ลัทธิซูฟี (1)
ลัทธิซูฟี
จรัญ มะลูลีม
ความรู้สึกถึงสิ่งลี้ลับและความคิดไตร่ตรองนั้นมีอยู่ในทุกศาสนาและในคนทุกชาติทุกภาษา แต่ก็แตกต่างกันไปตามบุคคลและเชื้อชาติเผ่าพันธุ์และแนวโน้มของเขาที่จะเอาสิ่งที่เป็นนามธรรมไปคละเคล้ากับสิ่งมีตัวตนจริงๆ
ผู้ถือศาสนาฮินดู (Hinduism) ถือว่าการที่สิ่งที่มีตัวตนจำกัด (คือมนุษย์) ถูกดูดซึมเข้าไปในสิ่งที่ไม่มีขอบเขตจำกัด (คือพระเจ้า) นั้นก็คือความสุขอันสูงสุด และเพื่อไปให้ถึงจุดหมายนี้เขาจะหยุดนิ่งอยู่ที่จุดๆ หนึ่ง และถอนอัตตาออกจนกระทั่งกลายเป็นความว่างเปล่าเต็มที่
กระบวนการแพ่งพิจารณา (เข้าฌาน) นี้จะค่อยๆ นำไปสู่ข้อสรุปดังที่ปรากฎในพระคัมภีร์ภควัทคีตาว่าพระผู้สร้างกับการสร้างนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าลัทธิที่ถือว่าพระเจ้าสิงสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง (Pantheism) ในขั้นสุดโต่งนั้นเกือบจะกลายเป็นลัทธิเชื่อเครื่องรางไสยศาสตร์ หรือนับถือบูชาสิ่งใดๆ โดยปราศจากเหตุผล (Fetishism) ซึ่งมีอยู่ก่อนความคิดอย่างอื่นทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระเจ้าไปเสียแล้ว
ในขั้นตอนที่จิตใจของมนุษย์ยังเป็นทารกไม่รู้จักความรู้สึกด้านจิตวิญญาณใดๆ นอกจากความหวาดกลัวแต่อย่างเดียว ป่าดงดิบซึ่งมนุษย์ยังไม่เคยเห็น ภูเขาสูงตระหง่านที่อยู่ไกลๆ ความมืดของยามค่ำคืนอันเต็มไปด้วยรูปร่างแปลกประหลาดน่ากลัวที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ไปมา
เสียงหวิดหวิวของลมที่พัดผ่านยอดไม้ในป่าทึบ ทั้งหมดเหล่านี้ก่อให้เกิดความหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาในจิตใจขั้นทารกของมนุษย์ เขาจะบูชาวัตถุทุกอย่างที่เขาคิดว่ามีอำนาจหรือน่ากลัวมากกว่าตัวเขาเองหรือน่ากลัวกว่าสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวเขา แล้วเขาก็จะค่อยๆ เติมอุดมคติเข้าไปในวัตถุธรรมชาติเหล่านั้น และคิดว่าลักษณะอุดมคติเหล่านั้นมีค่าควรแก่การนับถือบูชา
เมื่อกาลเวลาผ่านไป ลักษณะอุดมคติที่อยู่แยกกันแต่ละอย่างเหล่านี้ก็ค่อยๆ เข้ามารวมกันกลายเป็นลักษณะอุดมคติสากลที่โอบล้อมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ดังนั้นต่อจากขั้นการนับถือบูชาวัตถุ (Fetishism) จึงกลายเป็นขั้นที่คิดว่าพระเจ้าสิ่งสถิตอยู่ในวัตถุต่างๆ (Materialistic Pantheism) นี่คือความนิยมสิ่งลี้ลับที่แฝงอยู่ในจิตใจของมนุษย์
ปรัชญาที่นิยมความลี้ลับ ถือกำเนิดมาจากความสำคัญด้านความลี้ลับ (Esoteric) ที่มุสลิมส่วนหนึ่งถือว่ามีอยู่ในพระวัจนะของพระเจ้าในคัมภีร์อัล-กุรอาน ลัทธินิยมความลี้ลับซึ่งมีความใฝ่ฝันอย่างสูงที่จะบรรลุถึงพระเจ้าถูกนำมาโดยคำสอนของอิสลามในเรื่อง “แสงสว่างภายในตน” มุสลิมที่เป็นนักคิดหลายคนมีความคิดว่าในข้อความของคัมภีร์อัล-กุรอานนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งอยู่ข้างในเกินกว่าที่จะเข้าใจกันเพียงเผินๆ ได้
ที่พวกเขาคิดดังนี้มิใช่เพื่อจะหลีกหนีไปจากความเข้มงวดเคร่งครัดของ “คัมภีร์และกฎเกณฑ์คำสอน” แต่เกิดจากความมั่นใจอันลึกซึ้งว่าถ้อยคำของพระเจ้าเหล่านั้นมีความหมายลึกซึ้งมากกว่าที่ได้รับการอภิปรายโดยนักอรรถาธิบาย
ความมั่นใจนี้รวมกับความรู้สึกลึกๆ ในใจในเรื่องความแผ่ซ่านอยู่ทั่วไปของพระเจ้า อันเป็นความรู้สึกที่เกิดจากคำสอนของอัล-กุรอานและสอดคล้องอย่างเต็มที่กับคำสอนของพระคัมภีร์นั้นและของท่านศาสดา ดังนั้นจึงได้เกิดเป็นปรัชญานิยมความลี้ลับที่เราเรียกว่าลัทธิซูฟี (Sufism) ขึ้นในหมู่มุสลิม
ตามความคิดของคนทั่วไป ลัทธินี้หมายถึงการละทิ้งเรื่องทางโลกโดยสิ้นเชิง ต้องสละพันธะหน้าที่ที่มีต่อครอบครัวและมุ่งสำรวมจิตคำนึงแต่สิ่งเดียวโดยเด็ดขาดจากสิ่งอื่นๆ ทั้งปวง แต่อันที่จริงแล้วผู้เป็นซูฟีที่แท้จริงในอิสลามก็คือผู้ที่ต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งสองด้าน คือส่วนประกอบซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ศัตรูของกันและกัน
หลักการของซูฟี
ปรัชญาซูฟีเป็นเรื่องที่กว้างขวางและหลากหลายมาก ไม่อาจถือว่าสำนักคิดที่ถูกตั้งขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียวอย่างตรงไปตรงมาได้ มันได้เผยตัวออกมาในรูปลักษณ์ต่างๆ กัน ในสถานที่และกาลเวลาต่างๆ กัน ยิ่งกว่านั้นในคำสอนของซูฟีผู้คนต่างๆ ซึ่งตั้งระบบต่างๆ กันก็มีแนวโน้มไปต่างๆ กันด้วย สำนักคิดซูฟีมีสาขาหรือระบบต่างๆ ถึง 200 สาขา จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวถึงหลักการของสำนักคิดนี้ให้ถูกต้องแน่นอนลงไป แต่ก็ได้
- หลักการเรื่องพระเจ้า
แนวความคิดของซูฟีเรื่องพระเจ้ามักจะแตกต่างจากฝ่ายจารีตนิยม ซูฟีให้ความหมายส่วนแรกของคำปฏิญาณ (กะลิมะฮ์) ที่ว่า “ลาอิลาฮะ อิล ลัลลอฮ์” มิใช่ว่า “ไม่มีสิ่งใดควรแก่การสักการะบูชานอกจากอัลลอฮ์” แต่เป็น “ไม่มีสิ่งใดอยู่นอกจากอัลลอฮ์” ดังนั้นซูฟีจึงถือว่าพระเจ้าคือ สิ่งเป็นจริง (Reality) สิ่งเดียวเท่านั้น สิ่งอื่นๆ นอกจากนั้นล้วนแต่เป็นมายา แต่ในเรื่องธรรมชาติของสิ่งเป็นจริงนี้ ซูฟีกลุ่มต่างๆ ก็มีความคิดเห็นไม่เหมือนกันอีก บางคนก็ถือว่าคือเจตนารมณ์สากล บางคนก็ถือว่าคือความรู้แท้จริง บ้างก็คิดว่าเป็นแสงสว่างนิรันดร์บางคนก็เห็นว่าเป็นความงามสูงสุด
- หลักการเรื่องดวงวิญญาณของมนุษย์
พวกซูฟีถือว่าดวงวิญญาณของมนุษย์คือส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของพระเจ้า อัล-กุรอานกล่าวว่า “ข้าได้เป่าดวงวิญญาณของข้า (พระเจ้า) เข้าไปสู่เขา (มนุษย์)” ยิ่งกว่านั้นท่านศาสดายังได้กล่าวว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ในรูปของพระองค์เอง ดังนั้นธรรมชาติภายในหรือจิตวิญญาณของมนุษย์จึงคล้ายคลึงกับดวงจิตของพระเจ้า และคุณลักษณะบางประการของพระเจ้าก็สะท้อนอยู่ในมนุษย์ ดังนั้นซูฟีจึงถือว่ามนุษย์เป็นเหมือนโลกเล็กๆ ซึ่งมีดวงจิตของพระเจ้าอยู่ในระดับสูงสุด เพราะฉะนั้นซูฟีจึงกล่าวว่า “บุคคลผู้รู้จักตัวเองย่อมรู้จักพระผู้อภิบาลของเขา”
- หลักการเรื่องโลกภายนอก
สำหรับซูฟีส่วนมากนั้นโลกภายนอกไม่ใช่ของจริงเป็นสิ่งลวง ของจริงอย่างเดียวคือพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดนอกจากพระองค์ พระองค์คือแก่นแท้อย่างเดียวที่แฝงอยู่ในปรากฎการณ์ทุกอย่าง
โลกนี้ไม่มีความเป็นอยู่ที่แท้จริง มันเป็นเพียงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงๆ ทุกสิ่งในโลกอยู่กับพระองค์ สิ่งภายนอกทั้งหลายล้วนแต่เป็นสิ่งที่ออกมาจากพระเจ้าหรือมิฉะนั้นก็เป็นกระจกเงาซึ่งสะท้อนคุณลักษณะของพระองค์
ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นทรรศนะกว้างๆ เกี่ยวกับโลกภายนอกเท่านั้น แต่ทว่าแต่ละกลุ่มหรือสาขาก็ยังมีทรรศนะแตกต่างออกไปอีกในการตีความเรื่องกระบวนการของจักรวาลและความสัมพันธ์ของจักรวาลที่มีต่อพระเจ้า
ในเรื่องนี้เราอาจแบ่งซูฟีออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มอิญาลียะฮ์ กลุ่มชุฮุดดียะฮ์ และกลุ่มวาญุดดียะฮ์ กลุ่มที่หนึ่งนั้นถือว่าแก่นแท้ของโลกนั้นอยู่ข้างนอกแก่นแท้ของพระเจ้า แต่โลกมาจากพระองค์ ถึงแม้ว่าในตอนต้นจะมีแก่นแท้อยู่สองชนิดก็ตาม แต่ในที่สุดเนื้อแท้ของโลกภายนอกก็จะละลายเข้าไปในเนื้อแท้ของพระองค์
ส่วนกลุ่มที่สองก็คิดว่าโลกภายนอกเป็นภาพสะท้อนของพระเจ้า โลกนี้ไม่มีความเป็นอยู่จริงๆ เลย พระเจ้าผู้ทรงเป็นสิ่งจริงแท้สูงสุดสิ่งเดียวนั่นเองที่ทรงสะท้อนภาพของพระองค์ผ่านสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ส่วนกลุ่มที่สามนั้นถือว่าแก่นแท้มีอยู่หนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือพระเจ้า พระองค์ผู้เป็นสิ่งแท้จริงสูงสุดถูกมองดูจากมุมสองมุมที่ต่างกัน
- ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์คือสายสัมพันธ์แห่งความรัก พระเจ้าทรงสร้างสากลจักรวาลขึ้นเพราะความรัก และมนุษย์ก็คือภาพของพระองค์เอง ดังนั้นในดวงวิญญาณของมนุษย์จึงมีคุณลักษณะแห่งความรักของพระเจ้าอยู่ ทำให้มนุษย์ใฝ่ฝันที่จะไปรวมกับพระองค์ ดวงวิญญาณของมนุษย์ก็คล้ายกับเป็นผู้แปลกหน้าที่ถูกเนรเทศมา ใฝ่ฝันคะนึงหาที่จะได้กลับไปยังบ้านเดิมของตน
- จุดหมายของชีวิต
เนื่องจากว่าความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อพระเจ้านั้นเป็นแบบคู่รักที่มีต่อผู้เป็นที่รัก ดังนั้นซูฟีจึงถือว่าจุดหมายของชีวิตคือการกลับไปรวมกับพระเจ้า คือการที่ดวงวิญญาณของมนุษย์แต่ละดวงละลายหายเข้าไปในดวงวิญญาณสากล ความมุ่งหมายของชีวิตมนุษย์จึงมิใช่การหลีกเลี่ยงจากนรกและการบรรลุถึงสวรรค์ดังที่มุสลิมจารีตนิยมเข้าใจกันโดยทั่วไป แต่มันคือการบรรลุถึงพระเจ้า การเข้ารวมกับพระองค์ การเข้ารวมนี้คือหลักพื้นฐานของจริยธรรมของซูฟีเป็นอุดมคติสูงสุด
- แหล่งความรู้
แม้ว่าเราสามารถบรรลุถึงความรู้ของพระเจ้าได้โดยอาศัยญาณวิสัย (กัชฟ์) เท่านั้น ตามความคิดเห็นของซูฟีนั้น เหตุผลไม่สามารถช่วยให้ได้รับความรู้ของพระเจ้าได้ ญาณวิสัยนั้นเป็นผลจากความดื่มด่ำ (ฮัล) ซึ่งจะมีได้หลังจากการฝึกฝนทางจิตมาเป็นเวลานาน
- ความดื่มด่ำ
ซูฟีชอบความดื่มด่ำซาบซึ้ง (ฮัล) หรือประสบการณ์ทางจิตใจทำนองนั้นมากกว่าปฏิบัติกิจทางศาสนาซึ่งเป็นพิธีการ ตามปกติแล้วฝ่ายจารีตนิยมมักจะถือว่าการปฏิบัติกิจทางศาสนาที่เป็นพิธีการ (เช่นการละหมาด ถือศีลอด ฯลฯ) มีผลอยู่ในตัวเอง แต่ตามคำสอนที่แท้จริงของอิสลามแล้ว การปฏิบัติที่เป็นพิธีการก็คือวิถีทางที่จะนำไปสู่การบรรลุถึงศีลธรรมในระดับที่สูง การปฏิบัติเหล่านี้ไม่อาจถูกละเลยได้
ซูฟีส่วนมากก็ยึดมั่นในทรรศนะนี้ แต่เน้นความสำคัญของแง่มุมทางด้านศีลธรรมหรือด้านจิตวิญญาณของการปฏิบัติเช่นนั้นมากกว่า ความดื่มด่ำหมายถึงภาวะของจิตที่นำไปสู่ภาวะและขั้นตอนที่สูงส่งกว่านั้น ซึ่งหมายถึงฟะนาและบะกอ
- การระลึกถึง (ซิกร์)
เพื่อที่จะให้บรรลุถึงภาวะแห่งความดื่มด่ำ ซูฟีต้องอาศัยการระลึกถึง ในอัล-กุรอานมีกล่าวไว้ว่า “…จงระลึกถึงพระเจ้าอยู่เสมอ” ซูฟีจึงระลึกถึงพระเจ้าอยู่เสมอโดยการเอ่ยพระนามของพระองค์ซ้ำๆ กัน (อัสมาอุล-ฮุสนา) หรือมิฉะนั้นก็ท่องโองการหนึ่งในคัมภีร์อัล-กุรอานอยู่ตลอดเวลา ซูฟีกลุ่มหนึ่งๆ ก็มีวิธีระลึกแตกต่างกันไป บางพวกก็ท่องเบาๆ บางพวกก็ตะโกนเสียงลั่นเอะอะจนถึงกับแสดงท่าทางบ้าคลั่งอย่างเช่น เอามีดแทงตัวเอง กินไฟ กลืนงู เป็นต้น
- ความชั่วร้าย
ตามความคิดเห็นของซูฟีนั้น ความชั่วร้ายที่เราเห็นอยู่ในโลกนี้ไม่ใช่ของจริง เนื่องจากว่าโลกภายนอกไม่มีความเป็นอยู่จริงๆ ฉะนั้นความชั่วร้ายในโลกภายนอกจึงไม่มีความเป็นอยู่จริงๆ ด้วย พวกเขาถือว่าความชั่วคือสิ่งที่ไม่มีอยู่ แต่เป็นการขาดไปหรือการไม่มีอยู่ของสิ่งที่มีอยู่
ซูฟีบางคน (อย่างช่น ญะลาลุดดีน (รูมี)) คิดว่าถึงแม้ว่าความชั่วร้ายเป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริง ในเรื่องความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่มันก็เป็นจริงในเรื่องความสัมพันธ์กับโลกนี้ มันเป็นผลอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ของการผสมกันระหว่างความมีอยู่ (ความเป็นจริง) กับความไม่มีอยู่
ถึงแม้ว่าจะมีคำจำกัดความของ “ลัทธิซูฟี” อยู่ในหนังสือภาษาอาหรับและเปอร์เซียมากมายก็ตาม แต่ความสำคัญของคำจำกัดความเหล่านี้อยู่ที่ว่ามันได้แสดงให้เห็นว่าไม่อาจให้คำจำกัดความที่เหมาะสมแก่มันได้ ผู้ที่ให้คำจำกัดความเหล่านั้นได้แต่พยายามที่จะแสดงออกมาซึ่งสิ่งที่ตัวเขาเองรู้สึกอยู่เท่านั้น แต่ก็ไม่อาจครอบคลุมเนื้อหาและความรู้สึกทั้งหมดได้ เปรียบเทียบคนตาบอดคลำช้างแล้วกล่าวว่าช้างนั้นเหมือนโน้นเหมือนนี่ซึ่งก็ถูกต้องเพียงส่วนเดียวเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามขอยกคำจำกัดความบางประโยคมาให้ดูเป็นตัวอย่างดังนี้
“ลัทธิซูฟีเป็นอย่างนี้ คือการกระทำที่พระเจ้าเท่านั้นจะทรงทราบจะผ่านไปบนเขา (คือกระทำแก่เขา) และเขาจะอยู่กับพระองค์ในวิธีที่พระองค์เท่านั้นทรงทราบ”
“ลัทธิซูฟีเป็นอย่างนี้ คือการมีวินัยควบคุมตนเองอย่างเต็มที่”
“ลัทธิซูฟี คือการไม่เป็นเจ้าของสิ่งใดและไม่ให้สิ่งใดมาเป็นเจ้าของ”
“ลัทธิซูฟี คืออิสรภาพและความเอื้ออารีและไม่มีการเหนี่ยวรั้งตนเอง”
“ลัทธิซูฟี คือการมองดูความบกพร่องของโลกแห่งปรากฏการณ์ การปิดตาต่อทุกๆ สิ่งที่ไม่สมบูรณ์เพื่อไตร่ตรองถึงพระองค์ผู้ทรงอยู่ห่างไกลจากความไม่สมบูรณ์ทั้งปวง นี่แหละคือลัทธิซูฟี”
“ลัทธิซูฟี คือ การควบคุมอวัยวะต่างๆ และสังเกตดูลมหายใจ” ฯลฯ
ลัทธิซูฟีไม่ใช่นิกายเพราะมันไม่มีระบบคำสอนหรือลักเกณฑ์อะไร ส่วนวิถีทางหรือที่เรียกว่าเฏาะรีก็อตที่จะบรรลุถึงพระเจ้าก็มีอยู่มากมายหลายทางทีเดียว
คำนิยามที่เก่าแก่ที่สุดของคำว่า “ลัทธิซูฟี” คือ “การเกรงกลัวความเป็นจริงของพระเจ้า” ซูฟีมักจะเรียกตัวเองว่า “ผู้ติดตามสิ่งจริงแท้ (อะห์ลุลฮักก์)” คำว่า อัล-ฮักก์ นั้นเป็นคำที่ซูฟีมักใช้กันทั่วไปเพื่อเรียกพระเจ้า ซูฟีส่วนใหญ่ถือว่าคว่า อัล-ฮักก์ มาจากรากศัพท์ภาษาอาหรับหมายถึง “ความบริสุทธิ์” ฉะนั้นซูฟีจึงมี ความหมายว่า “ผู้มีความบริสุทธิ์ในดวงใจ”หรือ “ผู้ที่ได้รับเลือก”
คำว่าซูฟี (Sufi) นั้นมาจากต้นตอต่างๆ นักวิชาการมุสลิมสมัยแรกๆ ถือว่า มันมาจากคำว่า “อะห์ลุส ซัฟฟาห์” (Ahl-us Saffah) คือผู้ที่ใช้ชีวิตแบบสันโดษที่อยู่ในมัสญิดของท่านศาสดามุฮัมมัดบางคนก็กล่าวว่ามาจากคำว่า “ซอฟ” ซึ่งหมายถึงแถวหรือลำดับ เพราะซูฟีอยู่ในระดับหนึ่ง
อัล-ญามิอ์ (Al-Jami) และผู้อื่นบางคนเชื่อว่ามาจากคำว่า “เซาะฟา” (ความบริสุทธิ์) ส่วนนักวิชาการตะวันตกชอบเอาคำนี้ไปเกี่ยวกับคำว่า “Sophist” (ผู้รักความรู้หรือครูอาจารย์กรีกสมัยโบราณ ซึ่งสอนวิชาปรัชญาและวาทศิลป์)
อย่างไรก็ตาม ทรรศนะที่ใหม่ที่สุดก็คือคำว่า “Sufi” มาจากคำว่า “Suf” (ผ้าขนสัตว์) เพราะเครื่องแต่งกายที่ทำด้วยผ้าขนสัตว์เป็นสัญลักษณ์ของการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสละความฟุ่มเฟือยทิ้งไป
ท่านศาสดาแห่งอิสลามและมุสลิมในสมัยแรกๆ เป็นจำนวนมากชอบสวมเสื้อผ้าเรียบๆ มากกว่าเสื้อผ้าสีฉูดฉาดแม้กระทั่งในโอกาสที่มีงานฉลองคำว่า “อัสวาฟ” (พหูพจน์ของสุฟ) มีใช้ในคัมภีร์อัล-กุรอานด้วย
ที่นี้ของให้เรามาดูคำว่า “วะลี” (Wali) บ้างเพราะสองคำนี้ (ซูฟีกับวะลี) นั้นใช้แทนกันอยู่เสมอๆ “วะลี” หมายถึง “ใกล้” และ “วิลาอิต” (Wilait) หมายถึง “ความใกล้” หรือ ความใกล้ชิดกับพระเจ้า” วิลาอิตมีอยู่สองระดับ ระดับหนึ่งหมายถึงผู้ศรัทธาโดยทั่วไป ดังที่คัมภีร์อัล-กุรอานกล่าวว่า “พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ (หรือเป็นมิตรกับบรรดาผู้มีศรัทธา (และ) ทรงนำพวกเขาออกมาจากความมืดมาสู่แสงสว่าง” ส่วนอีกระดับหนึ่งสงวนไว้สำหรับผู้ที่ทำลายตัวเองลงในพระเจ้า
เพราะฉะนั้น “วะลี” ที่แท้จริงก็คือผู้ที่ศรัทธาในพระองค์และตายไปในพระองค์ ดังที่ครั้งหนึ่ง อิบรอฮีม บิน อาดัม (Ibrahim bin Adam) เคยกล่าวแก่ผู้หนึ่งที่อยากเป็นวะลีว่า “จงอย่าเอนเอียงเข้าหาอะไรในโลกนี้หรือโลกหน้า และจงรักษาตัวเองให้จำกัดอยู่แต่ในพระผู้อภิบาลผู้สูงส่งของท่านและในที่สุดก็จงซึมซาบเข้าไปในพระองค์เถิด”
อะบุล กอซิม อัล-กุชัยรี (Abul Qasim al-Qushairy) ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อริซาละอีกุชัยรียะฮ์ (Risala-i-Qushairiyah) ซึ่งเป็นหนังสือเก่าแก่ที่สุดที่มีอยู่เกี่ยวกับลัทธิซูฟี เขียนเมื่อ ค.ศ. 1040 ว่า คำว่า “วะลี” นั้นอาจถือว่าเป็น ก) กรรมวาจก (Passive Voice) หมายถึง “ผู้ซึ่งถูกรักโดยพระเจ้า” ดังที่คัมภีร์อัล-กุรอานกล่าวว่า “แน่แท้ผู้คุ้มครองฉันนั้นคือพระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยพระคัมภีร์” หรือ ข) วาจก (Active Voince) หมายถึง “เขาผู้ที่รักการบูชาและอุทิศตนแด่พระเจ้า” และอะบู อับดุลลอฮ์ คอฟิฟ (Abu Abdullah Khafif) กล่าวว่า “ซูฟีคือผู้ที่พระเจ้าทรงทำให้บริสุทธิ์เพื่อพระองค์เองเนื่องด้วยความรัก”
นักอรรถาธิบายมุสลิมมักจะแบ่งมนุษย์ออกเป็น ระดับดังนี้
ผู้มีความสำเร็จซึ่งบรรลุจุดหมายปลายทางเป็นอย่างดีแล้ว
ผู้มีคุณสมบัติกลางๆ ซึ่งกำลังเดินทางอยู่ตามหนทางที่นำไปสู่จุดหมายปลายทาง
ผู้ไร่ค่าซึ่งหยุดนิ่งอยู่
บุคคลระดับที่ 1 นอกจากท่านศาสดามุฮัมมัดและศาสดาอื่นๆ ถูกแบ่งออกไปอีกเป็น (ก) ซูฟีผู้ซึ่งบรรลุถึงจุดหมายปลายทางโดยการเดินตามรอยเท้าศาสดาทั้งหลายและได้กระทำหน้าที่อันสูงส่งคือนำมวลชนไปสู่ทางที่เที่ยงธรรมด้วย
(ข) ฟากิร (Faqir) ผู้ซึ่งหลังจากบรรลุถึงความสมบูรณ์แล้วก็ได้ทำตัวเองให้หายไปในความลืมเลือน ซูฟีย่อมเหนือกว่าฟากิร เนื่องจากฟากิรมุ่งที่จะไปให้ถึงจุดหมายโดยอาศัยความยากจนและการสละโลก ในขณะที่ซูฟีมิได้ใช้หนทางหรือวิธีการใดๆ และมั่นใจว่าจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม
ซูฟีซึมซาบอยู่ในจุดหมายปลายทางของเขาเสียจนแยกไม่ออกระหว่างวิถีทางกับจุดปลายทาง ยิ่งกว่านั้นนอกจากจะหาความสมบูรณ์ให้แก่ตนเองแล้ว ซูฟียังพยายามที่จะทำให้ผู้อื่นสมบูรณ์ด้วยโดยนำพวกเขาไปยังการกระทำที่ถูกต้อง ในเมื่อฟากิรมุ่งอยู่แต่ตัวเองเท่านั้น
ทฤษฏีพัฒนาจิตวิญญาณของซูฟีตั้งอยู่บนการสละตัวตนโดยสิ้นเชิงและดูดซึมอยู่ในการคำนึงถึงพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ซูฟีเชื่อว่าด้วยการดูดซึมและการมุ่งสำรวจจิตนี้เขาอาจได้ติดต่อกับพระเจ้าอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น และได้รู้ถึงสัจจะอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ความเชื่อนี้ ในขณะที่มันทำให้ผู้เคร่งในศาสนาอุทิศชีวิตของเขาเพื่อศาสนา แต่ในขณะเดียวกันก็อาจก่อให้เกิดความเพ้อเจ้อขึ้นได้
การรู้จักพระเจ้าโดยญาณวิสัยหรือตะอัรรุฟ (Taamuf) นั้นมีแฝงอยู่ในความศรัทธาแล้ว ความตั้งใจ (นิยาต) ที่จะ “เข้าถึง” กุรบัต (Kurbat) และมีการติดต่อกับพระเจ้าเป็นหลักเบื้องต้นอันสำคัญของการอุทิศตนอย่างแท้จริง
ไม่เพียงแต่ว่าพระเจ้าตรัสกับหัวใจของมนุษย์ผู้แสวงหาความช่วยเหลือและการนำทางของพระองค์อย่างจริงใจและกระตือรือร้นเท่านั้น แต่ความรู้ทุกอย่างยังมาจากปรีชาฌานอันสูงส่งของพระองค์อีกด้วย มันถูกส่งมาถึงท่านศาสดาโดยการเปิดเผย (Revelation-วะฮีย์) โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านสื่อกลาง การติดต่อโดยตรงเช่นนี้ในอิสลามเรียกว่า “อิลมิ ลาตุนนี” (IImi-Laduni) คำสัญญาของพระเจ้าได้พบการสนองตอบในหัวใจของมนุษย์เมื่อ (หัวใจ) ถูกยกขึ้นสูงในการวิงวอนถึงพระองค์
ผู้นิยมความลี้ลับของทุกเชื้อชาติศาสนาเปรียบความก้าวหน้าของชีวิตด้านจิตวิญญาณว่าเป็นการเดินทางหรือการไปแสวงบุญ มีการใช้สัญลักษณ์อย่างอื่นๆ เหมือนกัน แต่ที่ใช้กันมากคืออย่างนี้
ซูฟีผู้เริ่มต้นแสวงหาพระเจ้ามักจะเรียกตัวเองว่า “ผู้สัญจร” หรือซาลิก (Salik) ไปตามทาง (เฏาะรีเกาะฮ์) เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางคือการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความจริงแท้ (ฟะนาฟิลฮักก์)
“หนทาง” นั้นประกอบด้วยขั้นตอน 7 ขึ้นตอนด้วยกัน แต่ละขั้นตอน (นอกจากขั้นตอนแรก) ต่างก็เป็นผลของขั้นตอนที่อยู่หน้าถัดมันไป ขั้นตอนทั้งเจ็ดมีดังนี้ (1) ความสำนึกผิด (2) การงดเว้น (3) การสละโลก (4) ความยากจน (5) ความอดทน (6) ความไว้วางใจในพระเจ้า (7) ความพอใจ
“ขั้นตอน” เหล่านี้ก่อให้เกิดวินัยแบบฤาษีและด้านจริยธรรมของซูฟีหนทางของซูฟีจะไม่หมดลงจนกว่าเขาจะผ่านขั้นตอนทั้งหมดไปเสียก่อน เขาต้องการทำตัวให้สมบูรณ์ในแต่ละขั้นตอนก่อนที่จะก้าวไปสู่ขั้นตอนใหม่ เขาจะได้รับความสำเร็จในขั้นตอนไหนก็ได้ถ้าพระเจ้าทรงพอใจและมอบความสำเร็จให้แก่เขา ตรงนั้นแหละที่เขาจะถูกยกขึ้นไปสู่ความสำนึกในระดับสูงอย่างถาวรซึ่งซูฟีเรียกว่า “มะอ์ริฟาต” (Marifat) และ “ความจริงแท้” (ฮะกีกัต) ตรงจุดนี้ผู้แสวงหา (ฏอลิบ) ก็จะกลายเป็น “ผู้รู้” หรือสิ่งที่ผู้นั้นรู้ (อะรีฟ) ไปและประจักษ์แจ้งว่าความรู้ ผู้รู้และสิ่งที่ผู้นั้นรู้ก็คือสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกัน
พระเจ้าในอัล-กุรอานได้ถูกบรรยายว่าเป็น “แสงสว่างแห่งฟากฟ้าทั้งหลายและของผืนแผ่นดิน” นั้นไม่อาจแลเห็นได้ด้วยตากาย การให้ความหมายแบบลี้ลับของข้อความที่มีชื่อเสียงข้อความหนึ่งในอัล-กุรอาน ซึ่งเปรียบแสงสว่างของพระเจ้าเป็นเหมือนเทียนไขที่ลุกอยู่ในดวงโคมที่ทำด้วยแก้วใสซึ่งวางอยู่ในช่องในผนัง ช่องผนังนั้นก็คือหัวใจของผู้มีศรัทธาที่แท้จริง เพราะฉะนั้นพระวัจนะของพระองค์ก็คือแสงสว่าง การงานของพระองค์ก็คือแสงสว่าง และพระองค์ทรงเคลื่อนไหวอยู่ในแสงสว่าง แสงสว่างที่ส่องสว่างอยู่ในหัวใจของซูฟีผู้มีแสงสว่างแล้วจะทำให้เขามีพลังอำนาจเหมือนมนุษย์ในการมองเห็น (ฟุรูซัต) พระเจ้าได้
จากแสงสว่างที่รุ่งโรจน์เพิ่มขี้นๆ ซูฟีก็จะขึ้นไปสู่การใคร่ครวญถึงคุณลักษณะของพระเจ้าและในที่สุดเมื่อความสำนึกในตัวตนของเขาละลายหายไปหมด เขาก็เปลี่ยนรูปไป (ตะเญาฮัร) อยู่ในรังสีแห่งตัวตนอันแท้จริงของพระเจ้า นี่คือ “จุดหมาย” ของการทำดี เพราะว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับผู้กระทำดี
ซูฟีเชื่อว่าเมื่อตัวตนส่วนบุคคลสูญไป เขาก็จะได้พบตัวตนสากล หรืออาจกล่าวได้ว่าความปิติซาบซึ้งเป็นทางเดียวที่ดวงวิญญาณจะสื่อความหมายกับพระเจ้าได้โดยตรงและสามารถเข้ารวมกับพระองค์ได้ ทฤษฏีเรื่องการบำเพ็ญตนแบบฤาษีก็ดี การชำระจิตใจบริสุทธิ์ก็ดี ความรัก ความรู้อันเป็นพิเศษ หรือความเป็นวะลีก็ดีซึ่งเป็นความคิดสำคัญๆ ของลัทธิซูฟีทั้งหมดนี้ต่างก็มาจากหลักการอันสำคัญนี้ทั้งสิ้น