเสีนสละ และเคารพข้อผิดพลาดของมนุษย์
ตัวอย่างเหล่านี้ของคุณลักษณะชีวิตภายในเป็นการแสดงของอดัม 2
พวกเขาตรงกันข้ามกับรุ่นปัจจุบันของอดัม 1 บุคคลที่ยึดมั่นต่อความ
เห็นแก่ตัว ความละโมภ และจริยธรรมความสำเร็จ
ภายในวิถีทางอะไรที่ไอเซนฮาวด์อดกลั้นตัวเขาเองที่จะเอาใจบุคคลอื่น ธรรมชาติการเสียสละตัวเองของไอเซนฮาวด์ ในที่สุดเขาชนะที่นั่งเป็นประธานาธิบดีอย่างไร
ภายในหนังสือของเขา “The Road to Character”
เดวิด บรุคส์ ได้แสดงบุคคลประวัติศาสตร์
ที่วาง “เรา” มาก่อน “ผม” และทำการเสียสละเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์
เขาได้กล่าวถึงบุคคลหนึ่งคือ ไอเซนฮาวด์
เดวิด บรุคส์ ได้ใช้เรื่องราวของ ไอเซนฮาวด์ และเเม่ของเขา ไอดา แสดงค่านิยมของชนะใจตนเอง เขานำชีวิตไม่ได้เกิดจากการแสดงออก
ตัวเอง แต่เกิดจากชนะใจตัวเอง ไอไซนฮาวด์ได้เรียนรู้บทเรียนการยับยั้งตัวเองของ
เขา รับรู้จุดอ่อนที่สำคัญของเขา และทำให้มันเป็นจุดแข็งของเขา
อย่างไร
ตอนเย็นวันฮาโลวีน เมื่อเขาอายุสิบปี พี่ชายของไอเซนฮาวด์ ได้รับอนุญาติ
ให้ออกไปสนุกวันฮาโลวีนได้ ไอเซนฮาวด์
ต้องการไปกับพวก
เขา แต่พ่อเเม่ของเขาบอกเขายังเด็กเกินไป เขาขอร้องพวกเขา มองดูพี่
ชาย และจากนั้นกลายเป็นความโกรธที่ควบคุมไม่ได้ หน้าของเขาเเดง
และผมของเขาชันขึ้น ร้องให้และตะโกน เขาพุ่งออกไปหน้าบ้าน และ
เริ่มต้นต่อยกำปั้นของเขากับลำต้นแอปเปิ้ล หนังถลอกและมือเลือดออก
พ่อของเขาจับเขาเขย่า และตีเขาด้วยกิ่งไม้ และส่งเขาไปที่นอน ไอเซน
ฮาวด ร้องให้กับหมอนของเขา รู้สึกคล้ายกับทั้งโลกต่อต้านเขา
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา เเม่ของไอเซนฮาวด์เข้ามาภายในห้องของเขา และนั่งบนเก้าอี้โยกข้างเตียงของเขา เธอโยกอย่างสงบชั่วขณะหนึ่ง และ
จากนั้นเริ่มต้นพูดกับไอเซนฮาวด์ บอกเขา เธอห่วงใยเกี่ยวกับความโกรธ
ของเขา
เขาต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการทำให้อารมณ์โกรธของเขาอยู่ภายใต้การ
ควบคุม เธอบอกลูกของเธอด้วยการถอดความจากไบเบิ้ล” เขาชนะ
จิตวิญญานของเองเองยิ่งใหญ่”
กว่าเขายึดครองเมือง ไม่เพียงแต่ถ้อยคำเหล่านี้นำทางชีวิตของไอเซน
ฮาวด์….
แต่มันได้เป็นลางต่ออเมริกาและส่วนอื่นของโลก คำพูดของแม่ช่วย
สร้่างโลกอย่างไร จากนั้นไอเซนฮาวด์ได้จดจำ เธอได้ให้คำแนะนำการเปลี่ยนแปลงชีวิตแก่เขา เมื่อแม่ของไอเซนฮาวด์ทายาและพันผ้ามือที่บาดเจ็บของไอเซนฮาวด์
เธอได้ตอกย้ำจุดของเธอด้วยการสังเกตุวิถีทางที่ความโกรธที่สะเพร่า
ของเขา และความไม่พอใจ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย และทำร้ายตัวเขาเองเท่านั้น ไอเซนฮาวด์สงบลง ขอโทษต่อการระเบิดของเขา และนอนหลับไป
ในขณะที่พ่อเเม่ของไอเซนฮาวด์ ไม่เคยนำการระเบิดฮัลโลวีนของเขาขึ้น
มาอึกครั้งหนึ่ง ต่อไอเซนฮาวด์
เเล้ว มันเป็นจุดพลิกผัน ผมมองกลับอยู่เสมอ
ต่อการคุยกันนั้น เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่ามากที่สุดของชีวิตของผม
ไม่สงสัยเลย ด้วยการเรียนรู้ที่จะควบคุมความโกรธของเขา ไอเซนฮาวด์
สามารถทำงานกับบุคคลอื่นอย่างมีประสิทธิภาพ
ภายในสาธารณะ ไอเซนฮาวด์ ดูแล้วรอบคอบแม้แต่เรียบง่าย
ไอเซนฮาวด์ พยายามเพื่อความไม่รุนเเรง เขาสื่อสารความรู้สึกนั้นภายในเวลา
ส่วนใหญ่
ไอเซนฮาวด์ มีอารมณ์โกรธ และบุคคลทุกคนรู้มัน แต่เขาถูกเลี้ยงดูภายในวัฒนธรรมของการควบคุมตัวเอง ไม่ใช่ทำตามใจตัวเอง
หรือการแสดงออกตัวเอง มันเป็นความเชี่ยวชาญของการตีสองหน้าของ
ไอเซนฮาวด์ ทำให้เชากลายเป็นผู้นำทหารที่มีประสิทธิภาพ และประธานา
ิธิบดีอเมริกาที่มีประสิทธิภาพ เขาไม่ได้เป็นแท้จริง การตีสองหน้่าของเขา
เป็นทักษะที่เขาปลูกฝังตลอดชีวิตของเขา และมันสำคัญต่อความสามารถ
ของเขาที่จะสร้่างโลกเพื่อสิ่งที่ดี
ไอเซนฮาวด์มีอารมณ์โกรธรุนเเรง แต่ความสามารถของเขาเพื่อการไม่
ยอมรับตัวเองยิ่งใหญ่ด้วย เขาเรียนรู้ที่จะชนะความโกรธของเขา
เมื่อเขาไปสู่เวสท์ พอยทฺ์ แต่ไม่
เคยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แม้แต่อายุ 51 ปี ไม่มีใครคาดหวังได้
มากจากไอเซนฮาวด์ เขามีข้อบกพร่องหลายอย่่าง แต่เขาบรรลุความ
สำเร็จ เพราะว่าเขาสามารถจำกัดอารมณ์ของเขาได้ – ตัวเองที่สอง และ
ถ่อมตัวอย่างมาก สามารถรับเอาหลายมุมมอง และกระทำตามนั้น
ไอเซนฮาวด์ เป็นนายพลที่ยิ่งใหญ่และประธานาธิบดีที่รอบคอบ
เเต่เขายุ่งยากจากความโกรธเคือง เขาได้พยายามที่จะควบคุมทั้งชีวิต
ของเขา เขาตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอคำพูดและการกระทำของเขาเอง
บันทึกความคิดที่เจ็บแสบของเขาภายในสมุดบันทึกส่วนตัว ภายใน
สาธารณะ ไอเซนฮาวด์ ดูแล้วรอบคอบแม้แต่เรียบง่าย เขามุ่งมั่นเพื่อความไม่รุนเเรง
ณ วันที่ 6 มิถุนายน 1944 ไอเซนฮาวด์ ในฐานะของผู้บัญาชาการสูงสุดของกองกำลังพันธมิตรภายในยุโรป
และผู้นำของการบุกดี เดย์ ไอเซนฮาวด์ ได้กลายเป็นตำนานต่อความ
สามารถของเขาทำให้นายทหารและกองทัพจากประเทศที่แตกต่าง
กัน ทำงานด้วยกันชนะเยอรมันนาซีได้
ไอเซนฮาวด์เป็นประธานาธิบดีคนที่ 34 และนายพลห้าดาวระหว่างสง
ครามโลกครั้งที่สอง เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกอย่าง
แผ่นดินถล่ม สร้างระบบทางหลวงระหว่างรัฐ และก่อตั้งนาซา
ความโกรธเป็นความคับข้องใจอย่่างเหลือเชื่อ และในขณะที่เราพูด
เกี่ยวกับหลายวิถีทางที่จะจัดการมัน ไอเซนฮาวด์ใช้สิ่งที่เรียกว่า
“ลินชักความโกรธ” ต่อสู้ปัญหานี้ เขามีเล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อยเพื่อจัดการ
ความโกรธ เขาเขียนชื่อของบุคคลที่ทำให้ขุ่นเคืองบนกระดาษและใส่มัน
ลงไปภายในลิ้นชักล่างสุดของโต๊ะของเขา
ไอเซนฮาวด์ ได้แสดงความสำคัญของการยับยั้งตัวเอง ควบคุมอารมณ์
ของ
เขา และเอาชนะความโน้มเอียงของเขาต่อการกระทำที่หุนหันพลัน
เล่น การสร้่างคุณลักษณะผ่านทางระเบียบวินัยตัวเองอย่างเคร่ง
ครัด ไอเซนฮาวด์ ใช้ความอดทน และมุมมองระยะยาว และมองเลยพ้นความ
พอใจทันที ไปสู่เป้าหมายระยะยาว เขานำด้วยความไม่รุนเเรง ทำการ
ตัดสินใจที่สำคัญค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่พยายามเพื่อการแก้ปัญหา
อย่างรวดเร็ว
ไอเซนฮาวด์ สามารถรับรู้ว่าความโกรธที่มองไม่เห็นเหล่านี้จะขัดขวางเขาจาก
กลายเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ มันทำให้เวลาของเขาเสียไปและบด
บังดุลยพินิจ ความโกรธไม่สามารถชนะได้ แม้แต่มันไม่สามารถคิด
ได้อย่างชัดเจน เขาได้พัฒนาวิธีการเพื่อการควบคุมความโกรธของ
เขาต่อบุคคลอื่น
ผมทำมันเป็นการปฏิบัติอย่างหนึ่งที่จะหลีกเลี่ยงโกรธใครก็ตาม
ผมพยายามที่จะลืมเขา ผมเดินตามการปฏิบัติเขียนชื่อของบุคคล
บนแผ่นกระดาษ ทิ้งมันลงที่ลิ้นชักล่างสุดของโต๊ะของผม ลิ้นชัก
ได้กลายเป็นตลอดหลายปีของถังขยะส่วนบุคคลเพื่อขยี้ความ
โกรธ
ไอเซนฮาวด์ ถูกเลี้ยงดูภายในครอบครัวที่มีวินัยอย่างเข้มงวด
พ่อเเม่ของเขา
มีเงินน้อยมาก และลูกชายหกคน แม่ของเขา ไอดา บังคับให้ลูกชาย
เรียนรู้วินัยและนิสัยที่ดีตั้งแต่เด็ก เธอยืนยันพวกเขาเริ่มต้นงานบ้าน
ตอนรุ่งสาง ไปโรงเรียน และอ่านไบเบิ้ลเสียงดังทุกวัน ภายในบ้าน
ของเธอ ไม่มีการเล่นไพ่ การเต้นรำ หรือความเหลื่อมล้ำ เธอเชื่อว่า
สิ่งล่อใจเหล่านี้นำไปส่ความชั่วมากขึ้น
หนุ่มน้อยไอเซนฮาวด์ ฉลาดและเเข็งเเรง แต่เขาดิ้นรนกับอารมณ์
ที่สามารถเดือดดาลได้ง่ายเป็นความโกรธอย่างภูเขาไฟ ภายในบท
ความที่เขาเขียนเมื่อเขาอายุ 76 ปี เขาได้เล่าตอนที่เขาป็นเด็ก
เขาได้อธิบายเหตุการณ์นี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตของเขา
เรียนรู้ว่าเขาต้องค้นหาวิถีทางที่จะควบคุมอารมณ์โกรธอย่าง
ฉับพลันของเขา
ไอเซนฮาวด์มีที่ปรึกษาสองคนมีส่วนช่วยสร้างคุณลักษณะของ
เขา บุคคลแรกเป็นนายพลฟอกซ์ คอนเนอร์ ไอเซนฮาวด์ ทำงาน
อยู่สามปีภายในปานามา ฟอกซ์ คอนเนอร์รับไอเซนฮาวด์
เป็นผู้อุปถัมภ์
ของเขา สอนจุดที่สำค้ญของสงครามแก่เขา เช่น อย่าต่อสู้ถ้าเรา
ไม่จำเป็นต้อง เขาได้สอนคุณค่าของการเป็นผู้นำที่ถ่อมตัว
ดังตัวอย่างภายในสุภาษิตของเขา ทำงานของคุณอย่างจริงจัง
แต่ไม่ใช่ตัวคุณเอง
ที่ปรึกษาคนที่สองของไอเซนฮาวด์คือ นายพลดักกลาส เเมคอาร์เธอ
ระหว่างอายุสามสิบปี ไอเเซนฮาวด์เป็นผู้ช่วยส่วนบุคคลของแมคอาร์เธอ
ภายใน
ฟิลิปปินส์ และพวกเขามักจะไม่เห็นด้วยกันต่อนโยบาย การเป็นผู้
ใต้บังคับบัญชา ไอเซนฮาวด์
มักจะต้องอดกลั้นอารมณ์โกรธของเขา ณ จุด
หนึ่ง ไอเซนฮาวด์ พยายามลาออกจากตำแหน่งของเขา แต่แมคอาร์เธอได้
ห้ามเขาไว้ ความทุกข์ของไอเซนฮาวด์เพิ่มมากขึ้น แต่เพราะว่าเขาจงรักภักดี
ต่อกองทัพยูเอส เขาได้รับใช้แมคอาร์เธออยู่ต่อไป
เนื่องจากชีวิตไม่ได้ให้รางวัลที่ไอเซนฮาวด์
ต้องการ เขาถูกบังคับให้เรียนรู้
ความอดทน เขาไม่มีทางระบายต่อความโกรธภายในของเขา แต่
บทเรียนความเป็นเด็กของเขาต่่อการยับยั้งตัวเองช่วยเขาจัดการ
ความผิดหวังของเขาได้ เขายอมรับอย่างสุภาพตำแหน่งทหารอะไร
ก็ตามที่เขาถูกมอบหมาย และเขาทำงานแต่ละอย่างด้วยความ
สามารถของเขาอย่างดีที่สุด เขาได้ต่อสู้ภายในที่จะอดกลั้น
อารมณโกรธที่รุนเเรงของเขา
ไอเซนฮาวด์ ได้พัฒนาวิธีการเพื่อที่จะจัดการความโกรธของเขา
ถ้าบุคคลบางคนข้ามเขา เขาจะเขียนชื่แของเขาบนแผ่นกระดาษ
ขยี้แผ่นกระดาษ และโยนมันลงไปที่ถังขยะของเขา จากนั้นเขา
สามารถแกล้งทำต่อบุคคลอย่างไม่มีผลตามมา เขามักจะใช้วิธี
การนี้เมื่อเขาถูกวิจารณ์โดยนักหนังสือพิมพ์ คำพูดอ้างอิงที่มี
ชื่อเสียงของเขาคือ “อย่าเสียเวลาแม้แต่นาทีคิดเกี่ยวกับบุคคล
ที่เราไม่ชอบ”

ไอเซนฮาวด์เชื่อว่าความเป็นผู้นำ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการตะคอกคำสั่งหรือการบังคับการกระทำ เราไ่ม่สามารถนำด้วยการตีหัวบุคคล นั่นคือการทำร้ายไม่ใช่ความเป็นผู้นำ ความเป็นผู้นำคือศิลปของการให้บุคคลบางคนทำบางสิ่งบางอย่างที่เราต้องการทำ เพราะว่าเขาต้องการทำ ระหว่างสงครามโลกครั่งที่สอง ข้อพิสูจน์ความสำเร็จของวิธีการนี้คือ ความประทับใจต่อการเป็นประธานาธิบดีอเมริกาของไอเซนฮาวด์จะเป็นเวลาที่สงบและไม่มีการคุกคาม
ที่จริงแล้ว ณ ช่วงเวลานั้น เราจะเผชิญอันตรายจากการสร้างสงครามเย็น การคุกคามทางนิวเคลียร์จากรัสเซียความเป็นผู้นำของไอเซนฮาวด์ ได้สร้างความเชื่อมั่นต่อชาวอเมริกัน หลักการของเขาคือ การอยู่ร่วมกัน เราต้องเรียนรู้ที่จะปรองดองความแตกต่าง ไม่ใช่อาวุธ แต่ด้วยสติปัญญาและความมุ่งหมายที่เหมาะสม
ไอเซนฮาวด์ ได้กล่าวว่า ภายใต้การทำสงครามโลกครั้งนี้ เมื่อผู้บัญชาชาการสูงสุดจะต้องยุ่งเกี่ยวอยู่เสมอกับประธานาธิบดีิ นายกรัฐมนตรี และเสนาธิการทหารหกคน เราต้องมีความอดทนอย่างมาก ไม่มีบุคคลไหนสามารถเป็นนโปเลียนหรือจูเลียต ซีซาร์ ได้ เขารู้คุณค่าของการอดทน ความร่วมมือจะจำเป็นต่อการบรรลุภารกิจ
ิไอเซนฮาวด์ มีความกล้าที่จะยอมรับว่าเขาไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เขา
ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน จนทำให้เขากลายเป็นผู้นำที่บรรลุความสำเร็จ ภายในหนังสือของเขา “At Ease : Stories I Tell My Friends” เขาได้แนะนำว่า
เราต้องพยายามเชื่อมโยงตัวเราเองและเรียนรู้ให้มากจากบุคคลที่รู้มากกว่าเราบุคคลที่ทำได้ดีกว่าเรา บุคคลที่มองได้ชัดเจนกว่าเรา
ความเป็นผู้นำของไอเซนฮาวด์ มักจะเป็นการใช้ดุลยพินิจทางคุณค่าที่เปลี่ยนแปลงจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่ง และจากสถานการณ์หนึ่งไปสถานการณ์หนึ่ง เขาจะเป็นผู้นำตามสถานการณ์
ไอเซนฮาวด์ไม่เคยทำงานภายในภาคธุรกิจ แต่หลักการความเป็นผู้นำของเขาปลูกฝังภายในสงคราม และจากนั้นได้ถูกแสดงภายในทำเนียบขาว การ
ให้แผนที่แก่ผู้บริหาร ผู้ประกอบการ และซีอีโอทุกคนวันนี้ บ่อยครั้งเราได้ยินประธานาธิบดีมองที่ผู้นำธุรกิจเพื่อภูมิปัญญา ไอเซนเฮาด์ทำสิ่งนี้ด้วยตัวเขาเอง
เราทุกคนรู้เกี่ยวกับป้ายบนโต๊ะของแฮร์รี่ ทรูแมน อดีตประธานาธิบดีของอเมริกา อ่านว่า “ความรับผิดชอบสิ้นสุดที่นี่” แต่ไอเซนฮาวด์ มีที่ทับกระดาษบนโต๊ะของเขาจารึกเป็นภาษาลาตินหมายความว่า “กริยาที่อ่อนโยน การกระทำที่เข้มแข็ง” การสะท้อนให้เห็นปรัชญาและความเป็นผู้นำของเขา
ไอเซนฮาวด์เชื่อว่าความเป็นผู้นำ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการตะคอกคำสั่งหรือการบังคับการกระทำ เราไ่ม่สามารถนำด้วยการตีหัวบุคคล นั่นคือการทำร้ายไม่ใช่ความเป็นผู้นำ ความเป็นผู้นำคือศิลปของการให้บุคคลบางคนทำบางสิ่งบางอย่างที่เราต้องการทำ เพราะว่าเขาต้องการทำ ระหว่างสงครามโลกครั่งที่สอง ข้อพิสูจน์ความสำเร็จของวิธีการนี้คือ ความประทับใจต่อการเป็นประธานาธิบดีอเมริกาของไอเซนฮาวด์จะเป็นเวลาที่สงบและไม่มีการคุกคาม ที่จริงแล้ว ณ ช่วงเวลานั้น เราจะเผชิญอันตรายจากการสร้างสงครามเย็น การคุกคามทางนิวเคลียร์จากรัสเซียความเป็นผู้นำของไอเซนฮาวด์ ได้สร้างความเชื่อมั่นต่อชาวอเมริกัน หลักการของเขาคือ การอยู่ร่วมกัน เราต้องเรียนรู้ที่จะปรองดองความแตกต่าง ไม่ใช่อาวุธ แต่ด้วยสติปัญญาและความมุ่งหมายที่เหมาะสม

บิลล์ จอร์จ กล่าวว่า เมื่อผมจบจากมหาวิทยาลัยผมมีคิดที่ไร้เดียงสาว่า
การเดินทางความเป็นผู้นำของผมเป็นเส้นตรงไปสู่ลำดับสูงสุด การปีน
ขั้นของบันได และในที่สุดผมไปถึงจุดหมายปลายทางของผม
ผมได้เรียนรู้วิถีทางที่ลำบากว่าความเป็นผู้นำไม่เกี่ยวกัยการปีน
ขั้นบันไดของความสำเร็จ ในขณะที่สร้างประวัติย่อที่สมบูรณ์
ซีอีโอแวนการ์ดก่อนหน้านี้ แจ็ค เบิรนแนน เชื่อว่าสิ่งเลวร้ายที่สุด
ที่บุคคลสามารถทำคือ บริหารอาชีพด้วยแผนที่อาชีพ เขาบอกผม
บุคคลที่ไม่พอใจที่ผมรู้จัก และบุคคลที่เผชิญความล้มเหลวทาง
จริยธรรมหรือกฏหมาย บุคคลทุกคนมีแผนอาชีพที่ชัดเจน
ความคิดของบันไดอาชีพสร้างแรงกดดันอย่าวมากต่อผู้นำที่จะปีน
สูงขึ้น แต่ซีอีโอของเฟดบุค เชอรีล แซนด์เบิรก ชอบความคิดของ
“จังเกิ้ล ยิม” อาชีพ ตรงที่เราสามารถขึ้นไป ลงมา หรือข้ามได้ ซีอีโอ
อีเบย์ จอห์น โดนาโฮ กล่าวว่า ความเป็นผู้นำเป็นการเดินทาง ไม่ใช่
จุดหมายปลายทาง เราต้องการเข็มทิศมุ่งที่ทิศเหนือของเรา ไม่ใช่
ขั้นบันไดที่เราปีน เข็มทิศให้คำพูดเปรียบเทียบอุดมคติ ดังเช่น
เข็มทิศชี้ไปทางสนามแม่เหล็ก ทิศเหนือส่่วนบุคคลของเรา นำเส้น
ทางของเราและดันเราไปข้างหน้า
จากการสัมภาษณ์เหล่านี้ เราได้เรียนรู้ว่าการเดินทางไปสู่ความเป็นผู้นำ
มีสามระยะแตกต่างกัน
ภายในการวิจัยหนังสือเล่มใหม่ของผม Discover Your True North เราได้สัมภาษณ์ผู้นำแบบแท้จริง 170 คน ตั้งแต่โอปราห์ วินเฟีย์ จนถึงโฮวาร์ด ชูลท์ พวกเขาทุกคนเดินตามเส้นทางที่ยุ่งยากไปสู่ความสำเร็จและความเเท้จริง แต่ยังคงติดดินโดยการสร้างบนเรื่องราวชีวิตของพวกเขา ด้วยความเข้าใจประสบการณ์ก่อเป็นรูปร่างของพวกเขา พวกเขาวางกรอบใหม่เรื่องราวชีวิตของพวกเขาและสร้างความเป็นผู้นำของพวกเขารายรอบตามทิศเหนือที่เเท้จริงของพวกเขา จากการสัมภาษณ์เหล่านี้ เราได้เรียนรู้ว่าการเดินทางไปสู่ความเป็นผู้นำผ่านระยะแตกต่างกันสามระยะ
ระยะที่ 1 การตระเตรียมเพื่อความเป็นผู้นำ
ณ ระยะนี้ ผู้นำได้พัฒนาผ่านทางการศึกษา ประสบการณ์นอกหลักสูตร และงานวิชาชีพเริ่มแรก นี่เป็นระยะตรงที่คุณลักษณะได้ก่อตัว และบุคคลนำเป็นครั้งแรก สามสิบปีเเรกเป็นระยะเวลาที่จะเตรียมตัวเพื่อความเป็นผู้นำ เมื่อคุณลักษณะถูกก่อรูป และบุคคลกลายเป็นผู้มีส่วนช่วยหรือนำทีมเป็นครั้งแรก
ผู้นำนัอยมากของวันนี้กำลัวทำข้อผูกพันทางอาชีพภายในอายุยี่สิบปีของพวกเขา แต่พวกเขาใช้เวลาต่อมาจากมหาวิทยาลัยได้ประสบการณ์งานที่
มีคุณค่า โดยทั่วไปการเปลี่ยนแปลงงานทุกสิบแปดถีงยี่สิบสี่เดือนกระจายประสบการณ์ของพวกเขา ผู้นำวัยหนุ่มสาวหลายคนมองที่การสมัครเรียนปริญญาโททางธุรกิจ กฏหมาย หรือการเมือง แม้แต่บุคคลที่จบปริญญาโทแล้วชอบที่จะเป็นผู้มีส่วนช่วยภายในการให้คำปรึกษาหรือการเงิน ก่อนที่จะผูกพันกับบริษัทหรืออุตสาหกรรมเฉพาะ
อาจารย์คณะบริหารธุรกิจแสตนฟอร์ด โจเอล ปีเตอร์สัน ได้นำเสนอมุมมองที่ท้าทายของระยะนี้
เราอยู่ภายในทศวรรษของรับภาระตัวเราเอง ถามตัวเราเอง จุดแข็งและจุดอ่อนของเราคืออะไร เราสามารถไปข้างหน้าอย่างไร เราสามารถกระทบโลกอย่างไร มันเกี่ยวกับเราทุกอย่าง เมื่อเราออกมาที่นี่และเริ่มต้นทำสิ่งที่สำคัญและสร้างความสัมพันธ์กับบุคคล เราจะพบว่าเราไม่เพียงแค่จัดการ
ประวัติการเรียนและการทำงานของเราต่อไปอีกแล้ว เราเริ่มต้นชีวิตบนเส้นทางเส้นตรง ตรงที่ความสำเร็จอยู่บนพื้นฐานการมีเป้าหมายที่ชัดเจน ชีวิตซับซ้อนมากขึ้นเมื่อเป้าหมายไม่ชัดเจนอีกต่อไป และเราต้องกำหนดเป้าหมายของเราเอง ด้วยการถูไปมากับโลก เราต้องรู้ตัวเราเอง
ระยที่ 2 การนำ
ระยะนี้เริ่มต้นด้วยการสะสมอย่างรวดเร็วของประสบการณ์ความเป็นผู้นำ และมันสะสมภายในห้าสิบปี เมื่อโดยทั่วไปผู้นำถึงจุดสูงสุดความเป็นผู้นำของพวกเขา ภายในระหว่างกลาง ผู้นำส่วนใหญ่ผ่านพ้นเบ้าหลอม ช่วงเวลายุ่งยากที่ทำงานหรือที่บ้านทดสอบมันต่อแกน ผลลัพธ์เป็นการปฏิรูปของความเข้าใจของพวกเขาต่อความเป็นผู้นำเกี่ยวกับอะไร ตามมาด้วยการเร่งอย่างรวดเร็วของการพัฒนาของพวกเขา
ผู้นำหลายคนแสดงเเรงขับเคลื่อนอย่างเข้มแข็งได้สบประสบการณ์จากการนำตอนเริ่มแรกถายในอาชีพของพวกเขา กลับกันนักศึกษาของคณะบริหารธุรกิจหลายคน เริ่มต้นด้วยการเป็นที่ปรึกษา หรือนายธนาคารลงทุน ริชาร์ด โควาเซวิช ของเวลล์ ฟาร์โก เพียงแค่ต้องการบริหารบางสิ่งบางอย่าง เมื่อเขาออกจากโรงเรียน เป้าหมายของผมคือ การพบบริษัืทที่ให้โอกาสแก่ผมบริหารธุรกิจรวดเร็วเท่าที่เป็นไปได้
แดน ชูลเเมน ซีอีโอของเวอร์จิน โมบาย ยูเอสเอ เปรียบเทียบประสบการณ์สะสมกับการยกน้ำหนัก การนำบริษัทเหมือนกับการทำซ้ำหลายครั้งของน้ำหนักสามร้อยปอนด์ ไม่มีใครสามารถยกน้ำหนักสามร้อยปอนด์ ถ้าพวกเขาไม่เริ่มต้นจากต่ำก่อน และไปสู่สูงขึ้น ถ้าพวกเขาไม่มีกล้ามเนื้อเป็นรูปร่างจากความหลากหลายของประสบการณ์ พวกเขาจะถูกบดอัดด้วยมัน ตามมุมมองของชูลเมน ทุกประสบการณ์ก่อนหน้ากลายเป็นซีอีโอช่วยเขาสร้างกล้ามเนื้อ ผมไม่เคยมองมันเป็นก้าวย่างไปสู่ขั้นต่อไปบนบันได
ระยะที่ 3 การคืนกลับ
ระยะนี้เป็นการคืนกลับ เมื่อผู้นำมุ่งที่การให้กลับด้วยการร่วมความรู้และภูมิปัญญาของพวกเขากับหลายบุคคลและองค์การ ผู้นำหลายคนอ้อมผ่านการเกษียณแบ่งปันประสบการณ์ของพวกเขากับหลายองค์การ พวกเขารับใช้เป็นคณะกรรมการบริษัท พี่เลี้ยงผู้นำวัยหนุ่มสาว สอนหรือผู้ฝึกสอนซีอีโอเเต่งตั้งใหม่
ลอร์ด จอห์น บราวน์ นำบริติช ปิโตรเลียม ไปสู่ระดับสูงใหม่ ภายในสิบเอ็ดปีของเขา ณ ตำแหน่งผู้นำ เห็นด้วยกับการคาดคะเนนี้ ภายในการประกาศที่เขาก้าวลงจากซีอีโอเมื่ออายุหกสิบปี บราวน์ ได้กล่าวว่า ผมไม่เชื่อภายในการเกษียณ ความคิดดูเหมือนล้าสมัยไปเเล้ว เขาเสนอแนะว่าเขากำลังมองตำแหน่งใหม่ที่น่าสนใจด้วยความมุ่งหมาย เขาสรุปว่าผมยึดติดกับธุรกิจ
อายุเก้าสิบสามปี ซิก นากอร์สกี เป็นผู้นำอาวุโสสัมภาษณ์เพื่อการศึกษาของเรา ภายหลังบริหารโครงการผู้บริหารของสถาบันเอสเพนนานเป็นทศวรรษ เขาได้เหลีกทางเมื่ออายุเจ็ดสิบห้าปี เขาเป็นโมเดลของระยะที่
สาม จากนั้นเขาและภรรยาของเขาได้เริ่มต้นศูนย์เพื่อความเป็นผู้นำระหว่างประเทศ ดำเนินการสัมนาค่านิยมและจริยธรรมแก่ผู้บริหาร สไตล์ที่พิสูจน์แล้วของซิก นากอร์สกี้ ทำให้ผู้นำหลายคนคิดใหม่ค่านิยมของพวกเขา และ
พวกเขาจะตอบสนองภายในสถานการณ์ที่ซับซ้อนอย่างไร สิบแปดปีต่อมา
เขายังคงเข้มแข็งอยู่
Cr : รศ สมยศ นาวีการ







