ยูเครนยอมสู้ตายเพื่ออะไร
สบาย สบาย สไตล์เกษม
เกษม อัชฌาสัย
ยูเครนยอมสู้ตายเพื่ออะไร
มนุษย์เมื่อหมดหนทางสู้รบที่เอาชนะ หนทางเดียวที่ทำได้ก็คือ”สู้ตาย”ครับ
นั่นเป็นเหตุผลที่ยูเครน ทั้งรัฐบาลและประชาชนจับมือกันต่อสู้กับทัพรัสเซียเพื่อยืนยันในความเป็นเอกราชของชาติที่จะไม่ปล่อยให้ใครมาปล้นอาไป ด้วยกำลังที่เหนือกว่า
สู้ทั้งๆ ที่รู้ว่า ในที่สุด ก็จะต้องพ่ายแพ้ เพราะใครๆ ก็รู้ว่า รัสเซียนั้น มีแสนยานุภาพยิ่งใหญ่ขนาดไหน
ว่ากันว่า ศักย์สงครามของรัสเซียนั้นเป็นรองก็สหรัฐเท่านั้น เมื่อเทียบกันในแง่ประสิทธิภาพของอาวุธและกำลังพล
แต่กระนั้น ก็ไม่แปลกที่รัสเซียเตรียมการบุกยูเครนไว้ตั้งแต่แปดปีที่ผ่านมา หลังผนวกคาบสมุทรไครเมีย โดยค่อยๆ เสริมกำลังที่พรมแดนประชิดยูเครน ทั้งจากภาคเหนือ ตะวันออกและภาคใต้(ทางทะเล)
ถอนเข้า-ถอนออก ทำเป็นทีเล่นทีจริงมาตลอด แล้วบอกว่า นั่นคือการซ้อมรบ ว่าเข้านั่น
จริงเป็นเท็จ เท็จเป็นจริง
จนกระทั่งสถานการณ์สุกงอม คือเมื่อโลกทั้งใบ โดนกระหน่ำด้วย”โควิด 19” จนอ่วมอรทัยสร้างความอ่อนแออย่างใหญ่หลวงต่อทุกๆชาติ รวมทั้งอภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐ(และชาติอื่นๆ) แม้รัสเซียก็ด้วย
“วลาดิมีร์ ปูติน”จึงฉวยโอกาสลงมือกระทำในสิ่งที่รัสเซียเรียกว่า“ปฏิบัติการทางทหาร”(เพื่อให้ดูเหมือนว่า มิใช่การทำสงครามรุกรานเพื่อนบ้าน)ท่ามกลางความงุนงงและสงสัยของชาวโลกในเบื้องแรกว่า แค่ผนวกเพียงเขต”ดอนบาส”กระมัง
ในที่สุด ก็ไม่ใช่แค่เท่านั้น แต่เป็นการบุกใหญ่ เพื่อยึดครองยูเครนทั้งหมด หมายเปลี่ยนแปลงให้ยูเครนเป็นเขตกันชนของรัสเซีย จากชาติพันธมิตรตะวันตก ป้องกันการคุกคามของ”นาโต้”
แต่การรุกรบ ไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ด้วยกองทัพใหญ่รัสเซียใหญ่โตเกินไป เหมือนจรเข้ยักษ์โตคับคลอง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือที่ขรุขระ
ไม่อาจยึดเมืองสำคัญๆ รวมทั้งกรุง”เคียฟ”ไว้ได้อย่างทันท่วงที หรือทันใจ”ปูติน”
เลยเกิดการสู้รบยืดเยื้อ กองทัพรัสเซียที่ใหญ่โต ตกเป็นเป้าตอบโต้ ในการขัดขวางและทำลายล้างจากกองทัพยูเครน ที่มีทั้งกองกำลังประจำการและกองกำลังอาสาสมัครชาวยูเครน(และต่างชาติ) แม้จะมีอาวุธสู้กองทัพรัสเซียไม่ได้
แต่ขวัญกำลังใจมีมากมายมหาศาล เป็นที่ปรากฏชัดต่อสายตาชาวโลก
แต่ที่น่าสมเพชมากก็คือ ก็คือพลเรือน ลูกเด็กเล็กแดงและคนชราชาวยูเครน ที่ต้องติดแหง็กอยู่กับบ้านเรือนในเมืองใหญ่ๆ ที่ตกเป็นเป้าโจมตี โดยไม่สามารถหลบไปไหน แถมอดอยากปากไหม้ ขาดแคลนทั้งอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรคและพลังงาน ที่จำเป็นต้องสร้างความอบอุ่นในยามหน้าหนาว
ความล้าช้าในการบุก รัสเซียจึงทำได้แค่เพียงโอบล้อมเอาไว้ จนในที่สุดต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ ให้โหดเหี้ยมขึ้นไปหก่านั้น ด้วยการโจมตีระยะไกลและการโจมตีทางอากาศ หมายให้เกิดความสูญเสียมาก ๆ
เพื่อกดดันให้ยอมแพ้ที่ละเมือง
แต่จนขณะนี้ ทำท่าว่าจะยึดไว้ได้ แค่หัวเมืองเดียวคือ“มาริอูโปล”ที่ถูกทิ้งระเบิดและโจมตีจนพรุนไปทั่วทั้งเมืองเท่านั้น
ที่เลวร้ายมากที่สุดก็คือ การโจมตีทำให้พลเรือนล้มตายเป็นจำนวนมาก เพราะจงใจไม่แยกแยะเป้าโจมตี โรงพยาบาลนับสิบๆแห่งและอาคารพลเรือนถูกทำลาย ลูกเด็กเล็กแดงตายไปนับสิบๆ
สะท้อนความโหดเหี้ยมของรัสเซีย ทั้งรัฐบาลและตัว”ปูติน”เอง
นับว่าเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีฐานก่ออาชญากรรมสงครามยิ่งนัก
ดังนั้นการที่รัสเซียเรียกร้องให้ยอมแพ้ ยูเครนจึงไม่ยอม
จึงไม่แปลกที่ประธานาธิบดี”โวโลดีมีร์เซเลนสกี”แห่งยูเครน ที่ใครต่อใคร เรียกเขาเล่นๆด้วยความปรามาสว่า”ตัวตลก”จะไม่เลิกปลุกใจให้ชาวยูเครนลุกขึ้นสู้ เรียกร้องขอให้ชาติเพื่อนบ้าน ที่เชิดชูเสรีประชาธิปไตยช่วยเหลือหรือช่วยเจรจา รวมทั้งเรียกร้องให้องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือช่วย องค์การที่อยากได้ยูเครนมาเป็นชาติกันชน เพื่อใช้ตั้งขีปนาวุธจ่อยิงกบาลรัสเซีย
แต่ทุกฝ่าย เงียบเป็นเป่าสาก เพราะกลัวสงครามจะขยายตัว ทำให้ตนเองเดือดร้อน
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น ชาติตะวันตกเหล่านี้ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา อยากได้ยูเครนมาเป็นพวกใจจะขาด แต่เอาเข้าจริง กลับไม่ช่วย ได้แต่เลียบๆเคียงๆ
ถามว่าคนอย่างนี้คบได้หรือ ในที่สุดพวกเขาไม่เคยเห็นหัวเจ้า ใช่หรือไม่
ใครที่คิดจะพี่งพาชาติตะวันตก ช่วยเชิดชูประชาธิปไตยเย้วๆนั่นน่ะ จำใส่กบาลไว้บ้าง
อีกตัวอย่างก็คือ พวก”ปฏิวัติร่มฮ่องกง”นั่นไง ล้วนถูกทอดทิ้งแล้ว มิใช่หรือ
ได้ยินมาว่า ในไม่กี่วันนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐ”โจ ไบเดน”จะเดินทางมาประชุมผู้นำชาตินาโต้ที่บรัสเซลส์เพื่อหารือว่า จะช่วยยูเครนอย่างไรดี นอกเหนือไปจากการแอบส่งอาวุธไปให้บ้างแล้ว
ก็ไม่รู้ว่าความช่วยเหลือที่ว่า จะตกอยู่ในสภาพ ”กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้” หรือเปล่า
ผู้นำยูเครน”เซเลนสกี”ก็เลยเหนื่อยมาก ต้องออกมาปราศรัย ขอให้คนโน้นคนนี้ช่วย เกือบจะทุกวัน จนคนที่ไม่ชอบเขาพากัน”หมั่นไส้”
พร้อมๆกันนั้น ก็พยายามให้กำลังใจการสู้รบ ในขณะอีกทางหนึ่งขอเจรจาโดยตรงกับ”วลาดิมีร์ ปูติน”ที่เอาแต่ยืนกรานให้ยอมแพ้จึงจะเจรจาด้วย
แต่มีหรือที่”เซเลนสกี”และกองทัพยูเครนจะถอดใจ กลับยิ่งพากันสู้ไม่ถอย แม้จะต้องสูญเสียไปเท่าไร
ฉะนั้น ตอนนี้ทางรัสเซียทำได้ แค่รอให้ยูเครนอ่อนแอ หมดกำลังไปเอง เพราะเชื่อว่าจะในระยะยาวจะเกิดความขาดแคลน ทุกสิ่งทุกอย่างในที่สุด
ทุกข์ยากทั้งหลายจึงพากันประดังประเดทับเทไปที่ราษฏร ในขณะที่รัฐบาลประกาศสู้ตาย ด้วยเจตนารมณ์รักชาติที่เข้มข้น
และก็ไม่แน่ว่าจะต้องสู้ตาย จนไม่เหลือสักคน
สู้จนตายเหมือนชาวยิวโบราณ ๙๖๐ คน ที่ช่วยกันฆ่าตัวตาย ไม่ยอมให้ทหารโรมันล้อมจับ ที่ป้อมปราการ
”มาซาดา”ในช่วงคริสต์ศักราชที่ ๗๓ ถึง ๗๔ หลังพระยูคริสต์เจ้าถูกตรึงกางเขน อันเป็นฉากสุดท้ายของสงครามครั้งแรกระหว่าง”ยิว-โรมัน”
หรืออย่างชาวบ้านบางระจัน ในที่สุดต้องพากันสละชีวิตสู้ทัพพม่า ไม่ยอมให้จับเป็น โดยเฉพาะกลุ่มผู้นำ ก่อนจะเสียกรุงครั้งที่ ๒ ในปี ๒๓๑๐ เนื่องจากไม่ได้รับการใส่ใจหรือสนับสนุนจากเมืองหลวง
ทั้งชาวยิวและชาวบ้านบางระจัน ล้วนยอมตาย ไม่ยอมถูกจับเป็นเชลย ให้เสียศักดิ์ศรีและอิสรภาพ ทั้งนี้ด้วยความทรนง เพราะไม่อยากตกอยู่ในสภาพ :-
“ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส
เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ จะนับถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย
ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา”
ดั่งที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงประพันธ์ย้ำเอาไว้
ชาวยูเครนที่กำลังต่อสู้ชนิดตายเป็นตาย ไม่ว่าจะในสนามรบ ในป่าเขา บนฝั่งทะเล เพื่อต่อต้านกองทัพรัสเซียที่พยามยามยึดครองประเทศ ในเวลานี้ แม้รู้ว่าจะต้องพ่ายแพ้ในที่สุดนั้น
ก็สู้ด้วยเหตุผลนี้ เช่นเดียวกัน
ชาวยูเครนสู้กับกองทัพมหาอำนาจรัสเซีย ก็เหมือนกับชาวเวียดนามสู้กับกองทัพมหาอำนาจอเมริกัน ตัวเล็กกว่าแต่ใจเด็ดกว่า เพราะสู้เพื่อปกป้องมาตุภูมิ ไม่เหมือนผู้รุกรานที่ออกมารบตามคำสั่งนาย ….