jos55 instaslot88 Pusat Togel Online นโยบายเศรษฐกิจสำคัญอย่างไร(6) - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

นโยบายเศรษฐกิจสำคัญอย่างไร(6)

นโยบายเศรษฐกิจสำคัญอย่างไร(6)

โดย รศ.ดร สมศักดิ์ แต้มบุญเลิศชัย

วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
วิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ หรือวิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพ (subprime crisis) ที่เริ่มจาก ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการเงินในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วลามไปสู่ภูมิภาคอื่นของโลก โดยเฉพาะในยุโรป ที่มีสถาบันการเงินจำนวนมากลงทุนในตราสารหนี้ความเสี่ยงสูงที่เกิดจากการกู้ยืมในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา และมีการใช้นวัตกรรมทางการเงินแปลงสินเชื่อเป็นสินทรัพย์ โดยเอาตราสารหนี้ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน มาปล่อยกู้กันเป็นทอดๆในวงกว้าง มีธนาคารพาณิชย์ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเหล่านี้เป็นจำนวนมาก เมื่อหลักทรัพย์ คือบ้านและอสังหาริมทรัพย์ราคาลดลง ผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ความเสียหายก็ลามเป็นทอดๆ ภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการเงินก็ประสบปัญหา ในปีค.ศ. 2008 สถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาล้มละลายลงเป็นจำนวนมาก มีความเสียหายมากเกินกว่าที่รัฐบาลจะเข้าไปอุ้มเพื่อบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ต่อมา ปัญหาได้ลุกลามไปถึงภาคการเงินในยุโรป จนวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์และการเงิน ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจแท้จริง(real sectors) และกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบไปสู่ประเทศต่างๆทั่วโลก

ตั้งแต่ปลายปีค.ศ. 2008 เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบมากจากวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ แม้ผลกระทบโดยตรงต่อภาคการเงินประเทศไทยจะมีไม่มากนัก เพราะในประเทศไทย มีธนาคารพาณิชย์เพียงไม่กี่แห่งที่ลงทุนในตราสารหนี้ด้อยคุณภาพและลงทุนในปริมาณจำกัด แต่เนื่องจากประเทศไทยต้องพึ่งพาภาคเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งการส่งออก การลงทุน และการท่องเที่ยวในอัตราสูง วิกฤติเศรษฐกิจโลก จึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมาก การส่งออกลดลงมาก เศรษฐกิจทุกภาคส่วน ต่างได้รับความเสียหาย การว่างงานพุ่งสูงขึ้น การลงทุนหยุดชะงัก การบริโภคตกต่ำ ภาคธุรกิจและประชาชนได้รับผลกระทบที่รุนแรง ในไตรมาสสุดท้ายของปีค.ศ. 2008 เศรษฐกิจไทยหดตัวลงร้อยละ-4•2 และหดตัวรุนแรงขึ้นเป็นร้อยละ -7.1 ในไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2009 เศรษฐกิจที่ถดถอยครั้งนี้ สร้างความวิตกกังวลแก่รัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชนทุกภาคส่วนเป็นอย่างมาก ปลายปี ค.ศ. 2008 รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ เริ่มเข้าบริหารประเทศ ในขณะที่ประเทศ ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ อีกครั้ง หลังวิกฤติต้มยำกุ้งในปีค.ศ.1997-1998 ในช่วงเวลานั้น มีนักเศรษฐศาสตร์บางคนให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยจะซบเซาต่อไปอีกหลายปี แต่จากการกำหนดนโยบายและมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย และการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ เศรษฐกิจไทยก็สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ในเวลาเพียงปี เดียว ในปีค.ศ. 2010 ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติขยายตัวในอัตราร้อยละ 7.8 การส่งออก การท่องเที่ยว ก็มีการขยายตัวในอัตราที่สูงมาก นายกรณ์ จาติกวานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยนั้น ได้รับการคัดเลือกให้เป็นรัฐมนตรีคลังของโลกโดยนิตยสารนายธนาคาร (The Bankers: Financial Times)

และยัง ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีคลังแห่งเอเชียโดยผู้แทนของประเทศต่างๆในทวีปเอเชีย จากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่นำพาประเทศก้าวพ้นผลกระทบจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ได้อย่างรวดเร็ว นโยบายและมาตรการที่ใช้ในการลดผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ของรัฐบาลในครั้งนั้น มีหลายรูปแบบ ทั้งนโยบายการคลัง นโยบายกึ่งการคลัง นโยบายการเงิน และนโยบายทางสังคม มีการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ นอกจากนี้ นโยบายและมาตรการต่างๆของรัฐบาลในเวลานั้น ยังมีส่วนในการส่งเสริมการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเศรษฐกิจต่างๆด้วย นโยบายการคลังที่สำคัญคือ การเพิ่มการใช้จ่ายรัฐบาล เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเพิ่มวงเงินประมาณเพื่อใช้จ่ายในโครงการต่างๆ นโยบายที่เร่งด่วนคือ การช่วยเหลือประชาชนด้านค่าครองชีพ โดยมีโครงการเช็คช่วยชาติ แจกเงินให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยคนละ 2000 บาท ในช่วงต้นที่มีการประกาศมาตรการนี้ มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่า การแจกเงินนี้ เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่นำ้ ที่ไม่น่าจะเกิดประโยชน์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก บางคนก็กล่าวว่า การแจกเงินประชาชนในครั้งนั้น เป็นการผลาญงบประมาณ และทำลายวินัยทางการคลัง แต่มาตรการนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม นโบายแจกเงินให้แก่ประชาชน มีการใช้กันมาแล้วในหลายประเทศ ตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน เช่น การแจกเงิน เป็นของขวัญประชาชนในช่วงเทศกาล หรือการจ่ายเงินสวัสดิการแก่ผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น โดยทั่วไป ประชาชนกลุ่มที่มีรายได้น้อย และมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การดำรงชีวิต เมื่อได้รายได้เพิ่มขึ้น จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยไม่เก็บออมไว้เหมือนกับผู้มีรายได้สูง ดังนั้น การให้เงินโดยตรงแก่ผู้มีรายได้น้อย จะมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่าการจ่ายเงินหรือการลดภาษีให้แก่ประชาชนกลุ่มที่มีรายได้สูง การแจกเงินคนละ 2000 บาทแก่ผู้มีรายได้น้อย แม้จะเป็นจำนวนเงินน้อย ก็น่าจะมีส่วนช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และกระตุ้นการใช้จ่ายได้ โดยเฉพาะถ้าประชาชนกลุ่มรายได้น้อยมีอยู่เป็นจำนวนมาก การจ่ายเงินดังกล่าวก็จะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ นอกจากการจ่ายเงินเช็คช่วยชาติแล้ว รัฐบาลได้เพิ่มงบประมาณในการสนับสนุนการใช้จ่ายด้านการศึกษา สาธารณสุข ลดความอดอยากขาดแคลน และส่งเสริมการพัฒนาชุมชน เช่น โครงการเรียนฟรี 15 ปี การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล จัดสรรงบประมาณเพิ่มให้โครงการเศรษฐกิจชุมชน และยกเว้นภาษีแก่ประชาชนกลุ่มที่มีรายได้น้อย ด้านนโยบายที่สนับสนุนการฟื้นตัวของธุรกิจภาคเอกชน มีทั้งการลดภาษีให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในภาคเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งในภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคการท่องเที่ยว ทั้งยังสนับสนุนปรับโครงสร้างหนี้ และการปรับโครงสร้างองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และกิจการในภาคเอกชน ในการดำเนินนโยบายและมาตรการ ต่างๆเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ รัฐบาลได้อาศัยสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และบรรษัทสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม วิธีการดังกล่าว อาจถือได้ว่า เป็นนโยบายกึ่งการคลัง(quasi-fiscal policy) ที่อาจสร้างภาระทางการคลังแก่รัฐในระยะยาว แต่ก็มีความจำเป็นในขณะนั้น การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ในวงเงิน 1.3 ล้านๆบาทในระยะเวลาสามปี ระหว่างปีค.ศ. 2010-2012 เป็นโครงการใหญ่ที่มุ่งแก้ปัญหาการตกต่ำทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ในการดำเนินการตามนโยบายไทยเข้มแข็ง รัฐบาลต้องกู้เงินเพิ่มหลายแสนล้านบาท เพื่อใช้ในแผนปฏิบัติการนี้ มีโครงการจำนวนมาก และมีการครอบคลุมกว้างขวาง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การสร้างสิ่งสาธารณูปโภคหรือโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงรัฐวิสาหกิจ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาเทคโนโลยีและกำลังคน การปรับโครงสร้างเพื่อให้ภาคเศรษฐกิจต่างๆ มีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น แต่โครงการต่างๆเหล่านี้ หยุดชะงักลงเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลในปี ค.ศ. 2001 เมื่อพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาลโดยมียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เฉกเช่นเดียวกับการดำเนินงานตามแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมในปี ค.ศ. 1998 ถึง 2000 ซึ่งต้องสะดุดลงเมื่อเปลี่ยนเป็นรัฐบาลไทยรักไทยในปี ค.ศ. 2001 การดำเนินงานในโครงการ ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ก็ต้องหยุดชะงักลง จากการเปลี่ยนรัฐบาลในเดือน พฤษภาคม ค.ศ. 2011 หลังจากเกิดความรุนแรงทางการเมือง รัฐบาลใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เข้าบริหารประเทศในสิงหาคม ค.ศ. 2011 พร้อมกับการเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทยที่ลุกลามมาถึงกรุงเทพมหานคร ด้วยการจัดการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ไร้ประสิทธิภาพ อุทกภัยในครั้งนั้น สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยมาก รัฐบาลอ้างว่า เป็นภัยธรรมชาติที่เหนือการคาดหมาย มีฝนตกหนักมากเกินกว่าที่จะระบายออกได้ แต่เหตุน้ำท่วมหนักที่แท้จริง อาจเกิดจากมีวิธีแก้ไขปัญหาที่ไม่ดี เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน ประเทศเวียดนามก็มีพายุ มีฝนตกหนักมากกว่าประเทศไทย แต่กลับมีความเสียหายน้อยกว่า รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย บริหารประเทศเป็นเวลาเกือบสามปี ได้สร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจไทยมาก เนื่องจากขาดความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศ และยังมีนโยบายที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศหลายอย่าง เช่น การจำนำ(ที่แท้เป็นการรับซื้อ)ข้าวทุกเมล็ด การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทุกจังหวัดทั่วประเทศ นโยบายอุดหนุนให้ประชาชนซื้อรถคันแรก ฯลฯ ประเทศไทยแทนที่จะพัฒนาไปในแนวทางที่สร้างความเข้มแข็ง กลับต้องอ่อนแอลงเป็นอันมาก จาก”ไทยเข้มแข็ง” กลายเป็น “ไทยอ่อนแอ”

(นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์สร้างความเสียหายอย่างไร จะมีการได้กล่าวถึงในตอนต่อไป)สิ่งที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศ นอกจากนโยบายที่ผิดพลาดแล้ว ยังเกิดจากความวุ่นวายในทางการเมือง ที่มีการชุมนุมประท้วงรัฐบาล ก่อความรุนแรงทำลายชีวิตและทรัพย์สิน จากกลุ่มบุคคลที่เรียกตัวเอง ว่า”แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) ที่ได้รับสนับสนุนและบงการโดยทักษิณ ชินวัตร นปช. ได้สร้างความวุ่นวาย ปั่นป่วนในที่ต่างๆทั่วประเทศเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะในช่วงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงปีค.ศ. 2009-2011 ก่อนที่จะการเปลี่ยนแปลงมาเป็นรัฐบาลที่ควบคุมโดยพรรคพวกของทักษิณชินวัตรอีกครั้ง นปช.ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.2007 เพื่อขับไล่รัฐบาลที่มีพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากมีการรัฐประหาร ในช่วงรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ แต่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงใดๆ ในช่วงเทศกาลต้อนรับปีใหม่ ค.ศ. 2007 ขณะที่ประชาชนกำลังฉลองเทศกาลปีใหม่ในวันที่ 31 ธันวาคม 2006 และวันที่ 1 มกราคม 2007 เกิดการระเบิดหลายจุดในกรุงเทพมหานคร ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต แม้ไม่สามารถจะจับกุมผู้ก่อเหตุได้ แต่ก็มีการสันนิษฐานกันว่า เหตุการณ์ระเบิดในครั้งนั้น น่าจะเกิดจากการกระทำของกลุ่มคนที่สูญเสียอำนาจทางการเมือง จากการทำรัฐประหารในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2006

ในระหว่างปี ค.ศ. 2008 ถึง 2011 ก่อนการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นในประเทศจากการก่อการของกลุ่มนปช.หลายครั้ง ทำให้สถานการณ์ในประเทศเข้าขั้นวิกฤติ มีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก มีการประท้วงจนลุกลามเป็นจลาจล รัฐบาลต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน และเคลื่อนกำลังทหารเข้ามารักษาความสงบ ในที่สุด นปช.ต้องยกเลิกการชุมนุมในกรุงเทพมหานคร แต่หลังจากนั้น มีการก่อความไม่สงบในต่างจังหวัด โดยการปลุกระดมของ แกนนำ นปช และการยุยงของทักษิณ ชินวัตร ที่พูดผ่านวิดีทัศน์ ส่งมาในการชุมนุมของ นปช. ทำให้เกิดเหตุการณ์เผาศาลากลางจังหวัด และทรัพย์สินของทางราชการ หลายแห่ง
พฤติกรรมที่เลวร้าย ป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม ของกลุ่มนปช. สร้างความเสียหายแก่ ประเทศเป็นอย่างมาก ความเสียหายยับเยินที่เกิดขึ้น นอกจากการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยเสียหายไปทั่วโลก จากการกระทำของคนเสื้อแดงโดยเฉพาะ เหตุการณ์ การล้มการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่พัทยา ที่มีผู้นำรัฐบาลหลายประเทศมาร่วมประชุม ทำให้ผู้นำประเทศต่างๆต้องหลบหนีกลับประเทศ และการประชุมต้องเลิกล้มไป

นอกจากนั้น ยังมีเหตุการณ์การรุมทำร้ายนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ การบุกเข้าไปในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จนต้องขนย้ายผู้ป่วย รวมถึงสมเด็จพระสังฆราชออกจากโรงพยาบาล การกราดยิง ปาระเบิด เข้าใส่ฝูงชน จนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก และการเผาทำลายสถานที่ต่างๆ ทำให้ประเทศไทยในขณะนั้นดูเหมือนรัฐล้มเหลว การชุมนุมประท้วงรัฐบาลทั้งใน กรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆของกลุ่มนปช.นี้ มีข้ออ้างต่างๆ เช่น กล่าวหารัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยรัฐสภา เช่นเดียวกับการเลือกนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านั้น นปช.ยังอ้างว่าการเคลื่อนไหวครั้งนั้น เป็นการต่อสู้ระหว่าง”ไพร่” ซึ่งหมายถึงประชาชนทั่วไป กับ”อำมาตย์”ซึ่งหมายถึงคนในรัฐบาล แต่เป็นเรื่องตลกที่ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นมหาเศรษฐี และมีรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลของเขาที่เป็นนักธุรกิจร่ำรวย กลับถูกจัดว่าเป็น”ไพร่”ในสายตาของกลุ่มนปช. กลุ่มคนเสื้อแดงหรือนปช.เ รียกตนเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แต่กลับยอมฟังคำสั่งและการบงการของทักษิณ มาก่อความวุ่นวาย ทำร้ายประชาชน ทำให้ประเทศชาติต้องได้รับความเสียหาย การก่อความไม่สงบของกลุ่มนปช.ทำให้ประเทศไทยได้รับความเสียหายเป็นเวลานาน นอกจากการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน ทำลายชื่อเสียงประเทศ และบรรยากาศการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจได้รับความเสียหายมาก แม้รัฐบาลต่อจากนั้น มีการให้สิทธิประโยชน์มากมายเพื่อดึงดูดการลงทุน แต่กลับได้รับการลงทุนต่างประเทศน้อยกว่า เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *