jos55 instaslot88 Pusat Togel Online พุทธ-อิสลาม : ความเหมือนที่แตกต่าง - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

พุทธ-อิสลาม : ความเหมือนที่แตกต่าง

สบาย สบาย สไตล์เกษม

เกษม อัชฌาสัย

พุทธ-อิสลาม : ความเหมือนที่แตกต่าง

ผมโชคดีที่เกิดบนแผ่นดินไทย ซึ่งชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ มีจิตใจเมตตา ปราณีและเปิดกว้าง ไม่กีดกันรังเกียจคนต่างศาสนา ผิดกับบางแผ่นดิน เช่น เมียนมาร์

ครั้นเมื่อเจริญวัยขึ้นมา ก็รับเอาวัฒนธรรมทั้งสองคือ อิสลามและพุทธเข้ามาในชีวิต ตลอดเวลา มาจนกระทั่ง

ทุกวันนี้

Credit Photo by : pjmedia.com

 

ที่สำคัญมาก ในการการดำรงชีวิตของผม ก็คือการได้เรียนรู้”วิถีอิสลาม” ไปพร้อมๆ กันกับเรียนรู้”วิถีพุทธ” ทั้งในแง่หลักการศาสนา ขนบธรรมเนียมและประเพณีปฏิบัติ

ไม่เช่นนั้น คงไม่สามารถสื่อให้สังคมส่วนใหญ่ เกิดความเข้าใจ เมื่อทำหน้าที่สื่อสารมวลชน

ถามว่าความแตกต่างระหว่างศาสนาอิสลามกับศาสนาพุทธนั้นเป็นอย่างไร

จะพบว่า“อิสลาม”สอนให้ศรัทธาและนับถือพระอัลลอฮ์เจ้า(องค์เดียว) ให้ประพฤติตน ตามคำสอนที่เคร่งครัด โดยกำหนดหลักการสำคัญ(ยิ่ง)ห้าประการ บังคับให้ทุกคนต้องปฏิบัติ เพื่อการดำรงชีวิตที่สมบูรณ์แบบ อันได้แก่

๑ การปฏิญานตนว่าไม่มีอื่นใดที่เคารพนับถือ นอกจาก”อัลลอฮ์”องค์เดียวเท่านั้นที่เป็นพระเจ้าและมุฮัมมัด(ซล.)เป็นตัวแทนพระองค์(ในการถ่ายทอดคำสอนจาก”อัลลอฮ์”มาสู่มนุษย์)

๒ การดำรงละหมาด(นมัสการ”อัลลอฮ์”)ห้าครั้งต่อวัน

๓ ถือศีลอดในเดือนรอมะฎอน

๔ ไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นคร”มักกะห์”(เมกกะ)อย่างน้อยครั้งหนึ่ง แต่ต้องมีความสามารถ( มีทรัพย์สินพอเพียง ที่จะไม่ทำให้ผู้อยู่ในความรับผิดชอบและตนเองต้องเดือดร้อน)

๕ บริจาคซะกาต(ทาน)ประจำปี หากมีทรัพย์สินเงินทองเหลือเก็บตามจำนวนที่กำหนด

ในขณะที่”ศาสนาพุทธ”สอนให้ละวางจากตัวตน เพื่อความพ้นทุกข์ ทั้งนี้ ด้วยศรัทธา ไม่ใช่ด้วยการบังคับ ผ่านหลักแห่ง“ศีล”และ“สมาธิ” อันนำไปสู่”ปัญญา”เป็นที่สุด

ความแตกต่างของสองศาสนานี้ จึงอยู่ที่ว่า

อิสลามสอนให้ศรัทธา เคารพ เชื่อถือและขอพรจากพระเจ้า

แต่พุทธสอนให้เชื่อถือและศรัทธาในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า โดยไม่บังคับให้นับถือพระพุทธเจ้า (เช่นดั่งพระเจ้าในอิสลาม) แต่ให้เชื่อถือใน”กรรม”คือการกระทำของตนเอง เข้าหลักการ”ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”(กัลยาณการี กัลยาณัง ปาปการี จ ปาปกัง)

ความดีสูงสุดของอิสลามคือ การที่กลับคืนไปสู่พระเจ้าหลังสิ้นชีวิตแล้วเกิดใหม่ในสวรรค์ชั่วนิจนิรันดร

ส่วนความดีสูงสุดของพุทธคือ ใช้ศีลและสมาธิเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ ในความหมายของ”นิพพาน” คือไม่หลงเหลืออะไรเลย ไม่เกิดใหม่ ไม่ว่าในภพในชาติใดทั้งสิ้น แต่ใครเล่าจะไปได้ถึงขั้นนั้นได้ หากไม่ฝึกจิตภาวนาสม่ำเสมอ สั่งสมบารมี จนสามารถไปถึง

ซึ่งสองศาสนาต่างมีวิธีปฏิบัติ ให้ถึงความดีสูงสุด คล้ายๆ กัน หรือจะว่า”เหมือนกัน”ก็ว่าได้ โดยใช้”สติ”กำกับ สร้างสรรและอบรมบ่มนิสัย ให้อยู่ในคุณธรรม โดย

อิสลามกำหนด(บังคับ)ให้เจริญสติด้วยการ”ละหมาด”

ดังนั้นทั้งสองศาสนาจึงเน้นย้ำให้เจริญสติให้มากๆและต่อเนื่อง โดยอิสลามให้ละหมาดภาคบังคับห้าเวลาและภาคไม่บังคับอีกหลายเวลาต่อวัน หรือจะละหมาดทั้งวันยังได้เลย แต่คงไม่มีเวลาไปทำมาหากิน

ส่วนพุทธนั้นเอาจริงเอาจังด้วยการเจริญสติกันทุกลมหายใจทีเดียว ฉะนั้น คนที่เอาจริงเอาจังอย่างอุกฤษฏ์ หมายหลุดพ้น จึงมักต้องไปเป็นนักบวช(พระสงฆ์)

การละหมาดภาคบังคับนั้น กระทำวันละห้าครั้ง คือ ๑ เช้ามืดเมื่อแสงจริงปรากฏที่ขอบฟ้าตะวันออกยามรุ่งอรุณ ๒ หลังเที่ยงครึ่ง ๓ ยามบ่ายคล้อยหลังจากเงายาวเท่าตัวเอง ๔ หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าและ ๕ นับแต่แสงแดงที่ขอบฟ้าตะวันตกลับหายไป

รายละเอียดในการทำละหมาดนั้นจะไม่กล่าวถึง แต่แท้ที่จริงแล้ว ก็เทียบได้กับการปฏิบัติอิริยาบทพร้อมสวดสรรเสริญ ขออภัยและขอพรจากพระเจ้า ซึ่งมีบทสวดที่กำหนดไว้แล้ว โดยส่วนหนึ่งนำมาจากคัมภีร์กุรอาน ใช้ท่าทางในการสวดมีทั้ง ยืนตรง ยกมือทั้งสองขึ้นพร้อมๆ กัน โค้ง นั่ง ก้มกราบกับพื้นคล้ายเบญจางค์ประดิษฐ์(แสดงถึงการทำความเคารพสูงสุด) หันใบหน้าไปทางขวาและซ้ายเมื่อจบละหมาด มีจังหวะจะโคนและใช้ถ้อยคำกำกับท่วงท่า ทั้งนี้ด้วยท่าทางที่กำหนดเป็นมาตรฐานเดียวกันและต้องหันหน้ามุ่งไปยังวิหาร”กะบะห์”ที่นครมักกะห์ ซาอุดีอาระเบีย

ที่สำคัญยิ่ง ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบละหมาด จะต้องสำรวมจิตให้อ่อนน้อม(คุซัวอฺ)กับการละหมาดนั้น เปรียบเสมือนกับการเข้าเฝ้าพระเจ้าที่ตรงอยู่เบื้องหน้า ไม่ปล่อยให้ความคิดคำนึงใดๆมาข้องแวะทั้งสิ้น ในทุกท่วงท่าของการปฏิบัติ

จะพบว่า การทำละหมาดนั้น คลับคล้ายหรือเหมือนกับการทำวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ผิดเพี้ยน หรือกล่าวอีกอย่างเทียบได้กับการทำสมาธิ ด้วยการหลับตา นับลมหายใจเข้าออก ให้กำหนดจิตไว้ที่ลิ้นปี่ หรือปลายจมูก แล้วภาวนาคำว่า”พุทโธ”หรือ”ยุบหนอ พองหนอ” หรือถ้อยคำอะไรก็ได้ ที่เราชอบหรือเลื่อมใส คอยกำกับสติ สำรวมจิตเข้าไว้จากความฟุ้งซ่าน หากจิตดิ้นรน จิตฟุ้งซ่าน ก็ปล่อยให้มันฟุ้งไป ไม่สกัดกั้นห้ามเอาไว้ แต่คอยตามไปดูติดๆว่า มันชอบ หรือไม่ชอบ เมื่อจิตรับรู้อารมณ์ แล้วก็ปล่อยวาง ไม่เอามาปรุงแต่งต่อเนื่อง ให้มากเรื่องวุ่นวาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เลย

เมื่อจิตเป็นสมาธิดี รวมเป็นหนึ่งได้ ก็จะเกิดอาการคล้ายเข้าภวังค์ แต่ก็ไม่เชิง เพราะยังรู้ตัวชัดเจนตลอด เช่นรู้ว่า ข้างนอกมีเสียงไก่ขันมาแต่ไกล โสตสัมผัสอาจจะได้ยินเสียงชัดเจน ชนิดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

ช่วงอยู่ในภวังค์นี้ จิตจะสบายๆ ชุ่มชื่น รู้สึกยินดี ซึ่งเป็นเพียงอากรเบื้องต้นของการฝึกจิต ที่จะก้าวหน้าไปเป็นขั้นตอน ไปสู่การหลุดพ้น ที่มีระยะทางไกลมาก

ผมมีประสบการณ์ทางจิตแบบนี้ เมื่อครั้งที่ไปทำฮัจญ์ที่มักกะห์ เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ช่วงละหมาด”ดุริฮ์”(หลังเที่ยงครึ่ง)ที่ทุ่ง”อารอฟะห์” ขณะนั่ง”ซิเกรฺ” อย่างมีสติ ไปพักหนึ่ง มันสบายๆ ท่ามกลางอากาศกลางอากาศทะเลทรายอันร้อนระอุ แต่ข้างในเกิดความรู้สึกมันนิ่งๆ เบาๆ และพึงใจ ชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อน

เมื่อพ่อผม เรียกให้ลุกขึ้นละหมาด”อัศริ” (ราวสองชั่วโมงต่อมา)นั่นแหละ จึงรู้ตัวลืมตา ถามพ่อว่า อาการที่ว่านั้นคืออะไร มันสบายๆ ไม่อยากออกจากสมาธิ

“พ่อก็ไม่รู้ คงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า”พ่อตอบผมสั้นๆ แค่นั้น

กลับมา ผมหันไปศึกษาการเจริญสติหรือเจริญสมาธิ เพิ่มเติมด้วยตัวเอง จากการอ่านตำรับตำราและจากการถามไถ่เพื่อนฝูงชาวพุทธ อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้มรรคผลคืบหน้าอะไร ดูเหมือนยิ่งพยายาม ก็ยิ่งห่างไกล แม้จะทุ่มเทสักเท่าไร เพื่อให้ได้”ความสะบาย”เช่นนั้นอีก

หลังสุดช่วงก่อน กปปส.เคลื่อนไหว เมื่อปี ๒๕๕๖ ผมฝึกฝนการเจริญสติ ด้วยการ”ซิเกรฺ”คำว่า”อัลลอฮฺ”ซ้ำๆต่อเนื่อง โดยหายใจเข้า… ”อัล” หายใจออก…”ลอฮ์”

จนมาถึงคืนหนึ่ง เกิดสิ่งมหัสจรรย์ ทำให้ผมได้ขั้นต้นๆ ของ”ขณิกสมาธิ” แต่ทำได้ชั่วขณะหนึ่ง สบายๆ ชุ่มชื่น เหมือนกับที่เกิดในทุ่ง”อารอฟะห์”ไม่ผิดเพี้ยน คืนนั้นผมได้สมาธิยาวนาน จากตีหนึ่งจนถึงตีสี่ ก่อนถึงเวลาละหมาด”ซุบหิ”

น่าเสียดายยิ่ง ที่หลังจากคราวนั้นแล้ว พยายามอีกสักเท่าใด ก็ไม่ได้อะไรดีๆ อย่างนั้น อีกเลย เข้าใจเอาเองว่า เป็นเพราะสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันไม่อำนวย หรือไม่ก็เพราะมีความ”อยากได้” มากไปก็ไม่รู้ได้

ก็เลยมาถึง”บางอ้อ” สรุปว่า การทำสมาธิด้วยการเจริญสตินั้น เป็นเรื่องของสากล จะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ หากปฏิบัติเข้าที่เข้าทาง ไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหน หรือไม่นับถือศาสนา

มิน่าเล่าบรรดาศาสดาในศาสนา จึงนำเอาวิธีการนี้ มาสอนคนให้อยู่ในความดี โดยไม่ต้องแจกแจงให้มากความ

แล้วเลยเถิด นึกต่อไปว่า วิธีการเจริญสมาธิของ”หลวงพ่อเทียน”นั้นก็คลับคล้ายกับการทำละหมาด แต่ท่านสอนให้เจริญสติด้วยการขยับและยกมือ ซึ่งผมไม่เคยทำ เพราะทำละหมาดประจำอยู่แล้ว

ผมก็เลยคาดหมายต่อว่า การ”เดินจงกรม” ก็น่าจะเป็นการเป็นการเจริญสติอีกวิธีหนึ่งนั่นเอง คือเปลี่ยนจากการนั่ง

หลับตาภาวนา มาเป็นเดินภาวนา

ก็เลยนำประสบการณ์นี้ มาเขียนสู่กันอ่าน เพื่อเป็นการเปรียบเทียบและสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม เพราะทุกวันนี้ มี”คนเลว”พยายามสร้างเข้าใจผิด ก่อให้เกิดอคติ ระหว่างสองศาสนา จนน่าเป็นห่วง ว่าจะเกิดการเผชิญหน้ากันในอนาคต  หากยังคงพยายามเติมเชื้อเพลิงแห่งความร้อนแรงเข้าไปเรื่อยๆ

ผิดพลาดประการใด โปรดให้คำแนะนำผมด้วยครับ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *