หรือ “ทรัมป์” จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมส์ (ตอนจบ)
คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ทหารประชาธิปไตย
หรือ “ทรัมป์” จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมส์ (ตอนจบ)
ในตอนที่แล้วได้กล่าวถึงคำพูดของ “ทรัมป์” ที่จะขจัดอิทธิพลของ “DEEP STATE” จากการบริหารประเทศของประธานาธิบดี ซึ่งได้สรุปไปแล้วว่าทรัมป์คงไม่สามารถกำจัดอิทธิพลของ “DEEP STATE” ซึ่งได้หยั่งรากลึกมายาวนานและมีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องจนเป็น “THE ESTABLISHMEN” (สถาบันสถาปนา) ที่ทรงอิทธิพลต่อโลกอยู่ในขณะนี้
ในส่วนนี้จะขอให้ข้อมูลย้อนหลังถึงวิวัฒนาการของ “DEEP STATE” เพื่อให้เข้าใจพลังที่แท้จริงของขบวนการนี้ว่ามีแหล่งนี้มาอย่างไรโดยสังเขป
เริ่มแต่ยุคกลางในยุโรป ช่างฝีมือมือเป็นเทคโนแครตที่ทรงอิทธิพลเพราะกุมความลับทางเทคโนโลยีเอาไว้และถ่ายทอดกันภายในตระกูล เช่น เทคโนโลยีการหลอมโลหะ การก่อสร้างการพัฒนาและผลิตอาวุธ ต่อมาช่างฝีมือเหล่านี้ก็รวมตัวกันเป็นสมาคมที่เรียกว่า “GUILD” จนพัฒนาไปสู่สมาคมลับที่ทรงอำนาจคือ “FREE MASION” ที่มีสมาชิกอยู่ในหลายวงการโดยเฉพาะวงการเมือง
จาก “FREE MASION” ก็ได้มีการผสมผสานกับความเชื่อของศาสนาโบราณโดยเฉพาะอียิปต์โบราณกลายเป็นลัทธิอิลูมินาติ “ILLUMINATI” จนมาถึงช่วงศตวรรษที่ 18 เกิดลัทธิที่เรียกว่า “ZIONISM” ซึ่งอ้างอิงและพาดพิงกับศาสนายูดา ผนวกกับการอ้างอิงคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่า (OLD TESTERMENT) แต่ในความเป็นจริงขบวนการนี้คือขบวนการชาตินิยมที่ต้องการจัดตั้งประเทศอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์ ของชาวยิวที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในยุโรป และเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนที่มีพลัง จึงคืบคลานเข้าสู่การสนับสนุนทางการเมือง โดยมีฐานสำคัญคือธุรกิจด้านการเงิน และขยายตัวไปสู่อุตสาหกรรมต่างๆที่สำคัญ คือ พลังงาน และการผลิตอาวุธ ขบวนการ “ไซออนิสต์” นี้ในที่สุดก็ผนวกเข้ากับขบวนการ “FREE MASION” และลัทธิอิสูมินาติ แม้จะไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ก็แยกแยะลำบาก โดยต่างก็เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน และย้ายฐานอำนาจจากยุโรปมาสู่สหรัฐฯอเมริกา ตั้งแต่การตั้งประเทศใหม่ๆ ดังปรากฏสัญลักษณ์บนธนบัตรดอลลาร์ คือ รูปปิรามิดและมีดวงตาอยู่บนยอด
ปัจจุบันด้วยการครอบงำของขบวนการไซออนิสต์ ฐานการเงินสำคัญอยู่ที่วอลสตรีท แต่ฐานเดิมที่ยังทรงพลังในยุโรป คือ ศูนย์บริหารการเงินที่ “CITY OF LONDON” ที่ควบคุมโดยตระกูลรอธไซล์ (Rothchild)
ทั้งนี้ขบวนการดังกล่าวได้ทำหน้าที่เป็น DEEP STATE ที่ครอบงำการเมืองของมหาอำนาจตั้งแต่เจ้าอาณานิคมอังกฤษมาจนถึงสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามแม้คนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นภาพหรือยอมรับความมีอยู่และอิทธิพลของขบวนการดังกล่าว แต่ภาพบนยอดภูเขาน้ำแข็ง คือ พลังของอุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมอาหารและยา อุตสาหกรรมสื่อและภาพยนตร์ โดยมีธุรกิจการเงินที่มีเครือข่ายทั่วโลกเป็นตัวกำกับ ก็ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากถึงอิทธิพลทางการเมืองและนโยบายระหว่างประเทศ ที่จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของธุรกิจเหล่านี้
ดังนั้นหากเรากลับมาพิจารณาเหตุการณ์อีก 2 สมรภูมิที่เป็นจุดร้อนแรงในโลก นอกจากความตึงเครียดด้าน จีน-ไต้หวัน และภูมิภาคแถบนั้น ซึ่งได้วิเคราะห์ไปแล้วในตอนที่แล้ว
สมรภูมิตะวันออกกลาง แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความชัดเจนที่ว่า ทรัมป์จะต้องเดินตามทิศทางที่กำกับโดย “DEEP STATE” นั่นคือสนับสนุนสงครามขยายดินแดนของเนทันยาฮู
ซึ่งอาจเป็นสงครามไม่รู้จบ โดยคนอเมริกันไม่ได้รับประโยชน์อะไร นอกจากเสียภาษีเพิ่มขึ้น แต่อุตสาหกรรมผลิตอาวุธได้ประโยชน์มหาศาล
จุดสำคัญของสงครามของเนทันยาฮู คือ ชักจูงสหรัฐฯ ให้ร่วมกันโจมตีอิหร่าน ซึ่งอิหร่านคงไม่อยู่นิ่ง ดังเช่นการเคลื่อนไวของกองกำลังติดอาวุธในอิรัก เช่น อัชด์ อัลชะอ์บี ได้เคลื่อนกำลังใกล้ชายแดนซาอุดิอารเบีย ในขณะที่ฮูตี ทำการโจมตีเทลอาวีฟ และส่งสัญญาณผ่านซาอุดิอารเบียว่าจะโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และอิสราเอลหากยังคงมาโจมตีเยเมน ซึ่งนั่นคือการเตือนซาอุดิอารเบีย ในการร่วมมือกับอิสราเอลและสหรัฐฯ
อนึ่งหากมีการกดดันอิหร่านโดยตั้งเป้าที่จะทำลายศูนย์พัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ก็อาจทำให้อิหร่านต้องพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อปกป้องตนเอง ซึ่งอิหร่านมีขีดความสามารถที่จะทำได้
นอกจากนี้อิสราเอลยังมีเป้าหมายในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์คือการทำลายโอกาสการพัฒนาด้านนิวเคลียร์ของทุกประเทศในภูมิภาค ดังได้ทำลายโรงไฟฟ้าเคลียร์ในอิรักและซีเรียไปแล้ว เป้าหมายต่อไปจึงมุ่งอิหร่าน แต่มองข้ามโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของตุรเคีย ไปไม่ได้ แม้ตอนนี้ได้ร่วมกับรัสเซียก่อสร้างเกือบแล้วเสร็จและเตรียมเปิดใช้ในปี 2025 นี้
ถ้าอิสราเอลโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของตุรเคีย ชาตินาโตตามข้อบัญญัติที่ 5 จะต้องช่วยตุรเคียรบอิสราเอล แต่ผู้เขียนไม่เชื่อว่าจะมีใครทำ
ดังนั้นตุรเคียในฐานผู้มีบทบาทสำคัญในซีเรียในขณะนี้ ก็คงต้องตีวัวกระทบคราดดำเนินการตอบโต้ผ่านซีเรียต่ออิสราเอลและกองกำลังเคิร์ดที่เมกาสนับสนุน
ทรัมป์ก็คงต้องให้กองกำลังสหรัฐฯในภูมิภาคสนับสนุนอิสราเอลและเคิร์ด ซึ่งก็เท่ากับขยายสงครามไม่ใช่การสร้างสันติภาพ
สมรภูมิที่ 3 คือสงครามรัสเซียยูเครน ซึ่งตอนนี้รัสเซียรุกคืบหน้าจนเกือบควบคุมพื้นที่ทั้งหมดของโดเนสก์และลูฮานสก์เกือบหมดแล้ว ส่วนที่เหลือคือบางส่วนคือแคว้นซาโปรุสเซีย และเคอร์ซอนกับบริเวณแคว้นคาคืฟ
หากทรัมป์ต้องการยุติสงครามไม่ว่าจะถาวรหรือชั่วคราวก็คงต้องยอมรับเงื่อนไขของปูติน นั่นคือให้ยูเครนเป็นกลางปลอดทหารและมอบดินแดนในดอนบาสให้รัสเซียิแม้ตอนนี้ปูตินจะบอกว่าไม่มีการตั้งเงื่อนไขล่วงหน้านอกจากทวงสัญญาเดิมของสหรัฐฯที่เคยสัญญาไว้ตอนรัสเซียยอมให้รวมชาติเยอรมัน นั่นคือจะไม่มีการขยายขอบเขตนาโต้แม้ตารางนิ้วเดียว
อย่างไรก็ตามทรัมป์ก็คงต้องฟัง “DEEP STATE” ซึ่งถ้า D.S ต้องการให้ยุติสงครามเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากที่ดินที่ได้ครอบครองประมาณ 30% ของพื้นที่ทั้งหมดของยูเครน และเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่ BLACK ROCK ผู้ให้กู้เงินซื้ออาวุธเป็นผู้ทรงสิทธิในที่ดินดังกล่าวและมีแผนมอบให้มอนเซนโดกับดูปองค์ ทำการเกษตรขนาดใหญ่โดยใช้ GMO ก็จะสามารถผลิตอาหารออกขายได้จำนวนมากในขณะที่โลกกำลังขาดแคลน
แต่ถ้า D.S เห็นว่าผลประโยชน์จากการขายอาวุธให้ยูเครนยังไม่เพียงพอ ก็อาจก่อสงครามต่อไปโดยยังคงสนับสนุนการขายอาวุธพร้อมแพคเกจเงินกู้ ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าสงครามจะขยายตัวออกไป แม้ว่ากลุ่มประเทศสมาชิกนาโต้จะเริ่มเสียงแตกก็ตาม
ด้วยแนววิเคราะห์ที่เอาปัจจัยของ “DEEP STATE” มาพิจารณาทำให้เข้าใจได้ว่าคำพูดหรือการแสดงของทรัมป์มันเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น เพราะในทางปฏิบัติมันขึ้นกับ “DEEP STATE” และผลประโยชน์ของขบวนการนี้ทั้งหมด โดยมีการท้าทายของโลกตะวันออกที่แสวงแนวทางการจัดระเบียบโลกใหม่แบบพหุภาคี ซึ่งแน่นอนย่อมเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์อย่างมหาศาลและสันติภาพที่ทรัมป์ประกาศไว้คงเป็นแค่ลมปาก