jos55 instaslot88 Pusat Togel Online การสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในประเทศจีน(2) - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

การสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในประเทศจีน(2)

การสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในประเทศจีน(2)

โดย รศ.ดร.สมศักดิ์ แต้มบุญเลิศชัย

การสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์(2) ระบบการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในประเทศจีนนี้ มีข้อดีคือ คนที่ไม่มีเส้นสาย ไม่ได้อยู่ในตระกูลผู้ดีหรือผู้มีอำนาจ ก็สามารถอาศัยความรู้ของตนเองสอบเข้ารับราชการได้ ด้วยระบบการสอบที่เข้มงวด ผู้ที่สอบได้มักเป็นคนที่มีความรู้สูง ขุนนางที่มีความรู้ความสามารถในยุคสมัยต่างๆส่วนมากมาจากการสอบคัดเลือก ผู้สอบผ่านทั้งสามรอบบางคนเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียง บางคนเป็นผู้มีความสามารถในการปกครองประเทศ แต่ก็มีคนที่ได้รับการคัดเลือกจำนวนมากเป็นขุนนางก็ราชการเลวที่คดโกง บางคนแม้สอบเป็นข้าราชการพลเรือน(文官)แต่ก็มีความสามารถในการคุมกองทัพ การบัญชาการรบต้องรู้จักใช้วิทยายุทธ์ในการทำศึกสงคราม ซึ่งสามารถศึกษาจากตำราพิชัยสงครามและเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์และอาศัยความรู้ความสามารถและไหวพริบเฉพาะบุคคลได้ โดยไม่ต้องมีกำลังวังชา หรือสามารถต่อสู้กับผู้อื่นโดยการใช้อาวุธ การสอบคัดเลือกข้าราชการที่มีความสามารถในการรบส่วนบุคคลหรือข้าราชการฝ่ายทหาร(武官)นั้น มีการจัดขึ้นเป็นครั้งคราว เช่น ในสมัยที่บูเช็กเทียน(武则天)เป็นกษัตริย์ ซึ่งมีการสอบด้วยการประลองฝีมือการสู้รบโดยใช้อาวุธ และการยิงธนู การสอบคัดเลือกข้าราชการฝ่ายทหารนี้ มีการจัดขึ้นเป็นครั้งคราวและบางราชวงศ์ แต่ผู้ที่ได้รับการคัดเลือก มักไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นไข้การชั้นผู้ใหญ่ในตอนแรก ระบบการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการพลเรือนในประเทศจีนนี้ แม้สามารถคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถมารับราชการได้ แต่ก็มีข้อเสียหลายประการ การสอบเข้ารับราชการนี้ เกือบจะเป็นหนทางเดียวของผู้รู้หนังสือหรือปัญญาชนที่จะไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงในรัฐบาลได้ แต่ด้วยความยากในการสอบผ่านถึงขั้นสุดท้าย ผู้รู้หนังสือจึงต้องทุ่มเทอ่านหนังสือและตำราของสำนักขงจื๊อเป็นเวลานานปี จนกว่าจะสอบได้ โดยไม่ยอมทำงานอื่นเลย ในสังคมจีนผู้รู้หนังสือเป็นคนส่วนน้อยของประเทศ คนมาจากวงศ์ตระกูลการเรียนหนังสือถือว่าเป็นผู้ที่มีเกียรติสูงส่ง แม้ไม่มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพอื่น จนถึงตอนต้นของราชวงศ์หมิง ประเทศจีนยังมีระดับความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สูงกว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลก แต่จากที่ผู้เรียนหนังสือหรือปัญญาชนของประเทศมุ่งศึกษาหนังสือและตำราเพื่อสอบเข้ารับราชการ โดยไม่สนใจประกอบอาชีพอย่างอื่น และศึกษาหาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคอุตสาหกรรม การค้า และเทคโนโลยีของจีนจึงไม่มีการพัฒนา จึงล้าหลังกว่าประเทศอื่นมาก ความล้าหลังทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนในช่วงเวลากว่า 500 ปีในราชวงศ์หมิงและชิง จึงถือว่าเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งของระบบการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในสมัยนั้นด้วย ในราชวงศ์หมิงและชิง ด้วยเนื้อหาและรูปแบบการสอบที่แข็งกระด้าง การสอบคัดเลือกหาคนเข้ารับราชการ จึงไม่ได้วัดความรู้ความคิดของผู้เข้าสอบมากนัก แต่เป็นการคัดเลือกผู้ที่สามารถเขียนข้อสอบตามรูปแบบที่กำหนดไว้ได้หรือไม่มากกว่า ในสมัยนั้น จึงมีหนังสือคู่มือการสอบพิมพ์ออกขายจำนวนมาก นอกจากนี้ เนื่องจากการสอบนี้มีความสำคัญต่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ผู้เข้าสอบบางคนจึงมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตในลักษณะต่างๆ เช่น การให้สินบนแก่ผู้คุมสอบและผู้ตรวจข้อสอบ การลักลอบข้อความบางตอนที่ในหนังสือและคัมภีร์เข้าไปในห้องสอบ การจ้างให้ผู้อื่นมาเป็นคนสอบแทน ฯลฯ ฝ่ายรัฐบาลซึ่งเป็นผู้จัดสอบก็ต้องหาทางขจัดการทุจริตเหล่านี้ เช่น ลบชื่อผู้เข้าสอบออกก่อนการตรวจข้อสอบ หาคนมาคัดลอกคำตอบโดยไม่ตรวจจากข้อเขียนที่เป็นลายมือเดิม ลงโทษผู้ทุจริตทั้งผู้เข้าสอบที่มีพฤติกรรมทุจริตและข้าราชการรับสินบนอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่สามารถขจัดการทุจริตได้หมด จนบางครั้งมีการยกเลิกผลการสอบแล้วจัดสอบใหม่ ในสมัยที่อารยธรรมตะวันตกรุกเข้ามาในประเทศจีน มีบางคนที่มองเห็นข้อเสียขของเนื้อหาและรูปแบบการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการที่แข็งกระด้างไม่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน เสนอว่าให้มีการสอบในเนื้อหาที่เป็นความรู้อื่นนอกจากหนังสือคัมภีร์สำนักขงจื๊อ และให้ผู้เข้าสอบแสดงความเห็นได้ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก จนในปีค.ศ. 1905 รัฐบาลได้ยกเลิกการสอบคัดเลือกรูปแบบเดิม ถือว่าเป็นการสิ้นสุดระบบการสอบคัดเลือก ที่มีเวลายาวนานกว่า 1300 ปี หลังจากที่พ่ายแพ้สงครามฝิ่น(鸦片战争)ในปีค.ศ. 1942 ความรู้และวัฒนธรรมโลกตะวันตกได้เผยแพร่เข้ามาในประเทศจีน ขุนนางข้าราชการและประชาชนบางส่วนมองเห็นความจำเป็นในการเรียนรู้วิทยาการในโลกตะวันตก รัฐบาลก็ตระหนักถึงความเจริญของประเทศอื่นและความล้าหลังของจีน แต่ขุนนางความคิดอนุรักษ์นิยม ที่ยังกุมอำนาจรัฐอยู่ เห็นว่า วัฒนธรรม และระบอบการปกครองจีนที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานับพันปี ยังมีความโดดเด่น แม้ความสามารถในด้านแสนยานุภาพจะสู้เขาไม่ได้ ในเวลานั้น จึงมีความคิด”ยึดถือศาสตร์จีนเป็นหลัก(ในการปกครองบริหารประเทศและการดำเนินชีวิต) แต่เรียนรู้ศาสตร์ตะวันตกเพื่อใช้ประโยชน์(中学为体 西学为用) ต่อมา รัฐบาลจีนได้จัดตั้งสถาบันกิจการต่างประเทศ(洋务运动) ซึ่งมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การแปลภาษา การสร้างแสนยานุภาพ การฝึกทหารตามรูปแบบชาติตะวันตก การสร้างโรงงานเครื่องจักร ทั้งยังมีการส่งนักเรียนที่ยังเป็นเด็กอยู่ไปศึกษาในต่างประเทศ(แต่ต่อมาถูกเรียกตัวกลับ เพราะเกรงว่าเด็กเหล่านี้จะถูกมอมเมาจากวัฒนธรรมและประเพณีของชาติตะวันตก) ในตอนปลายของราชวงศ์ชิง มีผู้แปลหนังสือภาษาต่างประเทศเป็นภาษาจีน ทำให้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ความคิดสิทธิเสรีภาพ เสมอภาค การปกครองระบอบประชาธิปไตย และเรื่องตางๆในสังคม เศรษฐกิจการเมืองของประเทศตะวันตก เริ่มมีการเผยแพร่ในประเทศจีน ในสมัยนั้น มีผู้จัดตั้งโรงเรียนที่สอนวิทยาการของโลกตะวันตก และมีโรงเรียนที่ตั้งโดยชาวต่างชาติที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาเกิดขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ ยังนิยมให้บุตรหลานศึกษาหนังสือและคัมภีร์ของลัทธิขงจื๊อเพื่อสอบเข้ารับราชการ จนกระทั่งระบบการสอบคัดเลือกถูกยกเลิกไป ในตอนปลายราชวงศ์ชิง จีนถูกรุกรานโดยชาติวันตกมากขึ้น และต้องพ่ายแพ้ในการทำสงครามกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศเอเชียที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจีน แต่ญี่ปุ่นเมื่อถูกบังคับให้เปิดประเทศ ก็พยายามเรียนรู้วิทยาการประเทศตะวันตก และมีการปฏิรูปประเทศ ในขณะที่ประเทศจีน แม้มีผู้เสนอให้มีการปฏิรูประเทศและแผนการปฏิรูปนี้ได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์กวงซวี่(光绪) ทั้งยังได้รับการอนุมัติจากชูสีไทเฮา(慈禧太后)ซึ่งกุมอำนาจรัฐอยู่ในขณะนั้น แต่ในที่สุด แผนการปฏิรูปนี้ดำเนินการได้เพียงประมาณ 100 วัน ก็ถูกชูสีไทเฮาและขุนนางหัวเก่าโค่นล้ม ฝ่ายสนับสนุนปฏิรูปถูกจับกุมและถูกประหารชีวิตไปหลายคน แต่คังเหย่วหวุย(康有为)และเหลียงฉี่เชา(梁启超)ซึ่งเป็นผู้นำในการปฏิรูปหนีไปอยู่ประเทศญี่ปุ่นได้ เรื่องราวของคังเหย่วหวุยและเหลียงฉี่เชาเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เหลียงสอบเป็นบัณฑิตหรือซิ่วไฉ(秀才)ในระดับอำเภอได้เมื่อเขามีอายุเพียง 12 ปี และเมื่ออายุ 17 ปี เขาก็สอบผ่านการสอบคัดเลือกระดับมลฑลเป็นจวี่เหริน(举人)ได้ ในเวลานั้น คังเหย่วหวุยซึ่งเป็นเพียงบัณฑิตหรือซิ่วไฉ ได้ตั้งโรงเรียนสอนหนังสือเผยแพร่วิชาการของโลกตะวันตก และมีชื่อเสียงมากแล้ว หลังจากสอบเป็นจวี่เหรินได้แล้ว เหลียงฉี่เชาแวะไปหาคังเหย่วหวุย เมื่อได้พูดคุยกัน เหลียงจึงได้รับทราบถึงวิทยาการและความคิดตะวันตกหลายอย่างที่ตนไม่รู้มาก่อน คังยังกล่าวว่า วิชาที่เหลียงร่ำเรียนมาจนสอบเป็นจวี่เหรินได้นั้น มีขอบเขตที่จำกัด และไม่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารประเทศมากนัก หลังจากกลับมาแล้วครุนคิดอยู่ข้ามคืน เหลียงจึงไปหาคังอีกในวันรุ่งขึ้น และสมัครเป็นลูกศิษย์ของคัง ทั้งที่คังแม้มีอายุมากกว่า แต่มีคุณวุฒิที่ตำ่กว่า คังเหย่วหวุยตระหนักว่า หากมีคุณวุฒิเพียงซิ่วไฉ เขาจะไม่สามารถเสนอแผนการปฏิรูปประเทศได้ ต่อมา เขาไปสอบในมณฑลหลายครั้งกว่าจะสอบได้ หลังจากนั้น คังและเหลียงเดินทางไปสอบคัดเลือกรอบสุดท้ายที่เมืองหลวงด้วยกัน และนำเสนอแผนการปฏิรูปประเทศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้เข้าสอบหลายพันคน และแผนการปฏิรูปของเขาก็นำเสนอต่อกษัตริย์ได้ หลังจากที่ผ่านการสอบคัดเลือกในขั้นสุดท้ายและเป็นข้าราชการที่มีสิทธิ์เข้าพบกษัตริย์ได้ แต่แผนการปฏิรูปของเขาดำเนินการได้เพียงประมาณร้อยวันก็ถูกยกเลิกดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศ ระบบการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ดำเนินการมานับ 1000 ปีเมื่อเวลาผ่านพ้นไป ระบบนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ส่งผลเสียต่อการพัฒนาประเทศมากขึ้น แทนที่จะช่วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กลับทำให้นักวิชาการจีนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ความคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศมากนัก ในราชวงศ์หมิงและชิงซึ่งมีอำนาจอยู่กว่า 500 ปี ผู้มีความรู้มุ่งเพียงการท่องหนังสือคัมภีร์ และฝึกการเขียนคำตอบตามรูปแบบที่กำหนดไว้ ทำให้ไม่มีความรู้อื่นนอกจากความคิดของสำนักขงจื๊อ ซึ่งส่งต่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์หรือการสร้างบุคลากรเป็นอย่างมาก จนจีนกลายเป็นประเทศที่มีความล้าหลังและถูกรุกรานจากชาติตะวันตก จนได้รับความเสียหายมาก

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *