jos55 instaslot88 Pusat Togel Online บิลล์ เกตต์ : มรดกของพอล ฟาร์เมอร์คือ ชีวิตที่เขาได้ช่วยไว้ - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

บิลล์ เกตต์ : มรดกของพอล ฟาร์เมอร์คือ ชีวิตที่เขาได้ช่วยไว้

บิลล์ เกตต์ : มรดกของพอล ฟาร์เมอร์คือ ชีวิตที่เขาได้ช่วยไว้

วิธีการศึกษาเชิงคุณลักษณะเป็นความพยายามที่มีระบบอย่างแรกได้
ศึกษาความเป็นผู้นำ เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 คุณลักษณะความเป็นผู้นำได้ถูกศึกษาพิจารณาอะไรทำให้บุคคลบางคนเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ทฤษฎีได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเรียกว่า “ทฤษฎีผู้ยิ่งใหญ่” เพราะว่ามันมุ่งที่การระบุคุณลักษณะโดยกำเนิดของผู้นำทางสังคม กาเมือง และการทหาร – เช่น มันถูกเชื่อว่าบุคคลกำเนิดด้วยคุณลักษณะเหล่านี้ และบุคคลที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นครอบครองมัน ระหว่างเวลานี้ การวิจัยได้มุ่งที่การพิจารณาคุณลักษณะเฉพาะทำให้ผู้นำแตกต่างอย่างชัดเจนจากผู้ตาม
ภายในกลางศตวรรษที่ 20 วิธีการศึกษาเชิงคุณลักษณะได้ถูกท้าทาย
โดยการวิจัยที่สงสัยคุณลักษณะความเป็นผู้นำโดยทั่วไป ภายในการทบทวนที่สำคัญ ราลฟ์ สต็อกดิลล์ เสนอแนะว่าไม่มีความสม่ำเสมอของกลุ่มคุณลักษณะทำให้ผู้นำแตกต่างจากผู้ตามระหว่างสถานการณ์ที่
แตกต่างกัน บุคคลด้วยคุณลักษณะความเป็นผู้นำบางอย่างเป็นผู้นำภายในสถานการณ์หนึ่งอาจจะไม่เป็นผู้นำภายในสถานการณ์อื่น
แทนที่จะเป็นคุณลักษณะที่บุคคลครอบครอง ความเป็นผู้นำได้ถูกคิดใหม่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในสถานการณ์ทางสังคม คุณลักษณะของบุคคลยังคงมีความสำคัญ แต่นักวิจัยยืนยันว่าเราต้อง
พิจารณาความสัมพันธ์ของมันต่อความต้องการของสถานการณ์ด้วย
บุคคลบางคนเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำหรือไม่ ถ้าเราดูผู้นำที่ยิ่งใหญ่ในอดีต เช่น อเล็กซานเดอร์มหาราช จูเลียต ซีซาร์ นโปเลียน โบนาปาร์ด ควีน
อลิเบธที่ หนึ่ง หรืออับราฮัม ลินคอล์น เราเคยได้ยินคำพูดว่า ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เป็นโดยกำเนิด ไม่ใช่สร้างขึ้นมา คำพูดนี้คือรากฐานของทฤษฎี
ผู้ยิ่งใหญ่ ทฤษฎีผู้ยิ่งใหญ่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเมื่อศตวรรษที่ 19 และได้กลายเป็นแนวทางการศึกษาความเป็นผู้นำเชิงคุณลักษณะเริ่มแรก ทฤษี
ผู้ยิ่งใหญ่ได้เสนอแนะว่าความสามารถของความเป็นผู้นำเป็นโดยกำเนิด เราคือผู้นำโดยธรรมชาติ หรือเราไม่ใช่ผู้นำโดยธรรมชาติ
ณ เวลานั้น ด้วยถ้อยคำว่า “Great Man Theory” ทฤษฎีผู้ยิ่งใหญ่
ความผู้นำได้ถูกมองว่าเป็นคุณลักษณะของผู้ชาย โดยเฉพาะความเป็นผู้นำทหาร เรื่องราวเบื้องหลังของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลก เราพบว่าพวกเขามีคุณลักษณะบางอย่างแตกต่างจากบุคคลธรรมดา พวกเขาได้ถูกอ้างว่าเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่โดยธรรมชาติ และได้เกิดมาด้วยคุณลักษณะส่วนบุคคลทำให้พวกเขากลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ปัจจุบันนี้เรายังคงเชื่อว่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่เป็นโดยกำเนิด
เมื่อค.ศ 1910 โทมัส คาร์ไลย์ นักประวัติศาสตร์ ได้กล่าวว่า เขาเชื่อว่าความก้าวหน้าของโลกเกิดขึ้นจากความสำเร็จของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ประวัติศาสตร์ของโลกเป็นชีวประวัติของผู้นำที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ การสะท้อนความเชื่อของเขาว่า วีรบุรุษได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยคุณลักษณะส่วนบุคคลและแรงบันดาลใจ พวกเขาได้กระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่แก่ชีวิตของเรา เช่น อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีอเมริกา ได้มีการยกเลิกทาสรากฐานทางทฤษฎีผู้ยิ่งใหญ่อยู่ที่การระบุคุณลักษณะทางร่างกาย สังคม และบุคลิกภาพส่วนบุคคลโดยธรรมชาติของผู้นำที่ยิ่งใหญ่
ราล์ฟ สต็อกดิลล์ ผู้บุกเบิกคนหนึ่งของความเป็นผู้นำเชิงคุณลักษณะได้พิมพ์บทความเรื่อง “Personal Factors Associated With Leadership” ภายในวารสารจิตวิทยา เขาเริ่มต้นด้วยการยอมรับการสำรวจคุณลักษณะของความเป็นผู้นำทางทหาร ภายใต้การวิจัยของราล์ฟ สต็อกดิลล์ที่ไม่ใช่ผู้นำทางทหาร เขาได้พบว่าคุณลักษณะเป็นปัจจัยเดียวเท่านั้นที่เชื่อมโยงกับความเป็นผู้นำ
ราล์ฟ สต็อกดิลล์ ได้ทบทวนการวิจัยความเป็นผู้นำเชิงคุณลักษณะตั้งแต่ ค.ศ 1948 เขาได้ระบุคุณลักษณะของความเป็นผู้นำไว้ต่อไปนี้คือ คุณลักษณะทางร่างกาย ภูมิหลังทางสังคม สติปัญญา บุคลิกภาพ และคุณลักษณะทางสังคม
มุมมองความเป็นผู้นำทางประวัติศาสตร์ยืนยันว่ามันเป็นกลุ่มของคุณ
ลักษณะส่วนบุคคลที่บุคคลบางคนกำเนิดด้วย มุมมองความเป็นผู้นำของ
ผู้ยิ่งใหญ่ได้เสนอแนะว่าภายในสถานการณ์แห่งวิกฤติผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏ
ที่จะนำผ่านพ้นความยุ่งยากได้
ปีเตอร์ นอร์ธเฮ้าส์ ได้ตรวจสอบการศึกษาเหล่านี้ระบุคุณลักษณะอะไร
ที่ได้ถูกลำดับอย่างสม่ำเสมอเป็นตัวกำหนดของความเป็นผู้นำ เขาได้สรุปว่าผู้ตามส่วนใหญ่เชื่อว่าผู้นำที่มีประสิทธิภาพแท้จริงควรจะครอบครองคุณลักษณะห้าอย่าง ภายในหนังสือของเขา “Leadership : Theory and Practice” ปีเตอร์ นอร์ธเฮ้าส์ ได้ระบุคุณลักษณะห้าอย่างที่ผู้นำครอบครองคือ สติปัญญา ความเชื่อมั่นตนเอง ความมุ่งมั่น ความซื่อสัตย์ และความเป็นกันเอง

*สติปัญญา
สติปัญญาอ้างถึงความสามารถเข้าใจปัญหาที่ซับซ้อน และตัดสินใจได้ดีการวิจัยได้พบว่าผู้นำมักจะมีสติปัญญามากกว่าผู้ตาม การมีความสามารถทางการพูด การรับรู้ และการให้เหตุผล ทำให้เป็นผู้นำที่ดีขึ้น การวิจัยชี้ว่าความสามารถไอคิวของผู้นำไม่ควรจะแตกต่างจากผู้ตามมากเกินไป ถ้า
ไอคิวของผู้นำแตกต่างอย่างมากจากผู้ตาม มันสามารถมีผลกระทบตรงข้ามต่อความเป็นผู้นำ ผู้นำด้วยความสามารถที่สูงอาจจะสื่อสารได้ยากกับผู้ตาม เพราะว่าพวกเขาหมกมุ่นหรือเพราะว่าความคิดของพวกเขาก้าวหน้าเกินไปต่อผู้ตามที่จะยอมรับ
ตัวอย่างของผู้นำต่อสติปัญญาเป็นคุณลักษณะที่สำคัญคือ สตีฟ จ้อป
ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของแอปเปิ้ล เสียชีวิตเมื่อ ค.ศ 2011 ครั้งหนึ่งสตีฟ จ้อป ได้กล่าวว่า ผมมีผลิตภัณฑ์ที่ไม่น่าเชื่ออย่างแท้จริงข้างในผม และผมต้องเอามันออกมา ผลิตภัณฑ์วิสัยทัศน์เหล่านี้คืออย่างเเรกแอปเปิ้ลทู และเเมคอินทอช คอมพิวเตอร์ แล้วไอแมค ไอพอด ไอโฟน เเละไอเเพด ได้ปฏิรูปอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอุปกรณ์อีเล็กโทรนิค
*ความเชื่อมั่นตนเอง
ความเชื่อมั่นตนเองเป็นความเชื่อต่อความสามารถของบุคคล และความ
เต็มใจที่จะรับความเสี่ยงภัย มันรวมทั้งการเห็นคุณค่าตัวเองและความ
มั่นใจตัวเอง และความเชื่อว่าเราสามารถสร้างความแตกต่าง ความเป็น
ผู้นำเกี่ยวพันกับการมีอิทธิพลต่อบุคคลอื่น และความเชื่อมั่นตนเองทำให้ผู้นำรู้สึกมั่นใจว่าความพยายามของเขาที่จะมีอิทธิพลต่อบุคคลอื่นเหมาะ
สมและถูกต้อง
สตีฟ จ้อป เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้นำที่มีความเชื่อมั่นตัวเอง เมื่อเขาได้อธิบายอุปกรณ์ที่เขาต้องการสร้าง บุคคลหลายคนกล่าวว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่สตีฟ จ้อป ไม่เคยสงสัยผลิตภัณฑ์ของเขาจะเปลี่ยนแปลงโลกและทั้งที่มีการต่อต้าน เขาได้ทำอะไรตามวิถีทางที่เขาคิดว่าดีที่สุด สตีฟ จ้อป
เป็นซีอีโอคนหนึ่งบริหารบริษัทตามที่เขาต้องการ เขาเชื่อว่าเขารู้เกี่ยวกับมันมากกว่าบุคคลอื่น

สตีฟ จ้อป เปลี่ยนแปลงโลกด้วยไอพอด ไอโฟน และไอแพด ดังคำพูด
ที่เป็นตำนานที่ครั้งหนึ่งเขาได้ชักจูงให้จอห์น สคัลลี่ย์ ซีอีโอของเป้ปซี่มาเป็นซีอีโอของแอปเปิ้ล ว่า ” คุณต้องการขายน้ำอัดลมไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณ หรือ หรือคุณจะมากับผม เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงโลก
ใบนี้ “เรายอมรับว่าบริษัทที่เปลี่ยนแปลงโลกจะมีน้อย และบริ็ษัทที่เปลี่ยนแปลงโลกได้มากกว่าหนึ่งครั้งจะยิ่งน้อยลง แอปเปิ้ลเป็นบริษัทหนี่งท่ามกลางพวกเขา ด้วยนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ตลอดประวัติ 42 ปีของแอปเปิ้ล
สตีฟ จ้อป เสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แต่อะไรที่เป็นมรดกอย่างแท้จริงของชายที่ชื่อของเขาได้กลายเป็นถ้อยคำเดียวกับแอปเปิ้ล เขาจะเป็น
ผู้บุกเบิกการปฏิรูปคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล นับตั้งแต่ 30 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเขาได้ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาของการปฏิรูปดิจิตอล เราเกือบจะ
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจินตนาการโลกคล้ายกับอะไรโดยไม่มีสตีฟ จ้อป
เราจะไม่มีแอปเปิ้ลปัจจุบันนี้ด้วย ถ้าไม่มีการผลักดันอย่างต่อเนื่องของ
สตีฟ จ้อป ไม่มีแอปเปิ้ลหมายถึงไม่มีแมคอินทอช ไอพอด ไอโฟน ไอแพด ไอแมค ไอทูนส์
สตีฟ จ้อป ก่อตั้งร่วมแอปเปิ้ลภายในโรงเก็บรถยนต์ของพ่อแม่ของเขาเมื่อ ค.ศ 1976 เขาได้ถูกปลดออกไปเมื่อ ค.ศ 1985 เขาได้กลับมาชุบชีวิตแอปเปิ้ลที่ใกล้จะล้มละลายเมื่อ ค.ศ 1997 และเขาได้เสียชีวิตไปเมื่อ ค.ศ 2011 เขาได้สร้างแอปเปิ้ลให้เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดของโลก ตามเส้นทางที่ผ่านมา เขาได้ช่วยทำการปฏิรูปเอุตสาหกรรมเจ็ดหลายอย่างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ภาพยนตร์แอนนิเมชั่น ดนตรี โทรศัพท์มือถือ แทปเล็ต คอมพิวเตอร์ ร้านค้าปลีก และการพิมพ์ดิจิตอล
ดังนั้นเขาจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของปูชนียสถานหลุมฝังศพของนักนวัตกรรมที่ยิ่งของอเมริกาเคียงข้างโทมัส เอดิสัน เฮนรี่ฟอร์ด และ
วอลท์ ดีสนี่ย์ บุคคลเหล่านี้ไม่มีใครเลยจะเป็นนักบุญ แต่นานหลังจาก
นั้นบุคลิกภาพของพวกเขาจะถูกลืม ประวัติศาสตร์ได้จดจำว่าพวกเขา
ได้ประยุกต์จินตนาการกับเทคโนโลยีและธุรกิจอย่างไร
แอปเปิ้ลจะสร้างผลิตภัณฑ์คอมซูมเมอร์ อีเล็คโทรนิคที่มีการออกแบบและการใช้งานอย่างน่าทึ่ง และรวมมันกับผลิตภัณฑ์ซอฟทแวร์ที่จะยึดลูกค้าไว้ภายใต้การจากไปของสตีฟ จ้อปไม่นานมานี้ คำถามอย่างหนึ่งภายในใจของผู้นำธุรกิจจะคล้ายกัน : อะไรจะเกิดขึ้นกับแอปเปิ้ลถ้าไม่มีสตีฟ จ้อป เป็นผู้นำ
ผลิตภัณฑ์อะไรที่แอปเปิ้ลจะปล่อยออกมาและโมเดลธุรกิจของบริษัทจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรโดยไม่มีสตีฟ จ้อปนำไปสู่ธุรกิจใหม่ วิสัยทัศน์ของสตีฟ จ้อป สามารถอยู่ได้อย่างยาวนานแค่ไหนเรายังคงมีเวลาที่จะมอเห็นการเปลี่ยนแปลงการนำเสนออย่างสำคัญของแอปเปิ้ลไอแพด ไอพอด และไอโฟนยังคงเป็นอุปกรณ์อีเล็คโทรนิคส่วนบุคคลที่นิยมแพร่หลายอยู่ แม้ว่าเราจะไม่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ลูกค้าจะตื่นเต้น และถ้าข่าวลือเกี่ยวกับโทรทัศน์แอปเปิ้ลเป็นความจริง นี่จะเป็นการขยายวิสัยทัศน์ไปสู่ตลาดผลิตภัณฑใหม่ระยะหนึ่ง
เราไม่มีทางที่จะรู้เลยว่าความคิดอื่นจำนวนเท่าไรได้ถูกปรุงอยู่โดยสตีฟ จ้อป กำลังรอที่จะปล่อยออกมาไม่กี่ปีข้างหน้า สตีฟ จ้อป และสตีฟ วอซเนียก สองแฮกเกอร์วัยหนุ่ม พวกเขาได้ลาออกจากมหาวิทยาลัย ก่อตั้ง
แอปเปิ้ลเมื่อ ค.ศ 1976 ภายในโรงเก็บรถยนต์ของพ่อแม่ของสตีฟ จ้อป พวกเขาได้สร้างวิสัยทัศน์ของบริษัทของการเปลี่ยนแปลงที่บุคคลมองคอมพิวเตอร์ สตีฟ จ้อป และสตีฟ วอชเนียก ต้องการสร้างคอมพิวเตอร์
ที่เล็กเพียงพอแก่บุคคลที่จะมีมันไว้ภายในบ้านหรือสำนักงานของพวกเขา พวกเขาเพียงแต่ต้องการให้คอมพิวเตอร์ใช้งานง่าย

*ความมุ่งมั่น
ความมุ่งมั่นเป็นเเรงขับเคลื่อนบรรลุเป้าหมาย และยืนหยัดภายในการเผชิญกับความท้าทาย ความมุ่งมั่นเป็นความต้องการทำให้งานบรรลุ
ความสำเร็จ และรวมทั้งคุณลักษณะเหมือนเช่น การริเริ่ม ความอุตสาหะ การขับเคลื่อน และการมีอิทธิพล ความมุ่งมั่นรวมทั้งการแสดงการมีอำนาจ
เหนือกว่าเป็นครั้งคราว และภายในสถานการณ์ตรงที่ผู้ตามต้องการแนวทาง บุคคลด้วยความมุ่งมั่นเต็มใจกล้าแสดงออกตัวพวกเขาเอง
และการกระทำเชิงรุก
ไม่เพียงแต่พอล ฟราเมอร์ เป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญและนักมนุษยธรรมสร้างประวัติศาสตร์เท่านั้น เขาเป็นนักวิจัยและนักเขียนที่ดีเยี่ยมด้วย
การใช้การศึกษาการแพทย์และมานุษยวิทยาของเขาแก่คนยากจน
การเขียนหนังสือตลอดอาชีพของเขาเกี่ยวกับสุขภาพ ประวัติศาสตร์
และสิทธิมนุษย์
ในขณะที่รับใช้ชุมชนชาวเฮติตอนเป็นแพทย์หนุ่ม พอล ฟาร์เมอร์ได้เขียนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดเอชไอวีของประเทศ เพื่อวิทยานิพนธ์
ปริญญาเอกของเขา และต่อมาได้กลายเป็นหนังสือเล่มแรกของเขา
พอล ฟาร์เมอร์ ได้อธิบายชีวิตของชาวบ้านเฮติ และได้วางพวกเขา
ภายในสภาพแวดล้อมประวัติศาสตร์ เขามุ่งหมายที่จะลบการกล่าวหาเหมารวมโยนกับเฮติ และได้เเสดงบทบาทความยากจน และความ
ไม่เสมอภาคแสดงต่อการแพร่กระจายของเอชไอวี
พอล ฟาร์เมอร์ ไม่เพียงแค่เชื่อต่อความคิดของสุขภาพเป็นสิทธิของ
มนุษย์ เขามีชีวิตอยู่และสอนค่านิยมเหล่านี้ เขาได้รัษาบทบาทของเขา
เป็นแพทย์ปฏิบัติตลอดอาชีพของเขา เขาเป็นแพทย์ก่อนอื่นใด พอล
ฟาร์เมอร์ ถูกรู้จักกันอยู่เสมอเดินไปรอบตึกผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล
การขอให้ประสบการณ์ชีวิตของผู้ป่วยนำทางเขาและบุคคลอื่น
พอล ฟาร์เมอร์ ได้แสดงความมุ่งมั่นภายในความพยายามของเขาต่อ
การดูเเลสุขภาพอย่างปลอดภัย และการกำจัดวัณโรคแก่คนยากจนมากของเฮติ และประเทศโลกที่สามอื่น เขาได้เริ่มต้นความพยายามของเขา
เดินทางและทำงานภายในแคนจี เฮติ เขาได้ถูกยอมรับ
ต่อคณะเเพทย์ศาสตร์ฮาร์วาร์ด ด้วยการรู้ว่างานของเขาภายในเฮติล้ำค่า
ต่อการศึกษาของเขา เขาได้จัดการทำมันทั้งสองอย่าง การเดินทางไปมา
ระหว่างเฮติและคณะเเพทย์ฮาร์วาร์ด
ภายในแคนจิ ท่ามกลางคนยากจนที่สุด และเจ็บป่วยมากที่สุด พอล
ฟาร์เมอร์ ได้พบการเรียกร้องของเขา บุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือของเขา
มากที่สุด ดังนั้นความพยายามอย่างแรกของเขาภายในแคนจิคือ สร้างคลีนิคห้องเดียวตรงที่เขารักษาผู้เข้ามาทุกคน ไม่มองถึงความสามารถ
ของพวกเขาที่จะจ่าย และได้ฝึกอบรมและว่าจ้างผู้ดูแลสุขภาพท้องที่ เกษตรกรได้พบว่ามันให้การดูแลสุขภาพมากกว่าเพียงแค่การจ่ายยา
เขาได้รับการบริจาคสร้างโรงเรียน บ้านอาศัย และอนามัยชุมชน
พอล ฟาร์เมอรได้ผูกติดตลอดไปต่อความพยายามของเขาปรับปรุง
การดูเเลสุขภาพ เพี่อชาวชนบทที่ยากจนของเฮติ ประเทศแคริเบียน
เขาได้เดินทางไปครั้งแรกระหว่างจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดุค
และ
เข้าคณะเเพทยศาสตร์ฮาร์วาร์ด แต่พลังที่รวมกันของงาน ความลุ่มหลง และปรัชญาของเขา ได้ขยายเลยพ้นไปจากประเทศใดก็ตาม ขับเคลื่อน
การเปลี่ยนแปลงและช่วยชีวิตไปทั่วโลก เขาได้ถูกรู้จักกันเป็น บุคคลที่
รักษาโลก เขาได้เปลี่ยนแปลงการเเพทย์อย่างไร
เขาเป็นนักมนุษยวิทยา
ทางแพทย์ และที่ปรึกษาต่อบุคคลจำนวนมาก เขาได้เดินทางไปเฮติหลาย
ครั้ง อาสาสมัคร ณ โรงพยาบาลภายในแคนจิ เฮติ เขาได้ช่วยแนะนำแนวคิดปฏิรูปไปสู่สาขาของการดูแลสุขภาพและการเเพทย์ : บุคคล
ทุกคนสมควรได้รับการดูแลที่ดีเยี่ยมเท่าเทียมกัน มันได้นำเขาไปสู่
การก่อตั้ง “Partners in Health” เมื่อ ค.ศ 1987 ผู้หญิงทุกคนที่มีชีวิต
อยู่ภายในความยากจนรักลูกของพวกเธอมากเท่ากับใครก็ตามรัก
บิลล์ เกตต์ ได้กล่าวว่า มรดกของพอล ฟาร์เมอร์คือชีวิตที่เขาได้ช่วยไว้ เมื่อผมได้พบข่าวตอนเช้าว่าเขาเสียชีวิต ผมคิดถึงภรรยาและลูกสามคนของเขาก่อน ผมคิดถีงเพื่อนร่วมงานของเขา และบุคคลทุกคนที่ถูกช่วยชีวิต หรือการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นโดยเขา แล้วผมคึดถึงบุคคลทุกคนที่
ห่วงใยเกี่ยวกับสุขภาพโลก เนื่องจากพอล ฟาร์เมอร์
มากมายเหลือเกินที่จะนับได้
พอล ฟาร์เมอร์เป็นวีรบุรุษ และผมโชคดีที่เรืยกเขาเป็นเพื่อน แม้วาเราได้เดินผ่าน ณ การประชุมหลายครั้งตลอดปี ครั้งแรกที่ผมได้พูดคุยกับเขา ระหว่างการเดินทางไปแคนจิ เมืองเล็กภายในไฮติกับมีลินดาเมื่อค.ศ
2005 เราอยู่
มาที่นี่ที่จะไปเยี่ยมคลีนิคสุขภาพดำเนินงานโดยพารตเนอร์ อิน เฮลท์
องค์การที่ไม่น่าเขื่อก่อตั้งร่วมโดยพอล ฟาร์้มอร์ – และมูลนิธิของเรา
ภูมิใจที่ได้สนับสนุน ณ เวลานั้น พีไอเอชได้ให้การดูแลสุขภาพระดับโลกแก่บุคคลภายในไฮติ เปรู และรัสเซีย
*ความซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์เป็นความสม่ำเสมอระหว่างการกระทำและค่านิยมของ
บุคคลที่ยึดกับหลักการอย่างเข้มเเข็ง และรับผิดชอบต่อการกระทำ
ของพวกเขาแสดงความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์เป็นคุณลักษณะของ
ความจริงใจและความเชื่อถือได้ ผู้นำด้วยความซื่อสัตย์บันดาลใจ
ความเชื่อมั่นบุคคลอื่น เพราะว่าพวกเขาสามารถถูกไว้วางใจทำอะไร
ตามที่พวกเขาพูด พวกเขาจงรักภักดีื ไว้วางใจได้ และไม่หลอกลวง
โดยพื้นฐานความซื่อสัตย์ทำให้ผู้นำน่าเชื่อถือเเละน่าเคารพของ
ความไว้วางใจของเรา

*ความเป็นกันเอง
ความเป็นกันเองเป็นความสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางบวกกับบุคคล
อื่น ผู้นำที่แสดงความเป็นกันเองมีความเป็นมิตร เข้ากับบุคคลอื่นได้ง่าย
สุภาพอ่อนโยน และไหวพริบดี พวกเขารู้สึกไวต่อความต้องการ
ของบุคคลอื่น และเเสดงความสนใจต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา
ผู้นำทางสังคมมีทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ดี และสร้างความ
สัมพันธ์อย่างร่วมมือกับผู้ตามของพวกเขา ความเป็นกันเองเป็นความชอบ
ของผู้นำที่จะแสวงหาความสัมพันธ์ทางสังคมที่เพลิดเพลิน
อับราฮัม ลินคอล์น เป็นประธานาธิบดีดีที่สุดอย่างไม่โต้เเย้งของอเมริกา
ภายในหนังสือ “Lincoln on Leadership” ฟิลลิปส์ ได้เขียนลินคอล์น
เชื่อมโยงกับสาธารณะแสดงความเป็นผู้นำของเขาอย่างไร เขาได้ใช้
เวลากับกองทหาร ไปเยี่ยมผู้เจ็บป่วย และใช้เวลาส่วนใหญ่ออกจาก
ทำเนียบขาว หลักการของอับราฮัม ลินคอล์นสัมพันธ์กับวิธิการศึกษา
เขิงคุณลักษณะของผู้นำตามที่ปีเตอร์ นอร์ธเฮ้าส์ ได้เขียนเกี่ยวกับ
ความเป็นกันเองภายในวิธีการศึกษาเชิงคุณลักษณะ เขาได้เขียนเกี่ยว
กับอธิการมหาวิทยาลัยชื่อ ไมเคิล ฮิว เป็นผู้นำที่เข้าถึงได้ เขาได้สร้างความส่วนบุคคลกับบุคคล
อับราฮัม ลิคอล์น เป็นผู้นำยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกที่เคยเห็น ความ
เป็นผู้นำของเขาก่อนและหลังสงครามกลางเมืองได้แสดงถึงความสำเร็จ
ของเขาเป็นผู้นำของประเทศ เขาชอบที่จะผูกพันกับบุคคลของเขาทุก
ระดับ ไม่ว่ามันเป็นการตรวจงานกองทหารของรัฐเดินทางผ่านดีซี คณะรัฐมนตรีของเขา ทหารของเขาภายในกองทัพ เขาได้ใช้เวลาจากตาราง
ประธานาธิบดีที่วุ่นวายของเขารู้จักบุคคลรอบเขา เขาใช้เวลาประมาณ
สามในสี่ของเขาพบกับบุคคลของเขา วิถีทางของเขาต่อการพบและการยุ่งเกี่ยวกับบุคคลเหมือนกับเเนวคิดการบริหารยุคใหม่ของการบริหาร
เดินดูโดยรอบ : เอ็มบีดับบลิวเอ
อับราฮัม ลินคอล์น เป็นประธานาธิบดีคนที่สิบหกของอเมริกา เขาได้นำ
อเมริการะหว่างช่วงเวลาความวุ่นวายของสงครามกลางเมืองอเมริกันภายในหนังสือของเขา “Lincoln on Leadership” โดนัลด์ ฟิลลิปส์ ได้กล่าวเกี่ยวกับกลยุทธ์ความเป็นผู้นำของอับราฮัม ลินคอล์น : การบริหารเดินดูโดยรอบ
ตลอดสี่ปีของความเป็นผู้นำประเทศของเขา อับราฮัม ลินคอล์นใช้เวลาส่วนใหญ่ของเขาท่ามกลางทหาร มันเป็นความสำคัญลำดับหนึ่งของเขา เขาได้พบกับนายพลของเขาภายในบ้าน สำนักงาน และสนามของพวกเขา รับฟัง สังเกตุ และให้แนวทาง เขาไปเยี่ยมอู่ซ่อมเรือ และตรวจสอบอาวุธใหม่ ดังนั้นเขาได้รับรู้ความสามารถและข้อจำกัดของพวกเขา
เขาไปเยี่ยมโรงพยาบาล และเเม้แต่การไปสนามรบแสดงความห่วงใยทหารของเขา และได้ข้อมูลอย่างถูกต้องโดยตรงเกี่ยวกับสงคราม เขา
ได้ใช้หลายชั่วโมง ณ สำนักงานโทรเลขของกองทัพ ดังนั้นเขาสามารถ
ได้ข้อมูลทันที ทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็วและถูกต้อง

*ความซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์เป็นความสม่ำเสมอระหว่างการกระทำและค่านิยมของ
บุคคลที่ยึดกับหลักการอย่างเข้มเเข็ง และรับผิดชอบต่อการกระทำ
ของพวกเขาแสดงความซื่อสัตย์ ความซื่อสัตย์เป็นคุณลักษณะของ
ความจริงใจและความเชื่อถือได้ ผู้นำด้วยความซื่อสัตย์บันดาลใจ
ความเชื่อมั่นบุคคลอื่น เพราะว่าพวกเขาสามารถถูกไว้วางใจทำอะไร
ตามที่พวกเขาพูด พวกเขาจงรักภักดีื ไว้วางใจได้ และไม่หลอกลวง
โดยพื้นฐานความซื่อสัตย์ทำให้ผู้นำน่าเชื่อถือเเละน่าเคารพของ
ความไว้วางใจของเรา
ภายในอเมริกา เรามีผลลัพธ์ของสถานการณ์สองอย่าง การใช้ตำแหน่งของประธานาธิบดีจอร์จ บุช เกี่ยวกับกล่าวหาอาวุธของการทำลายล้างสูงของอิรัก และการกล่าวโทษพฤติกรรมระหว่างการเป็นประธานาธิบดีของบิล คลินตัน บุคคลได้เรียกร้องความซื่อสัตย์จากผู้บริหารประเทศของพวกเขามากขึ้น ทำนองเดียวความน่าละอายภายในโลกบริษัท เช่น เอ็นรอน และเวิรลด์คอม ได้นำบุคคลกลายเป็นสงสัยต่อผู้นำที่ไม่มีจริยธรรมมากขึ้น
เมื่อ ค.ศ 2002 ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ได้ประกาศว่า อิรักครอบครอง
อาวุธเคมีและชีวภาพ…. รัฐบาลได้ยืนหยัดมายาวนานและยังคงผูกติดกับ
กลุ่มผู้ก่อการร้าย และมันมีผู้ก่อร้ายอัลไคดาข้างในประเทศ เพียงแค่หนึ่งปีภายหลังที่ผู้ก่อการร้ายโจมตีนิวยอร์คและวอชิงตัน ประธานาธิบดีและ
รัฐบาลของเขาใช้ความกลัวสองอย่างเหล่านี้ – อาวุธผิดธรรมดาและการ
ก่อการร้าย ชนะการยอมรับของสาธารณะ เพื่อการทำสงครามภายใน
อิรัก แต่่สมมุติฐานได้พิสูจน์ไม่ถูกต้อง ผู้ตรวจสอบอาวุธภายในอิรักได้
สรุปว่าประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน
ไม่มีอาวุธดังกล่าวนี้ หรือวิการที่จะ
ผลิตมัน และชุมชนข่าวกรองอเมริกาได้พิจารณาว่า มันไม่มีการเชื่อมโยงที่มีความหมายระหว่างอัลไคดาและอิรัก แต่กระนั้นข้อสรุปเหล่านี้มาช้าเกิน
ไป
20 มีนาคม ค.ศ 2003 การปฏิบัติการเสรีภาพอิรัก ได้เริ่มต้นภายในความพยายามฆ่าประธานาธิบดีซัดดาม ฮุสเซน และล้มรัฐบาลของเขาศูนย์ความซื่อสัตย์ของภาครัฐได้พบว่าจอร์จ บุช และสามาชิกเจ็ดคน
ของรัฐบาลของเขา
ได้ทำรายงานที่ไม่ถูกต้องนำไปสู่สงครามตั้งแต่ ค.ศ 2001 ถึง ค.ศ 2003 ดังที่รายงานภายใน อิรัก : วอร์ การ์ด
ความล้มเหลวของรัฐบาลของเขาได้รวบรวมข่าวกรองที่มั่นคงก่อนการส่งกองทหารอเมริกันไปสู่สงครามได้ทำให้สูญเสียชีวิตชาวอเมริกันและชาวอิรักจำนวนมาก เงินภาษีหลายพันล้านเหรียญ และความไว้วางใจไม่เพียงแต่พันธมิตรของีัรัฐบาลเท่านั้น แต่เป็นชาวอเมริกันส่วนใหญ่ด้วย เมื่อถาม
เกี่ยวกับการศึกษาวอร์ การฺด โฆษกทำเนียบขาว ได้ตอบสนองว่า การกระทำที่เอามาเมื่อ ค.ศ 2003 อยู่บนพื้นฐานดุลยพินิจร่วมกันของหน่วยงาน
ข่าวกรองทั่วโลก
ต่อชาวอิรักหลายคน ชื่อโคลิน พาวเวลล์ ก่อให้เกิดภาพบุคคลที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ยืนต่อหน้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่ง
สหประชาชาติเมื่อ ค.ศ 2003 สร้างกรณีต่อการทำสงครามกับประเทศของพวกเขา เขาเป็นบุคคลหนึ่งของหลายคนของรัฐบาลจอร์จ บุช รับผิดชอบการบุกอิรักนำไปสู่การเสียชีวิต ความวุ่นวาย และความรุนแรงภายในอิรัก
คำให้การยูเอ็นของเขาเป็นส่วนที่สำคัญของเหตุการณ์ที่พวกเขาได้กล่าวสร้างต้นทุนสูงมากต่ออิรักและประเทศอื่นภายในตะวันออกกลางเขาโกหก โกหก โกหก นักเขียนอิรัก กล่าวโคลิน พาวเวลล์ ได้ใช้ชือเสียงของเขาต่อ
ความน่าเชื่อถือช่วยชักจูงโลกของซัดดัม ฮุสเซนเป็นการคุกคามใกล้ที่จะเกิดขึ้น แต่ข้อมูลของอเมริกาไม่ถูกต้อง
บิล คลินตัน เป็นประธานาธิบดีอเมริกาคนที่สองของประวัติศาสตร์ได้เผชิญกับการไต่สวนถอดถอนของรัฐสภาภายหลังจากแอนดูรว์จอห์นสัน
ข้อกล่าวหาต่อบิล คลินตันเพื่อการถอดถอน เกิดขึ้นจากการยื่นฟ้องร้องการล่วงละเมิดทางเพศต่อบิล คลินตันโดย พอลาโจนส์ บิล คลินตัน
ได้ให้คำให้การปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวภายในความสัมพันธ์ทางเพศ
กับผู้ฝึกงานทำเนียบขาว โมนิกา ลูวินสกี อายุ 22 ปี
เรื่องอื้อฉาวคลินตัน – เลวินสกี เป็นเรื่องอื้อฉาวทางเพศเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ 1995
ได้สร้างข่าวพาดหัวไปทั่วโลก และนำไปสู่การถอดถอนที่น่าละอายของ
ประธานาธิบดีคนที่ 42 เมื่อ ค.ศ 1998 สภาผู้แทนราษฎร ได้ถอดถอน
บิล คลินตัน บนพื้นฐานข้อกล่าวหาสองข้อ การเบิกความเท็จ และการ
ขัดขวางความยุติธรรม มาตราของการถอดถอนเชื่อมโยงกับเรื่องนอกใจกับโมนิกา ลูวินสกี
บิล คลินตัน ได้ปฏิเสธมันอย่างรวดเร็ว และเเม้แต่ให้การประชุมสื่อ
ทำเนียบขาวข้างภรรยาของเขา ฮิลลารี คลินตัน กล่าวว่า การกล่าว
หาไม่ถูกต้อง ภายใต้การตั้งถามจากทนายความอิสระ เคนเนธ สตาร์
ข้างหน้าคณะลูกขุน เขาได้ให้การว่าเขาได้ยุ่งเกี่ยวต่อความสัมพันธ์
ที่ไม่หมาะสมกับโมนิกา ลูวินสกี
รัฐสภาควบคุมโดยพรรครีพับลิแคนได้ออกเสียงเมื่อ ค.ศ 1998 เริ่มต้น
การถอดถอนบิลล์ คลินตัน ภายหลังหลายเดือนของการโต้เถียงต่อ
ความสัมพันธ์ของเขากับโมนิกา ลูวินสกี การออกเสียงนั้นได้ถูกกระตุ้น
โดยสองรอบของคำให้การโดยบิล คลินตัน ครั้งแรก เขาได้ปฏิเสธ
การมีความสัมพันธ์ทางเพศกับโมนิกา ลูวินสกี และครั้งที่สองภายใต้
การตั้งคำถามจากทนายความอิสระ เคนเนธ สตาร์ เขาได้ให้การว่าเขายุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับ ในที่สุดรัฐสภาได้ออกเสียงให้บิล
คลินตัน พ้นผิดทั้งสองข้อกล่าวหาเมื่อ ค.ศ 1999

*ความเป็นกันเอง
ความเป็นกันเองเป็นความสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางบวกกับบุคคล
อื่น ผู้นำที่แสดงความเป็นกันเองมีความเป็นมิตร เข้ากับบุคคลอื่นได้ง่าย
สุภาพอ่อนโยน และไหวพริบดี พวกเขารู้สึกไวต่อความต้องการของบุคคลอื่น และเเสดงความสนใจต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา ผู้นำทางสังคมมีทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ดี และสร้างความสัมพันธ์อย่างร่วมมือกับผู้ตามของพวกเขา ความเป็นกันเองเป็นความชอบของผู้นำที่จะแสวงหาความสัมพันธ์ทางสังคมที่เพลิดเพลิน
อับราฮัม ลินคอล์น เป็นประธานาธิบดีที่ดีที่สุดอย่างไม่โต้เเย้งของ
อเมริกา ภายในหนังสือ “Lincoln on Leadership” โดนัลด์ ฟิลลิปส์ ได้เขียนอับราฮัม ลินคอล์น
เชื่อมโยงกับสาธารณะแสดงความเป็นผู้นำของเขาอย่างไร เขาได้ใช้
เวลากับกองทหาร ไปเยี่ยมผู้เจ็บป่วย และใช้เวลาส่วนใหญ่ออกจาก
ทำเนียบขาว หลักการของอับราฮัม ลินคอล์นสัมพันธ์กับวิธิการศึกษา
เขิงคุณลักษณะของผู้นำตามที่ปีเตอร์ นอร์ธเฮ้าส์ ได้เขียนเกี่ยวกับ
ความเป็นกันเองภายในวิธีการศึกษาเชิงคุณลักษณะ เขาได้เขียนเกี่ยว
กับอธิการมหาวิทยาลัยชื่อ ไมเคิล ฮิว เป็นผู้นำที่เข้าถึงได้ เขาได้สร้างความส่วนบุคคลกับบุคคลของเขา
ไมเคิล ฮิวส์ ชอบเดินไปที่การประชุมทุกอย่างของเขา เพราะว่ามันทำ
ให้เขาออกไปบนวิทยาเขต ตรงที่เขาได้ทักทายนักศึกษาและอาจารย์ของคณะได้ เขาทานอาหารเที่ยงภายในโรงอาหารของหอพักนักศึกษา หรือสหกรณ์นักศึกษา และมักจะขอโต๊ะของผู้แปลกหน้า ถ้าเขาสามารถนั่ง
กับพวกเขาได้ นักศึกษาได้ประเมินเขาเข้าหาได้มากที่สุด ในขณะที่คณะกล่าวว่าเขาใช้นโยบายเปิดประตู นอกจากนี้เขาใช้เวลาที่จะเขียนบันทึกส่วนบุคคลแก่บุคคลของคณะและนักศึกษา การแสดงความยินดีต่อ
ควาสำเร็จของพวกเขา
อับราฮัม ลิคอล์น เป็นผู้นำยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกที่เคยเห็น ความ
เป็นผู้นำของเขาก่อนและหลังสงครามกลางเมืองได้แสดงถึงความสำเร็จ
ของเขาเป็นผู้นำของประเทศ เขาชอบที่จะผูกพันกับบุคคลของเขาทุก
ระดับ ไม่ว่ามันเป็นการตรวจงานกองทหารของรัฐเดินทางผ่านดีซี คณะรัฐมนตรีของเขา ทหารของเขาภายในกองทัพ เขาได้ใช้เวลาจากตาราง
ประธานาธิบดีที่วุ่นวายของเขารู้จักบุคคลรอบเขา เขาใช้เวลาประมาณ
สามในสี่ของเขาพบกับบุคคลของเขา วิถีทางของเขาต่อการพบและการยุ่งเกี่ยวกับบุคคลเหมือนกับเเนวคิดการบริหารยุคใหม่ของการบริหาร
เดินดูโดยรอบ : เอ็มบีดับบลิวเอ
อับราฮัม ลินคอล์น เป็นประธานาธิบดีคนที่สิบหกของอเมริกา เขาได้นำ
อเมริการะหว่างช่วงเวลาความวุ่นวายของสงครามกลางเมืองอเมริกันภายในหนังสือของเขา “Lincoln on Leadership” โดนัลด์ ฟิลลิปส์ กล่าว
เกี่ยวกับกลยุทธ์ความเป็นผู้นำของอับราฮัม ลินคอล์น การบริหารเดินดู
โดยรอบ ตลอดสี่ปีของความเป็นผู้นำประเทศของเขา
อับราฮัม ลินคอล์นใช้เวลาส่วนใหญ่ของเขาท่ามกลางทหาร มันเป็นความสำคัญลำดับหนึ่งของเขา เขาได้พบกับนายพลของเขาภายในบ้าน สำนักงาน และสนามของพวกเขา รับฟัง สังเกตุ และให้แนวทาง เขาไปเยี่ยมอู่ซ่อมเรือ และตรวจสอบอาวุธใหม่ ดังนั้นเขาได้รับรู้ความสามารถ
และข้อจำกัดของพวกเขา
เขาไปเยี่ยมโรงพยาบาล และเเม้แต่การไปสนามรบแสดงความห่วงใยทหารของเขา และได้ข้อมูลอย่างถูกต้องโดยตรงเกี่ยวกับสงคราม เขา
ได้ใช้หลายชั่วโมง ณ สำนักงานโทรเลขของกองทัพ ดังนั้นเขาสามารถ
ได้ข้อมูลทันที ทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็วและถูกต้อง

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *