jos55 instaslot88 Pusat Togel Online ทฤษฎีความเป็นผู้นำตามสถานการณ์ - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ทฤษฎีความเป็นผู้นำตามสถานการณ์

ทฤษฎีความเป็นผู้นำตามสถานการณ์

ทฤษฎีเชิงสถานการณ์แสดงการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญภายในการวิจัยความเป็นผู้นำ ด้วยการรับรู้ว่าความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ไม่ใช่คุณลักษณะหรือพฤติกรรมของผู้นำมันหมายความว่าผู้นำต้องสามารถประเมินสถานการณ์ที่พวกเขาบริหารอยู่และพิจารณาสไตล์อะไรจะเหมาะสมกัยสถานการณ์ดีที่สุด เพราะว่าสไตล์ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ มุมมองนี้ได้รับรู้เราไม่มีวิธีการศึกษาความเป็นผู้นำที่สไตล์เดียวใช้ทั้งหมดที่จริงแล้วทฤษฎีเชิงสถานการณ์เริ่มแรกได้ถูกเสนอแนะโดยโรเบิรตเเทนเนนบอม และวอร์เรน ชมิดท์เมื่อ ค.ศ 1958 พวกเขาได้อธิบายว่าผู้บริหารควรจะพิจาณาปัจจัยสามอย่างก่อนที่จะเลือกพฤติกรรมผู้นำที่ดีที่สุดอย่างไร ปัจจัยสามอย่างเหล่านี้คือ แรงผลักดันทางผู้บริหาร แรงผลักดันทางผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และแรงผลักดันทางสถานการณ์ เฟรด ฟิดเลอร์ ได้พัฒนาทฤษฎีความเป็นผู้นำตามสถานการณ์ขึ้นมาเมื่อ ค.ศ 1964

ทฤษฎีของเขามุ่งที่ความสำคัญของสถานการณ์ต่อความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ และสนับสนุนความเชื่อว่าเราไม่มีคุณลักษณะหรือพฤติกรรมความเป็นผู้นำที่ดีที่สุดพอล เฮอร์ซี่ย์ และเคนเนธ แบลนชาร์ด ได้พัฒนาทฤษฎีความเป็นผู้นำตามสถานการณ์เมื่อ ค.ศ 1969 ทฤษฎีได้ถูกแนะนำครั้งแรกเป็นทฤษฎีวงจรชีวิตของความเป็นผู้นำ พวกเขาได้มุ่งที่คุณลักษณะของบุคคลต่อการพิจารณาพฤติกรรมผู้นำที่เหมาะสม ผู้นำควรจะเปลี่ยนแปลงสไตล์ผู้นำของพวกเขา เมื่อบุคคลของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลง ระดับวุฒิภาวะ ในแง่ของความสามารถและความเต็มใจทำงานของพวกเขา ดังนั้นผู้นำควรจะเปลี่ยนแปลงสไตล์ผู้นำของพวกเขาผ่านระยะที่แตกต่างกันของระดับวุฒิของบุคคล เมื่อความสามารถและความเต็มใจของบุคคลได้เปลี่ยนแปลงไป

โรเบิรต แทนเนนบอม และวอร์เร็น ชมิดท์ นักจิตวิทยาได้นำเสนอแนวต่อเนื่องพฤติกรรมความเป็นผู้นำของพวกเขาครั้งแรก ด้วยบทความ 1958 ภายในฮาร์วาร์ด บิสซิเนส รีวิว “How to Choose a Leadership Pattern” และได้พิมพ์ใหม่และปรับปรุงภายใน 1973 ฉบับปรับปรุงหามาได้จากเว็บไซต์ของเอสบีอาร์เเนวต่อเนื่องของพฤติกรรมความเป็นผู้นำของพวกเขาเป็นทฤษฎีความเป็นผู้นำตามสถานการณ์ โรเบิรต แทนเนนบอม เป็นอาจารย์ยูซีเเอลเอ คณะบริหารแอนเดอร์สัน วอร์เรน ชมิดท์ ได้สอนอยู่ที่ยูซีเเอลเอด้วยพวกเขาได้ขยายการวิจัยสไตล์ความเป็นผู้นำของเคิรท เลวิน สามอย่าง


: ผู้นำแบบเผด็จการ ผู้นำแบบประชาธิปไตย และผู้นำแบบเสรีนิยมออกไปอีก ด้วยการพัฒนาแนวต่อเนื่องของพฤติกรรมผู้นำขึ้นมา พวกเขาได้เสนอแนะขอบเขตของพฤติกรรมผู้นำที่ค่อนข้างกว้างบนแนวต่อเนื่องของพฤติกรรมผู้นำที่เป็นไปได้ ระหว่างผู้นำแบบเผด็จการปลายสุดด้านหนึ่ง และผู้นำแบบประชาธิปไตยปลายสุดอีกด้านหนึ่ง พวกเขาได้ชี้ว่าพฤติกรรมของผู้นำสามารถอยู่บนแนวต่อเนื่องสะท้อนระดับที่แตกต่างกันของการมีส่วนร่วมของบุคคล ดังนั้นผู้นำอาจจะเป็นเผด็จการปลายสุดด้านหนึ่ง และประชาธิปไตยปลายสุดอีกด้านหนึ่ง และผสมกันของสไตล์ความผู้นำทั้งสอง ขนาดที่ผู้นำควรจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตยมากน้อยเเค่ไหนขึ้นอยู่กับสถานการณ์และผู้นำควรจะปรับพฤติกรรมผู้นำของพวกเขาให้สอดคล้องกับสถานการณ์พวกเขาได้อธิายทางเลือกของผู้นำภายในการตัดสินใจ และแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากทางเลือกเหล่านี้ พวกเขาได้เสนอแนะว่าผู้นำจะมีทางเลือกของการตัดใจเมื่อนำกลุ่มเจ็ดอย่างการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระด้บความเป็นอิสระที่ผู้นำจะให้แก่บุคคล และระดับของอำนาจหน้าที่ใช้โดยผู้นำ เมื่อความเป็นอิสระของบุคคลเพิ่มขึ้น อำนาจหน้าที่ของผู้นำจะลดลง เมื่อเคลื่อนจากซ้ายไปขวาตามแนวต่อเนื่อง แนวต่อเนื่องของพฤติกรรมผู้นำจากขวาไปซ้ายมีเจ็ดระดับคือ 1 ผู้นำตัดสินใจและสั่งการ 2 ผู้นำอธิบายการตัดสินใจ 3 ผู้นำเสนอความคิดและขอคำถาม 4 ผู้นำเสนอการตัดสินใจที่เปลี่ยนแปลงได้ 5 ผู้นำเสนอปัญหา ขอคำแนะนำ และตัดสินใจ 6 ผู้นำระบุขอบเขตของปัญหา และให้กลุ่มตัดสินใจ 7 ผู้นำให้กลุ่มตัดสินใจพวกเขาได้อธิบายต่อไปว่าเมื่อผู้นำเลือกทางเลือกของการตัดสินใจ พวกเขาควรจะพิจารณาแรงกดดันสามอย่างคือ
*แรงกดดันภายในของผู้นำผู้บริหารใช้สไตล์ความเป็นผู้นำอย่างไรย่อมได้รับอิทธิพลจากภูมิหลัง ความรู้ ค่านิยม และประสบการณ์ของพวกเขา ผู้บริหารที่มีค่านิยมต่อเสรีภาพส่วนบุคคลยอมให้บุคคลของพวกเขามีความเป็นอิสระต่อการตัดสินใจ
*แรงกดดันจากผู้ใต้บังคับบัญชา คุณลักษณะของบุคคลได้ถูกพิจารณาก่อนที่ผู้บริหารจะเลือกใช้สไตล์ความเป็นผู้นำที่เหมาะสม ผู้บริหารจะยอมให้บุคคลมีความเป็นอิสระ เมื่อบุคคลต้องการความรับผิดชอบการตัดสินใจ
*แรงกดดันทางสถานการณ์ การเลือกสไตล์ความเป็นผู้นำที่เหมาะสมผู้ต้องคาดคะเนเเรงกดดันทางสถานการณ์ เหมือนเช่น บรรยากาศองค์การ ข้อจำกัดทางเวลา ลักษณะงานของกลุ่ม และกลุ่มงานเฉพาะ

1. ผู้บริหารตัดสินใจและประกาศมันผู้บริหารระบุปัญหา พืจารณข้อเเก้ปัญหาทางเลือก เลือกข้อแก้ปัญหาทางเลือก และประกาศการตัดสินใจเเก่บุคคลเพื่อดำเนินการ ผู้บริหารเพียงแค่บอกบุคคลของพวกเขาทำอะไร การบอกบุคคลทำบางสิ่งบางอย่างที่เราได้ตัดสินใจและไม่ต้องการข้อโต้เเย้งใดก็ตาม บุคคลไม่มีโอกาสที่จะมีส่วนร่วมภายในการตัดสินใจ
2 ผู้บริหารชักจูงให้ยอมรับการตัดสินใจผู้บริหารรับผิดชอบการระบุปัญหา และทำการตัดสินใจ แต่กระนั้นไม่เพียงแค่ประกาศมัน เขาได้ใช้ขั้นตอนเพิ่มขึ้นชักจูงบุคคลให้ยอมรับมันด้วยการให้เหตุผล เเม้ว่าการตัดสินใจจะไม่เปลี่ยนแปลง กลุ่มถูกยอมให้ถามคำถาม และรู้สึกว่าความต้องการของพวกเขาถูกพิจารณา
3. ผู้บริหารนำเสนอความคิด ร้องขอคำถามผู้บริหารทำการตัดสินใจไปแล้ว และเเสวงหาการยอมรับความคิดของเขา ภายหลังการนำเสนอความคิด ผู้บริหารร้องขอคำถาม เพื่อที่บุคคลสามารถเข้าใจได้ดีขึ้นอะไรที่เขาพยายามจะบรรลุ ผู้บริหารตัดสินใจและสร้างการยอมรับด้วยการชักจูง
4 ผู้บริหารเสนอการตัดสินใจที่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ ผู้บริหารระบุและวิเคราะห์ปัญหาของการตัดสืนใจ และตัดสินใจเป็นข้อเสนอที่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้บนข้อมูลจากบุคคล แต่ผู้บริหารตัดสินใจในที่สุด การยอมให้บุคคลมีอิทธิพลบ้างต่อการตัดสินใจ
5. ผู้บริหารนำเสนอปัญหา ขอคำแนะนำ และตัดสินใจผู้บริหารนำเสนอปัญหา และขอคำเเนะนำและข้อแก้ปัญหา เพื่อที่จะพิจารณาจากบุคคล ผู้บริหารทำการตัดสินใจในที่สุด บุคคลมีโอกาสครั้งแรกที่จะเสนอเเนะข้อแก้ปัญหา
6 ผู้บริหาระบุขอบเขต และขอให้กลุ่มตัดสินใจผู้บริหารระบุปัญหา และขอบเขตของการตัดสินใจ และยอมให้กลุ่มค้นหาข้อแก้ปัญหาและทำการตัดสินใจในที่สุด ผู้นำยังคงรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ และเขาควบคุมความเสี่ยงภัยโดยการกำหนดข้อจำกัด
7. ผู้บริหารยอมให้กลุ่มตัดสินใจภายในข้อจำกัดที่กำหนดไว้
ผู้บริหารขอให้กลุ่มระบุปัญหา พัฒนาทางเลือก และทำการตัดสินใจผู้บริหารกลายเป็นสมาชิกเท่าเทียมกันคนหนึ่งของกลุ่ม กลุ่มเป็นอิสระทำอะไรที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหา ในขณะที่ยังคงทำงานภายใต้ข้อจำกัดที่มีเหตุผล

“โมเดลตามสถานการณ์ของฟิดเลอร์” รู้จักกันเป็น “ทฤษฎีความเป็นผู้นำตามสถานการณ์ของฟิดเลอร์” ด้วย เฟรด ฟีดเลอร์ นักจิตวิทยาออสเตรีย ได้เสนอแนะทฤษฎีความเป็นผู้นำตามสถานการณ์ภายในบทความ 1964 ของเขา “A Contingency Model of Leadership Effectiveness” ระหว่างช่วงเวลาของเขา ณ มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เฟรด ฟิดเลอร์ได้มุ่งที่การย้ายการวิจัยองค์การ เลยพ้นออกไปจากการจำกัดการวิจัยเกี่ยวกับคุณลักษณะส่วนบุคคลของผู้นำ ไปสู่สไตล์ความเป็นผู้นำ เมื่อ ค.ศ 1967 โมเดลตามสถานการณ์ของฟีดเลอร์ได้ถูกสร้างขึ้นมา เฟรด ฟิดเลอร์ ชี้ว่าสมมุติฐานของโมเดลนี้คือ สไตล์ความเป็นผู้นำของบุคคลเป็นผลลัพธ์ของประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา มันทำให้เป็นคุณลักษณะที่ตายตัว ยุ่งยากอย่างมากที่จะเปลี่ยนแปลง เนื่องจากสไตล์ความเป็นผู้นำเป็นคุณลักษณะที่ตายตัว ประสิทธิภาพของผู้นำขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฟรด ฟีดเลอร์ ยืนยันว่า แทนความพยายามเปลี่ยนเเปลงสไตล์ความเป็นผู้นำของบุคคล องค์การควรจะมุ่งให้สไตล์ความเป็นผู้นำสอดคล้องต่อสถานกาณ์ โมเดลตามสถานการณ์ของเฟรด ฟิดเลอร์ ได้ถูกแบ่งเป็นส่วนประกอบสามอย่างคือ สไตล์ความเป็นผู้นำ ความเอื้ออำนวยทางสถานการณ์ และการทำให้สไตล์สอดคล้องกับสถานการณ์ทฤษฎีตามสถานการณ์มุ่งเน้นความสำคัญของทั้งบุคลิกภาพของผู้นำและสถานการณ์ที่ผู้นำนำอยู่จุดสำคัญของทฤษฎีฟีดเลอร์คือ ประสิทธิภาพของผู้นำขึ้นอยู่กับการรวมกันของปัจจัยสองอย่าง สไตล์ความเป็นผู้นำของผู้นำ และความเอื้ออำนวยทางสถานการณ์เฟรด ฟิดเลอร์ ได้ศึกษาบุคลิกภาพและคุณลักษณะของผู้นำหลายร้อยคน เขาได้พิจารณาว่าความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพอยู่บนสไตล์ความเป็นผู้นำของคุณสอดคล้องกับสถานการณ์ดีเเค่ไหน

ทฤษฎีของเขาได้สรุปว่าสไตล์ความเป็นผู้นำของบุคคลส่วนใหญ่ตายตัว บนประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา และยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ต่อผู้นำที่มีประสิทธิภาพ สไตล์ความเป็นผู้นำของพวกเขาต้องสอดคล้องกับสถานกาณ์ เฟรด ฟิดเลอร์ได้ระบุปัจจัยทางสถานการณ์สามอย่างกำหนดความยากง่ายของการบริหารของผู้นำคือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและผู้ตาม โครงสร้างของงาน และอำนาจตามตำแหน่ง คุณต้องวิเคราะห์ความเอื้ออำนวยทางสถานการณ์ของสภาพเเวดล้อมการทำงานของคุณ ถามตัวคุณเองคำถามต่อไปนี้ และประเมินคำตอบจาก 1 ถึง 10
*ทีมของคุณไว้วางใจคุณเป็นผูนำคุณสูงหรือต่ำ มันเป็นระดับชองความไว้วางใจและความเชื่อมั่นที่ทีมของคุณมีต่อคุณ ผู้นำที่มีความไว้วางใจสูงภายในทีมอยู่ภายในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยมากกว่าผู้นำที่ไม่มีความไว้วางใจ – คะเเนนความสัมพันธ์ผู้ตามและสมาชิก
*งานคลุมเครือหรือชัดเจนและเข้าใจดีหรือไม่มันเป็นประเภทของงานที่คุณกำลังทำ งานชัดเจนและมีโครงสร้าง หรืองานคลุมเครือและไม่มีโครงสร้าง งานที่กลุ่มและผู้นำมีความรู้น้อยที่จะทำให้สำเร็จอย่างไรได้ถูกมองเป็นสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย – คะเเนนโครงสร้างของงาน
*อำนาจของคุณต่อกลุ่มของคุณสูงหรือต่ำ มันเป็นจำนวนของอำนาจที่คุณมีต่อกลุ่มของคุณ คุณยิ่งมีอำนาจมากเท่าไร สถานการณ์ของคุณยิ่งเอื้ออำนวยมากขึ้นเท่านั้น อำนาจของคุณเข้มแข็งหรืออ่อนแอ – คะแนนอำนาจตามตำแหน่งของผู้นำรูปแสดงให้เห็นสถานการณ์ของความเป็นผู้นำแปดอย่าง บนส่วนผสมของปัจจัยทางสถานการณ์เหล่านี้ เช่น สถานการณ์ที่หนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและผู้ตามดี โครงสร้างของงานชัดเจน และอำนาจตามตำแหน่งของผู้นำเข้มแข็ง เป็นสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยสูง บริหารได้ง่ายหรือควบคุมได้มาก แต่สถานการณ์ที่แปด ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและผู้ตามไม่ดี โครงสร้่างของงานไม่ชัดเจน และอำนาจตามตำแหน่งของผู้นำอ่อนแอ เป็นสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยสูง บริหารได้ยากหรือควบคุมได้น้อยภายในการสร้างความสอดคล้องระหว่างสถานการณ์ และความผู้นำ นักวิจัยได้ค้นพบว่าผู้บริหารควรจะใช้ความเป็นผู้นำแบบมุ่งงานภายในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยสูง -สถานการณ์ที่ 1 และ 2 และสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยสูง – สถานการณ์ที่ 7 และ 8 และความเป็นผู้นำแบบมุ่งความสัมพันธ์ภายในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยปานกลางเฟรด ฟีดเลอร์ได้วัดสไตล์ความเป็นผู้นำด้วย มาตราส่วนแอลพีซี เป็น เครื่องมือวัดพฤติกรรมของผู้นำสองอย่าง พฤติกรรมแบบมุ่งงาน และพฤติรรมแบบมุ่งความสัมพันธ์ มาตราส่วนเเอลพีซีต้องการให้เราประเมินบุคคลที่เราต้องการทำงานด้วยน้อยที่สุดตามมาตราส่วน 1 ถึง 8 บนความหลากหลายของเกณฑ์ที่แตกต่างกันคะเเนนอยู่ระหว่าง 18 และ 144 ถ้าคุณได้คะเเนน 73 และสูงกว่า คะเเนนแอลพีซีสูงหมายถึงคุณเป็นผู้นำแบบมุ่งความสัมพันธุ์

โดยปรกติผู้นำแบบมุ่งความสัมพันธ์มองแอลพีซีของพวกเขาเป็นบวก การให้คะเเนนสูงแก่พวกเขาถ้าคุณได้คะเเนน 54 และต่ำกว่า คะเเนนเเอลพีซีต่ำหมายถึงเราเป็นผู้นำแบบมุ่งงาน โดยปรกติผู้นำแบบมุ่งงานมองแอลพีซีของพวกเขาเป็นลบการให้คะเเนนต่ำแก่พวกเขาถ้าคุณได้คะเเนนระหว่าง 55 และ 72 คุณเป็นทั้งผู้นำแบบมุ่งความสัมพันธ์และมุ่งงาน มันขึ้นอยู่กับคุณพิจารณาสไตล์ความเป็นผู้นำไหนเหมาะสมกับคุณดีที่สุด ได้ผลดีภายในสภาพเเวดล้อมที่เลือก

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *